พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1052 ไม่อาจทำตามใจ
เวลาในโลกมนุษย์ช่างแสนสั้น ครึ่งหนึ่งสามารถอยู่กับความเจริญรุ่งเรืองทางโลก ครึ่งหนึ่งสามารถอยู่กับอายุขัยที่ยืนยาว
นอกตำหนักที่สูงตระหง่าน ปี้เยว่ฮูหยินที่อุ้มจิ้งจอกเหาะลงมาจากฟ้า ทหารยามหน้าประตูตำหนักคารวะพร้อมกัน “ฮูหยิน!”
ปี้เยว่ฮูหยินเงยหน้ายืดอกพลางเดินลากกระโปรงยาวเข้าไป มีคนรีบเข้าไปรายงานแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ด้านในตำหนักที่งดงามประณีต ชายรูปร่างผอมบางที่มีคิ้วกระบี่และหน้าผากกว้างเดินก้าวยาวออกมาต้อนรับ ถึงแม้จะตัวผอม แต่ท่วงท่ายามเดินดุจพยัคฆ์ดุจมังกร บุคลิกองอาจห้าวหาญ เสื้อผ้าหน้าผมหรูหรา มีลักษณะน่าเกรงขามเหมือนอยู่เหนือผู้อื่นมานาน เมื่อเดินไปถึงจุดไหนก็จะมีคนหลีกทางให้ แล้วยืนก้มหน้าปล่อยมือแนบลำตัว เขาก็คือท่านโหวเทียนหยวน หนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์
“ฮูหยิน…ฮูหยิน…”
ด้านนอกมีเสียงทำความเคารพดังไม่ขาดสาย ในที่สุดร่างของปี้เยว่ฮูหยินก็ปรากฏอยู่ตรงประตูด้านในตำหนัก เทียนหยวนหัวเราะเบาๆ ทันที รีบเร่งฝีเท้าเดิน แล้วก้าวเข้ามากุมหมัดทักทาย “ฮูหยินมาแล้วเหรอ”
ต่อให้มีอำนาจมากกว่านี้ ต่อให้ฐานะจะห่างกันมากกว่านี้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ไม่มีอะไรมาเทียบได้ ย่อมไม่จำเป็นต้องวางมาดใส่อยู่แล้ว
ปี้เยว่ฮูหยินมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วยื่นจิ้งจอกที่กำลังอุ้มไปให้ เทียนหยวนรับมาอุ้มไว้ในมือ หันตัวมาเดินอยู่ข้างกาย แล้วถามว่า “ไม่ได้พาลูกน้องมาเหรอ มาคนเดียว?”
“ก็โดนเจ้าไล่ไปหาเฉาว่านเสียงหมดแล้วไม่ใช่รึไง? เรียกข้ามามีธุระอะไร?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม
เทียนหยวนมองดูปีศาจจิ้งจอกในมือตัวเอง แล้วโยนให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะเขาไม่ได้สนใจการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเขายิ้มพร้อมถามว่า “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน ถ้าไม่มีธุระอะไรข้าจะเรียกหาเจ้าไม่ได้เชียวเหรอ?”
ปี้เยว่ฮูหยินเหล่ตามองเขา “เจ้ายังรู้ด้วยเหรอว่าข้าเป็นภรรยาของเจ้า? เจ้าลองบอกมาซิว่าเจ้าไม่ได้ไปหาข้ามากี่ปีแล้ว”
เทียนหยวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าติดอยู่ระหว่างสองฐานะไง พอไปหาเจ้าที่นั้น ก็จะทำให้ทุกคนทางนั้นว้าวุ่นอยู่ไม่สงบ” เขารู้สึกกินปูนร้อนท้องขณะที่พูด
ปี้เยว่ฮูหยินขี้คร้านจะเถียงกับเขา พูดเปิดโปงไปก็ไม่มีความหมาย เดินตรงไปยังสวนของห้องนอนตัวเอง แล้วสั่งคนให้เตรียมน้ำให้อาบ เพื่อที่จะผิดบังความรู้สึกผิด ท่านโหวเทียนหยวนบุกเข้ามาในห้องอาบน้ำ ในขณะที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เขาก็วางมาดของท่านโหวลง แล้วปรนนิบัติอย่างสุดความสามารถ
หลังจากผ่านเมฆฝนอันละมุนละไมจบลง ปี้เยว่ฮูหยินค่อนข้างพออกพอใจ ในที่สุดสีหน้าก็ผ่อนคลายลงแล้ว สวยหยาดเยิ้มยิ่งกว่าเดิม
หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จและเดินประคองกันออกมา ทั้งสองก็เดินเล่นในสวนดอกไม้ด้วยกัน ในที่สุดก็คุยกันเป็นปกติแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินถามว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่?”
เทียนหยวนกันคนนอกออกไป แล้วเอามือไขว้หลังเดินอยู่ข้างๆ ตอบว่า “พอผลการทดสอบครั้งนี้ออกมา ตำหนักสวรรค์ก็เตรียมจัดการทดสอบรอบต่อไปทันที กำลังจะเริ่มต้นแล้ว”
“กำลังจะเริ่มแล้ว?” ปี้เยว่ฮูหยินหยุดฝีเท้า แล้วถามอย่างตกใจว่า “ไม่ใช่ว่าหนึ่งพันปีจัดครั้งหนึ่งหรอกเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เทียนหยวนหยุดฝีเท้าตาม “ครั้งนี้กติกาจะสูงขึ้นอีกหน่อย คนที่เข้าร่วมการทดสอบจะเป็นระดับผู้บัญชาการใหญ่ จำนวนคนก็เยอะขึ้นด้วยเช่นกัน เกี่ยวโยงไปถึงลูกหลานและลูกน้องของคนระดับหัวหน้าภาคและแม่ทัพภาคของตระกูลใหญ่ๆอ รายชื่อนักโทษหลบหนีที่ต้องจับกุมก็จะเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นคน รายชื่อของนักโทษและผู้เข้าร่วมทดสอบถูกกำหนดไว้แล้ว”
“เจ้าเป็นลูกน้องเก่าของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ที่เจ้าเรียกข้ามาแบบนี้เพราะจะบอกข้าใช่มั้ย ว่าข้าก็ถูกลากให้เข้าไปเกี่ยวด้วย? ลูกน้องข้าไม่มีใครแล้วนะ” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวอย่างงงงัน
“เจ้าคิดมากไปแล้ว!” เทียนหยวนยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าจะให้ฮูหยินของข้าไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร ต่อให้ไม่ปกป้องคนอื่น แต่ถ้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ฮูหยินของตัวเอง ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ”
ปี้เยว่โล่งใจลงเล็กน้อย ถามอีกว่า “ทดสอบติดต่อกันแบบนี้ผิดปกติมาก ตำหนักสวรรค์ต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
เทียนหยวนยิ้มพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดว่าทำไมผู้บัญชาการเล็กๆ ใต้สังกัดของเจ้าถึงได้รับรางวัลอย่างงามจากราชันสวรรค์ล่ะ? เพราะจะตบรางวัลให้ใต้หล้าได้เห็นไง ทั้งข้างล่างข้างบนสงบสุขมานานเกินไป มีเส้นสายความสัมพันธ์อยู่ทั่วทุกที่ กลายเป็นรากไม้ที่สอดสลับกันไปมาจนแก้ไขได้ยาก สับสนวุ่นวาย เป็นความเคยชินที่แก้ยาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนได้ด้วยกำลังของราชันสวรรค์ท่านเดียว ต้องอาศัยโอกาสจากการทดสอบ รวบรวมกำลังของแต่ละตระกูลมากำจัดคนที่ฝ่าฝืนกฎสวรรค์มาหลายปีให้สิ้นซากสักรอบ เพื่อที่จะฟื้นความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์กลับมาอีกครั้ง ดูจากเค้าที่ส่อให้เห็น นี่ยังเป็นแค่การเริ่มต้น อาจจะก้าวขึ้นไปทีละระดับ เดาว่าต่อไประดับแม่ทัพภาคกับหัวหน้าภาคก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน สรุปก็คือราชันสวรรค์ไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปได้อีก ส่อเค้าว่าจะฟื้นกระแสการฝึกยุทธ์แล้ว ทางเจ้าเองก็ต้องเตรียมตัวเหมือนกัน พวกลูกน้องก็ต้องเลี้ยงคนที่มีความสามารถเอาไว้เตรียมรับเหตุไม่คาดคิด เวลาเกิดขึ้นเรื่องมาจะได้นำออกมาใช้ได้”
ปี้เยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เจ้าก็พูดง่ายนี่ คนที่มีฝีมือ บทจะเลี้ยงก็เลี้ยงออกมาได้เหมือนที่ปากเจ้าพูดหรือไง? ตอนนี้ห่างเรื่องการรบมานาน กำลังคนที่มีก็เหมือนเอาลูกตาปลามาคลุกรวมกับไข่มุก ความสามารถไม่ใช่สิ่งที่มองออกได้จากวรยุทธ์ ถ้าไม่ผ่านเรื่องราวบางอย่าง จะสะท้อนออกมาให้เห็นได้ยังไง คงไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วไปหาเรื่องหรอกนะ? ลูกน้องข้าก็มีคนอยู่แค่นั้น รับหน้าที่คุมตลาดสวรรค์ จะหาเรื่องมาจากไหนมากมายล่ะ จะให้สร้างความวุ่นวายที่ตลาดสวรรค์ก็คงไม่ได้หรอกมั้ง?”
เทียนหยวนหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ลูกน้องเจ้ามีคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? ข้าได้ยินมาจากการทดสอบครั้งนี้แล้ว นี่ไม่ใช่คนที่ส่งมาถึงมือเจ้าหรอกเหรอ ให้เวลาสักระยะจนวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว จะต้องช่วยเจ้าได้มากแน่นอน ถือโอกาสรับมาเป็นลูกน้องคนสนิทของตัวเองสิ!”
“คนนี้เลิกคิดไปได้เลย!” ปี้เยว่โบกมือ “เขาคือคนของเจ้าเด็กตระกูลโค่ว ในการทดสอบครั้งนี้เจ้าเด็กตระกูลโค่วคนนั้นโดดเด่นเต็มที่ ตระกูลโค่วจะต้องย้ายเขากลับไปแน่นอน ถึงตอนนั้นจะต้องพาคนคนนี้ไปด้วยแน่”
เทียนหยวนยิ้มบางๆ “ที่นี่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่ว ใช่ว่าเขาอยากจะพาไปแล้วจะพาไปได้ ข้าเองก็เพิ่งกลับมาจากตำหนักสวรรค์เหมือนกัน เจ้ารองของตระกูลอิ๋งบอกข้ามาแล้ว ว่าอยากจะให้ข้าย้ายคนไปเป็นลูกน้องของลูกชายเขา แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง”
“ตระกูลอิ๋งอยากจะฉวยโอกาสล้างแค้นเหรอ?” ปี้เยว่ตะลึงงั้น
“ทำไมเจ้าฟังไม่เข้าใจล่ะ?” เทียนหยวนถามอย่างจนใจ อยากจะถามมากว่าสมองเจ้าคิดวนมาได้ยังไง
ที่จริงเขาเองก็รู้ ว่าเมียตัวเองมีความสามารถที่ธรรมดามาก ถ้าไม่ใช่เพราะนางเป็นเมียของเขา มีหรือที่จะได้นั่งตำแหน่งที่รายได้เยอะแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ อาศัยฐานะของเขาก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาแทรกเพื่อช่วยนางจัดการเรื่องนี้เลย แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนางคือภรรยาเอกของเขา ไม่ช่วยก็ต้องช่วย
“เจ้าพูดแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ ข้าจะเข้าใจได้ยังไง? พูดตรงๆ ให้ชัดเจนเลยดีกว่า” ปี้เยว่กล่าว
เทียนหยวนหัวเราะแห้งๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ถ้าอยากจะล้างแค้นก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน แต่ต่างคนก็ต่างมีเจ้านาย ถ้าอยากจะล้างแค้นก็ต้องไปหาเจ้าเด็กของตระกูลโค่วก่อนสิ? เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็แค่ฆ่าลูกน้องของอิ๋งเหย้า การฆ่าอิ๋งเหย้าไม่เกี่ยวกับเจ้าเด็กตระกูลโค่วด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็นึกไม่ถึงหรอกว่าอิ๋งเหย้าจะตายแบบนี้ คนที่ฆ่าอิ๋งเหย้าจริงๆ คนที่จะเอาชีวิตอิ๋งเหย้าให้ได้ก็คือเกาก้วน ถ้าตระกูลอิ๋งที่สง่าผ่าเผยรังแกคนที่อ่อนแอกว่า นั่นจะไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะหรอกเหรอ ราชันสวรรค์เพิ่งประทานรางวัลให้เอง ตระกูลอิ๋งคงไม่แสดงความไม่พอใจต่อราชันสวรรค์เหมือนกัน แล้วอีกอย่าง อิ๋งเหย้าเป็นลูกชายของลูกชายคนที่สี่ ถ้าจะล้างแค้นจริงๆ ลูกชายคนที่สี่ก็ต้องมาหาข้า ลูกชายคนที่สองก็แค่ถูกใจในฝีมือของเจ้าเด็กนั่น อยากจะดึงตัวมาเป็นกำลังสำคัญให้ลูกชายตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเรื่องล้างแค้นเลน”
“อย่างนี้เองเหรอ!” ในที่สุดปี้เยว่ก็เข้าใจแล้ว ถามอีกว่า “งั้นเจ้าปฏิเสธไปแล้ว ตระกูลอิ๋งอาจจะไม่พอใจหรือเปล่า?”
เทียนหยวนบอกว่า “เรื่องอื่นช่างมันเถอะ เรื่องการแข่งขันภายในของตระกูลอิ๋งเอง ข้าไม่เข้าไปก้าวก่ายหรอก ถ้าไปช่วยฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก็จะทำให้คนอื่นๆ ของตระกูลอิ๋งไม่พอใจ มิหนำซ้ำลูกชายคนรองก็ไม่มีสิทธิ์มาควบคุมข้าด้วย ถ้าอ๋องสวรรค์เอ่ยปากเอง ข้าก็คงไม่มีทางเลือกเหมือนกัน แต่อ๋องสวรรค์ก็คงไม่เอ่ยปากเพื่อตัวละครที่ไม่สำคัญหรอก ใช่ว่าตระกูลอิ๋งจะไม่มีคนให้ใช้งานเสียเมื่อไร เบื้องล่างมีคนเยอะจะตาย ข้าก็เลยดึงเจ้ามาเป็นโล่ป้องกัน อ้างว่าในมือเจ้าขาดกำลังคน ข้ารับปากเจ้าไปก่อนแล้ว ลูกชายคนรองก็เลยพูดอะไรไม่ได้ แค่จะถือโอกาสบอกไว้สักหน่อย สรุปก็คือจะให้เจ้าเด็กตระกูลโค่วพาคนไปไม่ได้ ให้ฝ่ายพวกเรากักคนไว้ห้ามปล่อย! แบบนี้ก็ตรงกับเจตนาของข้าเหมือนกัน จะได้หาผู้ช่วยให้เจ้าได้พอดีเลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ปี้เยว่ฮูหยินก็อารมณ์ดีใช้ได้เลย ไม่ว่าจะยังไง ผู้ชายคนนี้ก็ยังใส่ใจเรื่องของนางอยู่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็จะคิดถึงตนตลอด แต่ก็ถามอย่างปวดใจอีกว่า “เดี๋ยวถ้าเจ้าเด็กตระกูลโค่วมาขอคนจากข้าจะทำยังไงล่ะ? แบบนี้จะไม่ทำให้ข้าทำงานลำบากหรอกเหรอ?”
“ไม่ทำให้เจ้าทำงานลำบากหรอก เจ้าเสพสุขอยู่ที่ดาวเทียนหยวนก็พอแล้ว เดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง ถึงตอนนั้นเจ้าส่งต่อเรื่องนี้ให้เฉาว่านเสียงก็พอ เจ้าไม่ต้องเข้ามาแทรกแซง ข้าบอกทางเฉาว่านเสียงไว้เรียบร้อยแล้ว” เทียนหยวนกล่าว
ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องให้พวกเหมียวอี้ไปหาเฉาว่านเสียง สงสัยจะเตรียมการไว้ให้นางเรียบร้อยแล้ว…
ณ จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ เหมียวอี้กับสวีถังหรานที่ออกมาจากจวนขุนนางกำลังเดินไปทางลานบ้านรับแขก มือเท้าของสวีถังหรานงอกออกมาครบสมบูรณ์แล้ว ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้วด้วย
เหตุการณ์ตอนเข้าพบเฉาว่านเสียงเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ไม่เห็นเฉาว่านเสียงแสดงความไม่พอใจอะไรเลย ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ทรยศเจตนารมณ์ของเขาตอนอยู่ที่สถานที่ไร้ชีวิตด้วย กลับทำท่าดีใจมากด้วยซ้ำ กล่าวชมทั้งสามยกใหญ่ โดยเน้นชมเหมียวอี้ ทั้งยังบอกอีกว่ารอให้โค่วเหวินหลานย้ายออกไปแล้ว จะเลื่อนขั้นเหมียวอี้ให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์
เหมียวอี้เพียงกล่าวขอบคุณกับสิ่งนี้ เขาไม่ได้มีความคิดที่จะอยู่ทำงานกับเฉาว่านเสียง ขาของเฉาว่านเสียงไม่ใหญ่เท่าขาของตระกูลโค่ว ตนต้องติดตามโค่วเหวินหลานไปอยู่แล้ว ดังนั้นภายนอกจึงแค่ตอบให้ผ่านๆ ไป
ทั้งสองไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ถูกเฉาว่านเสียงรั้งตัวไว้ ‘ถามไถ่’ อีกครั้ง เดาได้ไม่ยากว่าต้องการจะทำอะไร
ทั้งสองรู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้นิดหน่อย แต่ก็ไร้ความสามารถที่จะทำอะไรได้ นอกจากจะไม่มีอำนาจไปแตะต้องเฉาว่านเสียงแล้ว อาศัยแค่อีกฝ่ายเป็นนักพรตวรยุทธ์บงกชรุ้ง พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย ได้แต่มองสหายของตัวเองกลายเป็น…ในฐานะที่เป็นลูกผู้ชาย ในใจรู้สึกรับได้ยากจริงๆ
ความรู้สึกของสวีถังหรานอาจจะซับซ้อนยิ่งกว่าเหมียวอี้ รู้สึกแย่ยิ่งกว่า เพราะมู่หรงซิงหัวบาดเจ็บแขนพิการตอนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนั้นเหมียวอี้ยังถูกขังอยู่ในเถาไม้ สัตว์พาหนะของสวีถังหรานถูกฆ่า แถมตัวเองยังได้รับบาดเจ็บ มู่หรงซิงหัวที่ปลีกตัวไปได้แล้วดันทุรังโจมตีฝ่ากลับมา แย่งตัวเขาหนีออกไปไปได้ นับว่าช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่งแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงตายไปแล้ว
ตอนหลังเมื่อได้พบเหมียวอี้อีกครั้ง เขาก็ได้รับบาดเจ็บอีก โดนคนโจมตีจนเกือบกระเด็นออกไป แต่เป็นมู่หรงซิงหัวที่ดึงเขาไว้ได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นจะยังรอดชีวิตอยู่เหรอ นับว่านางช่วยชีวิตเขาสองครั้งติดต่อกัน
ที่จริงเขานึกไม่ถึงเลยว่ามู่หรงซิงหัวจะเสี่ยงชีวิตช่วยเขาไว้ ถึงอย่างไรตอนแรกมู่หรงซิงหัวก็เคยทรยศพวกเขาเพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง
แต่มู่หรงซิงหัวก็เสี่ยงชีวิตไปช่วยเขาไว้จริงๆ หัวใจคนเรามีเลือดมีเนื้อ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตและผลประโยชน์ เมื่อเห็นมู่หรงซิงหัวถูกเฉาว่านเสียงรั้งตัวไว้ต่อหน้าต่อตา แต่ตัวเองกลับทำอะไรไม่ได้ ในใจก็รู้สึกแย่นิดหน่อย ถึงขั้นเศร้าเสียใจด้วยซ้ำ
หลังจากกลับถึงเรือนพัก ทั้งสองต่างก็นั่งเงียบๆ ในศาลาอย่างรู้สึกอึดอัดกลุ้มใจ หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ สวีถังหรานก็บอกว่า “น้องหนิว ตอนอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการใหญ่คำพูดเจ้ามีน้ำหนักกว่าข้า รอให้ผู้บัญชาการใหญ่กลับมา พวกเราไปขอร้องผู้บัญชาการใหญ่ด้วยกันได้มั้ย ให้ผู้บัญชาการใหญ่พามู่หรงไปด้วยกัน?”
…………………………