พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1048 นักโทษหลบหนีสามสิบห้าคน
สิบเอ็ดคน สิบสองคน สิบสามคน…
นักโทษถูกดึงออกมาคนแล้วคนเล่า เหมือนไม่ส่อเค้าว่าจะหมด มีหลายคนที่สีหน้ากำลังแย่ลงเรื่อยๆ
ความเจ็บปวดรวดร้าวบนใบหน้าสวีถังหรานหายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง หันไปสบตาเลิกลั่กกับมู่หรงซิงหัวเป็นระยะ
ในหนึ่งร้อยปีมานี้ โดยเฉพาะสวีถังหราน เขาค่อนข้างรู้ดีว่าในมือเหมียวอี้จับนักโทษได้เท่าไร สี่คนที่ได้มาถูกส่งต่อไปให้โฉวตั้งไห่หมดแล้ว แทบไม่กล้าเชื่อว่าในมือเหมียวอี้จะมีนักโทษมากมายขนาดนี้
แต่ยังไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้ ในดวงตาสวีถังหรานฉายแววดีใจอย่างที่ปิดบังไม่มิด เขากับเหมียวอี้อยู่กลุ่มเดียวกัน คะแนนไม่ได้ตกเป็นของคนคนเดียว แต่เป็นของคนทั้งกลุ่ม ยิ่งจับนักโทษได้มาก ผลงานยิ่งก็ยิ่งมาก ผลประโยชน์ที่เขาจะได้กอบโกยก็ยิ่งมาก
ยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปด ยี่สิบเก้า…
นักโทษยังคงถูกดึงออกมาตรวจสอบคนแล้วคนเล่า ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่เฝ้าคอยให้หยุดลงไวๆ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรกำลังตะโกนร้องในใจ พอได้แล้วมั้ง?
นอกจากโค่วเหวินหลานแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็เริ่มจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ต่างก็หวังไม่ให้จำนวนเกินสามสิบ ในเวลานี้ตัวเลขนั้นคือน้ำหนักที่หัวใจพวกเขาไม่มีทางรับไหว
ทว่าความจริงมักจะโหดร้ายเสมอ หลังจากนักโทษคนที่สามสิบถูกดึงออกมา ก็มีคนไม่น้อยหันไปมองคนที่เข่นฆ่ากันอยู่บนท้องฟ้า กล้ามเนื้อบนใบหน้าโค่วเหวินหวงราวกับโดนตะคริวกิน รู้สึกเหมือนกำลังจะประสาทเสีย มองไปที่โค่วเหวินหลานด้วยแววตาเคียดแค้นปานจะกลืนกิน
ส่วนโค่วเหวินหลานก็อมยิ้ม ยืนดูการตรวจสอบนักโทษอย่างเงียบๆ
โค่วเหวินชิงที่อยู่ข้างๆ หันมามองเขาแวบหนึ่ง เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหกถึงแน่วแน่ที่จะไม่สนใจแรงกดดันจากพี่สามแบบนี้ ที่แท้เจ้าสามก็มีความมั่นใจที่จะแข่งขันนี่เอง ไม่ต้องเกรงใจพี่สามอีกต่อไป!
เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักแปลกใจมาก เป็นเพราะนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าโค่วเหวินหลานจะจับนักโทษได้มากขนาดนี้
สามสิบเอ็ด สามสิบสอง สามสิบสาม…
ตอนนี้ไม่ได้มีแค่โค่วเหวินหวงที่กำลังจะประสาทเสีย แต่ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็ใกล้จะประสาทเสียแล้วเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปทุกคนยังจะแข่งอะไรกันได้อีก!
คะแนนแบบนี้ ในใจมู่หรงซิงหัวย่อมปลาบปลื้ม แต่ภายนอกยังนับว่าสุขุมเยือกเย็น
สวีถังหรานมุมปากเฉียงขึ้น ยิ้มค้างจนเผยฟันออกมาครึ่งแถว ในใจกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สำหรับการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ เขาไม่ใช่แค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ยังได้คะแนนดีขนาดนี้อีกด้วย เหนือความคาดหมายจริงๆ! กลับไปนออกจากจะได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้ว อย่างน้อยตัวเองก็จะได้นั่งในตำแหน่งอย่างมั่นคง ตราบใดที่ไม่ทำอะไรผิดกฎ และมีคะแนนสูงแบบนี้มาอ้าง ก็ไม่มีใครที่จะแตะต้องข้าได้ตามใจชอบอีก ไม่ว่าใครที่คิดจะมาปะทะกับตำแหน่งของข้า ก็ต้องไตร่ตรองดูให้ดี เจ้าหมีควายเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่กล้าทำอะไรข้าอย่างโจ่งแจ้งแล้วเหมือนกัน ความรุ่งเรืองร่ำรวยนี้ควรค่าแก่การรอคอย!
สถานการณ์จริงก็เป็นแบบนั้น เขาเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบในการสู้รบ มีผลงานการสู้รบที่แข็งแกร่ง ทั้งยังเป็นผลการรบจากการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์จัดเองโดยตรง ไม่ว่าเวลาไหนผลงานการสู้รบก็ล้วนแข็งแกร่งที่สุด เพราะสิ่งนี้แลกมาด้วยการสู้สุดชีวิต ถ้าทำให้ขุนนางผู้มีคุณูปการที่สู้ศึกเลือดเพื่อตำหนักสวรรค์ท้อแท้ใจ ถ้าอย่างนั้นตำหนักสวรรค์ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าต่อไปนี้จะมีใครมาทุ่มเททำงานให้อีก ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมา ขุนนางผู้มีคุณูปการของตำหนักสวรรค์พวกนี้จึงได้รับสิทธิพิเศษอยู่เสมอ
และสวีถังหรานก็แอบเกิดความคิดอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าถือผลงานนี้กลับไป อย่างน้อยภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ หวงฝู่จวินโหรวก็จะต้องหลีกทางให้เขาเช่นกัน หลังจากกลับไปครั้งนี้ เขาจะบังคับให้เสวี่ยหลิงหลงแห่งหอกลิ่นสวรรค์มานอนด้วย เขาอยากได้ผู้หญิงคนนั้นมานานแล้ว แต่จนใจที่ไม่กล้าแตะต้อง ครั้งนี้ไปสู้ศึกเลือดเพื่อตำหนักสวรรค์ สู้สุดชีวิตเพื่อสร้างผลงานใหญ่ จะนอนกับผู้หญิงสักคนเบื้องบนก็คงไม่ว่าอะไร ไม่มีเหตุผลที่เบื้องบนจะตำหนิขุนนางผู้มีคุณูปการของตำหนักสวรรค์เพื่อนางรำคนเดียว คาดว่าต่อให้หวงฝู่จวินโหรวไปร้องเรียนก็ไม่มีประโยชน์
พอนึกถึงตรงนี้ นึกถึงใบหน้าที่งามล่มเมืองของเสวี่ยหลิงหลง ทั้งยังมีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นอีก คิดว่าในภายหลังนางจะต้องมาปรนนิบัติใต้หว่างขาให้ตนทุกเมื่อยามต้องการ จู่ๆ สวีถังหรานก็พบว่าตัวเองไม่เจ็บแผลแล้ว ทั้งยังรู้สึกร้อนตรงท้องน้อยด้วย รู้สึกว่าการการได้รับบาดเจ็บครั้งนี้คุ้มค่าสุดๆ
หลังจากตรวจสอบนักโทษคนที่สามสิบห้าเสร็จ สวีถังหรานก็ดีใจจนแทบบ้าแล้วจริงๆ โห่ร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง สามสิบห้า สามสิบห้าเชียวนะ! ได้เกินสามส่วนของจำนวนนักโทษที่ต้องจับในการทดสอบครั้งนี้ไปแล้ว! นี่คือสัญญาณว่าจะได้อันดับหนึ่งนะ!
เหล่าผู้บัญชาการใหญ่ที่คอยดูอยู่รอบๆ แต่ละคนหันตัวเดินจากไปด้วยสีหน้าย่ำแย่ ส่วนโค่วเหวินหวงก็จ้องโค่วเหวินหลานอย่างไม่ละสายตา
ส่วนจุยหย่วนก็สื่อสารกับโค่วเหวินหลานอีก โค่วเหวินหลานจึงหันกลับมาถามพวกเหมียวอี้ที่อยู่ข้างกายต่อ “ท่านพ่อบ้านถาม ว่าหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเจ้าหรือเปล่า?”
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานสบตากันแวบหนึ่ง สงสัยจะพูดถึงผลงานของทั้งกลุ่ม หลังจากหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงตายแล้วก็ยังต้องให้รางวัลตามไป ถ้าพวกเขามีครอบครัว คนในครอบครัวก็จะได้เสพสุขกับสิทธิพิเศษของตำหนักสวรรค์ นี่คือธรรมเนียมเก่าของตำหนักสวรรค์
เหมียวอี้ปฏิเสธไปตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ กล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนที่เพิ่งเข้าร่วมการทดสอบ หยางไท่กับเจิ้งหรูหลงทรยศหนีออกจากกลุ่มไปแล้ว ตอนนี้เป็นตายอย่างไรไม่รู้ ดังนั้นการจับตัวนักโทษจึงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเขา”
เขารายงานความจริงของเรื่องนี้กับโค่วเหวินหลานไปแล้ว แต่ที่โค่วเหวินหลานมาถามพวกเข ก็แสดงว่าอยากจะจัดการตามความประสงค์ของพวกเขา แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ในบรรดาเจ้าสองคนนั้น คนหนึ่งทรยศเขา อีกคนก็จะฆ่าเขา การที่เขาไม่ตามไปฆ่าถอนรากถอนโคนทั้งตระกูลก็นับว่าดีแล้ว จะยอมให้สองคนนั้นมีส่วนในผลงานได้อย่างไร
โค่วเหวินหลานหันมามองอีกสองคน มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานตอบทันทีว่า “ผู้บัญชาการหนิวพูดจริง” ตอนนี้ทั้งสองยกให้เหมียวอี้เป็นผู้นำ ทั้งยังยอมรับเลื่อมใส่จากใจด้วย แตกต่างกับตอนที่มาเข้าร่วมการทดสอบตอนแรกๆ ราวฟ้ากับดิน
โค่วเหวินหลานพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันตัวไปบอกจุยหย่วนแล้ว
“รายงานนายท่านผู้คุม การทดสอบที่น่านฟ้าชวดอี่ หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานที่อยู่ในกลุ่มนี้จับตัวนักโทษได้ทั้งหมดสามสิบห้าคนขอรับ ตรวจสอบแล้วไม่ผิดพลาด!” จุยหย่วนก้าวขึ้นบันได แล้วใช้สองมือยื่นรายชื่อที่ตรวจสอบแล้วให้ โดยได้ตัดผลงานของหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงออกไปแล้ว
เกาก้วนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หลังจากนำแผ่นหยกมาตรวจสอบ ก็ประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปบนนั้น คะแนนของพวกเหมียวอี้นับว่าผ่านการตรวจสอบและยืนยันอย่างเป็นทางการแล้ว แค่รอให้คะแนนของทุกคนออกมาและรับรางวัลตามผลงาน
ตรงนี้ไม่มีธุระอะไรของพวกเหมียวอี้แล้ว ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่กลับมายังต้องรายงานผลการปฏิบัติงาน ไม่สะดวกจะขวางทาง หลังจากทำความเคารพเกาก้วนที่อยู่บนบันได พวกเขาก็ถอยออกมา
หลังจากออกมาจากตรงนั้นแล้ว พวกเหมียวอี้ก็ถอดเกราะรบ เหมียวอี้ยังดีหน่อย แต่แขนข้างหนึ่งของมู่หรงซิงหัว แล้วก็ขาข้างหนึ่งกับแขนข้างหนึ่งของสวีถังหราน ตอนนี้เลือดเนื้อปนกันเละเทะ สะเทือนกระดูกแตกเนื้อเละ ใช้งานไมได้แล้ว
ฉากนี้ทำให้โค่วเหวินหลานสะเทือนใจอีกครั้ง ทอดถอนใจด้วยความหดหู่
เหมียวอี้ลงดาบด้วยตัวเอง ฟันแขนและขาที่พิการให้ทั้งสอง แบบนี้จะได้งอกใหม่ได้สะดวก ผู้บาดเจ็บทั้งสองเลี่ยงความเจ็บปวดทรมานครั้งนี้ไปไม่ได้
ส่วนโค่วเหวินหลานก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือพันแผลให้ทั้งสองแล้ว เรื่องควักทรัพยากรมาเยียวยาให้ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ให้ทั้งสองไปพักผ่อนเพื่อรักษาบาดแผล ส่งตัวไปที่ห้องถ้ำด้วยตัวเอง
“ผู้บัญชาการใหญ่!” จากนั้น เหมียวอี้ก็เดินตามโค่วเหวินหลานที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูห้องถ้ำ
“มีอะไรเหรอ?” โค่วเหวินหลานตบบ่าเขาพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม ท่าทีสนิทสนมมาก เพราะนี่คือขุนนางผู้สร้างคุณูปการใหญ่ของเขา! เห็นแล้วก็มีความสุข
เหมียวอี้กลับเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “มีบางอย่างที่ผู้บัญชาการใหญ่ยังไม่ทราบ ตอนแรกที่พวกเราเพิ่งเข้าร่วมการทดสอบ กลุ่มพวกเรามีคนน้อยด้อยกำลัง ภายใต้ความจำเป็นนี้ จึงทำได้เพียงหาคนมาช่วยเหลือ ตอนที่ไปหาเป้าหมายแรกที่ป่าลืมทุกข์ของดาววิงวอนชีพ…” หลังจากเขาเล่าเรื่องที่ตัวเองเกลี้ยกล่อมปานเย่วกงกับฮูหยินให้ฟังคร่าวๆ แล้ว ก็กุมหมัดคารวะกล่าวอย่างจริงใจว่า “ตอนนั้นข้าน้อยเพิ่งจะมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง กอปรกับความผิดของซูลู่เอ๋อร์สามารถให้อภัยได้จริงๆ เพื่อที่จะทำภารกิจที่ผู้บัญชาการใหญ่มอบหมายให้สำเร็จ ข้าน้อยจำเป็นต้องจัดการตามคววามเหมาะสม ตัดสินใจเองโดยพลการ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะมีสองสามีภรรยาช่วยคุ้มกันให้อย่างเต็มที่เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี พวกข้าน้อยก็อาจจะไม่ได้กลับมาพบผู้บัญชาการใหญ่ก็ได้”
“พลิกคดีให้ซูลู่เอ๋อร์นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…” โค่วเหวินหลานลังเลนิดหน่อย แล้วขมวดคิ้วพลางกล่าวช้าๆ ว่า “แต่เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ ถ้าเรื่องที่สองสามีภรรยาสมคบคิดกับเจ้าเปิดเผยออกไป โทษของการสมคบกับนักโทษตำหนักสวรรค์ เกรงว่าเจ้าจะต้องรับผิดชอบคนเดียว”
เหมียวอี้เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ อาศัยภูมิหลังของโค่วเหวินหลานก็ย่อมไม่ถึงคราวที่โค่วเหวินหลานจะได้รับผิดชอบเรื่องนี้ ย่อมมีเส้นสายให้ผลักความรับผิดชอบอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นคนที่ซวยก็จะมีแค่เหมียวอี้คนเดียว พวกสวีถังหรานไม่รู้เรื่องนี้ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด
“ข้าน้อยรับปากพวกเขาไว้แล้ว พวกเขาสองสามีภรรยารักษาสัญญา แล้วข้าน้อยจะพูดจาไม่เป็นคำพูดได้อย่างไร!” เหมียวอี้กุมหมัดขอร้องอีกครั้ง
ในเวลานี้ ขอเพียงไม่ใช่คำขอร้องที่มากเกินไป โค่วเหวินหลานก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว กอปรกับเห็นเหมียวอี้มีคุณธรรมน้ำมิตร จึงไม่พูดอะไรมากอีก พยักหน้าตอบว่า “ได้! ข้าจะจำเรื่องนี้ไว้ กลับไปจะจัดการทันที จะรีบให้คำตอบเจ้าโดยเร็วที่สุด!”
“ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ที่ช่วยให้สมปรารถนา!”
เหมียวอี้เพิ่งจะกล่าวขอบคุณ เงาคนคนหนึ่งก็ถลันเข้ามา เป็นโค่วเหวินหวงนั่นเอง กล่าวด้วยสีหน้าเผด็จการว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นักโทษสามสิบห้าคนของเจ้า ใช่ที่โฉวตั้งไห่ให้เจ้าไว้ก่อนหน้านี้หรือเปล่า? โฉวตั้งไห่โยนกระเป๋าสัตว์ให้เจ้าต่อหน้าฝูงชน ทุกคนได้ยินสิ่งที่สั่งไว้หมดแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ เหมียวอี้ก็ตะลึงงันทันที แต่โค่วเหวินหลานกลับหัวเราะ ในดวงตาฉายแววเดือดดาลอย่างปิดบังได้ยาก ตอบพร้อมรอยยิ้มแข็งทื่อว่า “พี่สาม อย่ามีนิสัยการกินมูมมามตะกละกะกลามเกินไป ท่านปู่ไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เปิดบังหูตาท่านปู่ไม่ได้หรอก ถ้าอยากจะแย่งผลงานนี้ ท่านก็ต้องถามท่านปู่ก่อนว่าสามารถง้างปากให้พวกโฉวตั้งไห่พูดความจริงได้หรือเปล่า ท่านปู่มีหนทางสืบหาความจริงอยู่แล้ว ถ้าท่านกล้าหลอกลวงแม้กระทั่งท่านปู่ กล้าเห็นท่านปู่เป็นคนโง่ งั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถ้าท่านเก่งนักก็แย่งไปได้เลย!”
ในดวงตาโค่วเหวินหวงฉายแววหวาดกลัว นึกไม่ถึงว่าเจ้าสามจะอ้างอ๋องสวรรค์โค่วมากดดันเขา ได้แต่กัดฟันและหันตัวเดินจากไปช้าๆ
ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหลานจะไม่ยอมปล่อยไป ถามตามหลังไปว่า “พี่สาม ข้ามอบนักโทษให้ท่านสี่คน ถ้าท่านยังไม่ได้อันดับดีๆ อีก เช่นนั้นก็เป็นการทำผิดต่อน้ำใจของน้องชายแล้ว!”
นี่คือความอับอายขายหน้าที่ถูกเปิดโปงออกมาจนหมด! เมื่อมีความมั่นใจแล้ว การพูดจาก็ต่างไปจากเดิมทันที โค่วเหวินหวงหยุดชะงัก กำหมัดสองข้างไว้แน่น แล้วเดินจากไปอย่างช้าๆ
ใครจะคิดว่าพอโค่วเหวินหวงเพิ่งเดินออกไป ก็มีอีกคนเข้ามาถามแสกหน้าว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นักโทษที่เจ้ามี เป็นนักโทษที่ได้มาจากมือของอวี้ชิงหลางหรือเปล่า?”
ผู้ที่มาก็คืออิ๋งเย่า ตอนนี้โกรธจนหน้าเขียว เหมียวอี้ไม่รู้จักเขา จึงมองไปทางโค่วเหวินหลานด้วยแววตาสงสัย
โค่วเหวินหลานหัวเราะตอบทันที “อิ๋งเย่า ลูกน้องข้าแย่งนักโทษมาจากมืออวี้ชิงหลางนิดหน่อย ทั้งหมดล้วนเป็นนักโทษที่อวี้ชิงหลางแย่งมาจากมือลูกน้องข้าในระหว่างการทดสอบหนึ่งร้อยปี ครั้งนี้แค่แย่งคืนมาก็เท่านั้นเอง”
นี่คือคำพูดที่อวี้ชิงหลางเคยตอบเก้ากวนตอนที่เปิดศึกแรกตรง ‘ประตูบ้าน’ ตอนนี้โค่วเหวินหลานรับมือด้วยวิธีการเดียวกัน เรียกได้ว่าตอบกลับด้วยคำพูดเดิม พูดประโยคเดียวก็ทำให้อิ๋งเย่าโมโหจนตัวสั่น แต่กลับโวยวายอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแยกเขี้ยวยิงฟันหันหน้าเดินจากไป
โค่วเหวินหลานในตอนนี้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน เหมียวอี้ไม่ต้องทำอะไรเลย
…………………………