พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1053 เนื้อแท้เป็นคนดี
“ไม่ต้องรอให้กลับมาแล้ว พูดตอนนี้เลยแล้วกัน” เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกม่แล้ว ติดต่อกับโค่วเหวินหลานโดยตรง
เขาเองก็เก็บกดไม่สบายใจเหมือนกัน ขนาดช่วงที่อันตรายที่สุดของการทดสอบเขายังไม่ทิ้งมู่หรงซิงหัวไว้เลย แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาหันตัวเดินจากมา ภาพที่ทิ้งมู่หรงซิงหัวผู้หญิงตัวคนเดียวให้ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ความรู้สึกยากที่จะบรรยายออกมาได้จริงๆ แต่กลับต้องทิ้งมู่หรงไว้เพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง
สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกเหมือนตัวเองให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปขายตัวเพื่อปกป้องชีวิตพวกเขาและแลกเกียรติยศความร่ำรวยมาให้ ทำตัวไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว ทำให้ความรู้สึกดีๆ ตอนที่ทั้งสองได้รับรางวัลกลับมาจากราชันสวรรค์ถูกกวาดหายไปหมดสิ้นถึงขั้นรู้สึกพ่ายแพ้อยู่บ้างด้วยซ้ำ
“ดี!” สวีถังหรานก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน
ทั้งสองร่วมกันขอร้องโค่วเหวินหลาน แต่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจอะไร ถึงอย่างไรมู่หรงซิงหัวก็เคยทรยศโค่วเหวินหลานมาครั้งหนึ่ง และไม่รู้ด้วยว่าโค่วเหวินหลานจะยอมรับหรือไม่
ที่โชคดีก็คือ โค่วเหวินหลานเหมือนจะอารมณ์ดีมาก เขาไว้หน้าทั้งสองคนมาก รับปากทันทีโดยไม่พูดอะไรเยอะ ทำให้ทั้งสองโล่งใจแล้ว ถ้าสามารถช่วยให้มู่หรงซิงหัวหลุดพ้นจากเฉาว่านเสียงได้ ก็นับว่าได้ทำเรื่องที่สามารถจะทำได้แล้ว ในใจจะได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ใครใช้ให้มู่หรงไปมั่วอยู่กับเฉาว่านเสียงตั้งแต่แรกล่ะ
ตรงนี้เพิ่งจะโล่งใจ แต่ด้านนอกกลับมีกลุ่มคนเข้ามาโดยไม่ได้ผ่านการรายงาน สตรีวัยกลางคนที่นำหน้ามาดูสุขุมมีมารยาท ผิวเนื้อละเอียดอ่อน หน้าตาสวยสดงดงาม บนตัวมีปราณปีศาจเล็กน้อย ข้างหลังมีหญิงรับใช้ติดตามมาสองคน
สตรีวัยกลางคนกวาดมองทั้งสองที่นั่งอยู่ในศาลาแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นเยียบพิศวง ถามเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อกับสวีถังหรานเหรอ?”
เหมียวอี้กับสวีถังหรานสบตากับแวบหนึ่ง ทั้งคู่ไม่รู้จักนาง ได้แต่ยืนพร้อมกันด้วยแววตางงงวย
เป็นหญิงรับใช้ข้างกายสตรีวัยกลางคนที่เอ่ยว่า “เถาฮวาฮูหยินมาถึงแล้ว ยังไม่รีบคำนับอีก?”
เถาฮวาฮูหยิน? เหมียวอี้กับสวีถังหรานเข้าใจทันที นี่คือฮูหยินของหัวหน้าภาคเฉาว่านเสียง ว่ากันว่าดอกท้อที่ปลูกไว้เต็มจวนหัวหน้าภาคก็เกี่ยวข้องกับท่านนี้ ตอนนี้ได้พบกันถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วเป็นนักพรตปีศาจ ขนาดทั้งสองยังนึกไม่ถึงเลยว่าภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงจะเป็นปีศาจ
สวีถังหรานพึมพำในใจ มารดาเจ้าเถอะ ราชันสวรรค์เอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์เองแล้ว ถ้าข้าเจอนักพรตที่พลังอิทธิฤทธิ์ต่ำกว่าอนันตภาพก็ยังไม่ต้องทำความเคารพเลย พวกเจ้านับว่าสำคัญอะไรล่ะ
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งไม่ได้ ราชันสวรรค์อยู่สูงเกินไป อยู่ห่างออกไปเก้าชั้นฟ้า ทั้งสองทำได้เพียงกุมหมัดคำนับพร้อมกัน “คำนับฮูหยิน!”
หลังจากทั้งสองคำนับแล้ว เถาฮวาฮูหยินที่เดินเนิบนาบเข้ามาถึงได้ถามว่า “ไม่ต้องมากพิธี ราชันสวรรค์ลั่นวาจาแล้ว ข้ารับไม่ไหวหรอก”
ชัดเจนว่ากำลังเอาเปรียบทั้งสอง ตอนแรกไม่บอก หลังจากรอให้ทั้งสองคำนับแล้วค่อยบอกตามทีหลัง
กระทั่งนางเข้ามานั่งในศาลา ทั้งสองก็ทำได้เพียงยืนอยู่สองข้าง เหมียวอี้กุมหมัดถามว่า “ไม่ทราบว่าฮูหยินมีอะไรจะกำชับ?”
เถาฮวาฮูหยินกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่กล้าเรียกว่ากำชับหรอก แค่อยากจะถามพวกเจ้าสักหน่อย หยางไท่ลูกชายบุญธรรมของข้าตายอย่างไรกันแน่? ข้าต้องการฟังความจริง!”
ลูกชายบุญธรรมก้นสุนัขอะไรล่ะ! สองคนที่ยืนอยู่ข้างล่างรู้สึกขำในใจ คาดว่าท่านนี้คงยังไม่รู้ว่าเรื่องฉาวโฉ่ระหว่างตัวเองกับหยางไท่ได้โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปงแล้ว
สงสัยท่านนี้จะถูกใจหยางไท่มากจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าหยางไท่เอาอกเอาใจนางอย่างไร! เหมียวอี้กับสวีถังหรานมองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งสองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหยางไท่ตายได้อย่างไร ทำได้เพียงบอกตามที่มู่หรงซิงหัวบอกมา
เถาฮวาฮูหยินแสยะยิ้ม “มู่หรงกับหยางไท่วรยุทธ์พอๆ กัน หยางไท่เองก็ไม่มีจุดไหนที่สู้นางไม่ได้? นางมีอาศัยอะไรถึงรอดพ้นอันตราย แต่หยางไท่กลับไม่รอด?”
หยางไท่จะมาเทียบกับมู่หรงได้อย่างไร! สวีถังหรานดูถูกในใจ ในสายตาเขาตอนนี้มู่หรงซิงหัวอยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่าสิ่งที่มู่หรงซิงหัวจ่ายไปนั้นได้สิ่งตอบแทนกลับมาแล้ว
สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “สำหรับการตายของพี่หยาง พวกเราเองก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งเช่นกัน เพียงแต่ตอนที่พี่หยางตายพวกเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ สิ่งที่รู้มาจึงมีจำกัด”
เถาฮวาฮูหยินกวาดตามองไปรอบๆ แล้วถามว่า “แล้วมู่หรงผู้หญิงคนนั้นล่ะ ให้นางออกมาพบข้า”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งสองก็เงียบแล้ว สวีถังหรานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะตอบว่า “นายท่านหัวหน้าภาคมีธุระเรียกนางไปคุย ตอนนี้ไม่อยู่!”
“เชอะ! นางแพศยา!” เถาฮวาฮูหยินที่ถามไม่ได้ความอะไร สุดท้ายท้ายก็เดินออกไปอย่างเคียดแค้น เห็นได้ชัดว่ารู้เรืองของมู่หรงกับเฉาว่านเสียงอยู่แล้ว
ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ไม่ได้กลับมาหนึ่งคืนเช่นกัน จนกระทั่งฟ้าสางของอีกวันถึงได้กลับมา
เหมียวอี้กับสวีถังหรานกังวลว่าเถาฮวาฮูหยินจะไปคิดบัญชีกับนาง เรียกได้ว่านั่งอยู่ในศาลาทั้งคืน ตอนนี้เห็นใบหน้ามู่หรงยังเจือด้วยความชื่นมื่นที่หลงเหลือจากเมื่อคืนนี้ ท่าทางเหมือนอารมณ์ปรารถนายังไม่หายไป เหมือนไม่ได้เกิดเรื่องอะไร พวกเขาก็ทั้งโล่งใจทั้งนึกเชื่อมโยงไปถึงอะไรบางอย่าง มองนางด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ปนกันอย่างซับซ้อน
มู่หรงซิงหัวในตอนนี้กลับสบายใจไร้กังวล เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม พอเข้ามานั่งในนั้น ก็ถามว่า “พวกเจ้าสองคนมานั่งทำอะไรตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่?”
“พวกเรารอเจ้ามาทั้งคืนไง” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
“พวกเจ้าก็รู้เรื่องของข้ากับเฉาว่านเสียง เขารั้งข้าให้อยู่ต่อก็คงไม่ทำเรื่องอื่นหรอก มีแค่ให้ข้าถอดเสื้อผ้าเท่านั้นแหละ พวกเจ้ารอข้าทั้งคืนทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ?” มู่หรงซิงหัวแปลกใจ
สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “เมื่อวานฮูหยินของหัวหน้าภาคมาหาพวกเรา ถามว่าหยางไท่ตายยังไง แล้วก็ถามหาคนที่รู้เบื้องลึกอย่างเจ้า พวกเรากังวลว่านางจะทำอะไรไม่ดีกับเจ้า”
มู่หรงซิงหัวส่ายหน้า “ข้าอยู่กับเฉาว่านเสียงมาตลอด แต่ก็ไม่เห็นว่านางจะมาหาเรื่องข้า”
“งั้นก็ดี” สวีถังหรานยันสองแขนลงบนโต๊ะ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “มู่หรง เจ้าวางใจเถอะ ข้ากับน้องหนิวติดต่อกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ได้รับการอนุญาตจากผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ครั้งนี้ผู้บัญชาการใหญ่จะพาเจ้าไปด้วยกัน ต่อไปเจ้าก็จะหลุดพ้นจากเฉาว่านเสียงแล้ว สิ่งที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงพวกเรา พวกเราก็ช่วยเจ้าได้เท่านี้เหมือนกัน”
มู่หรงซิงหัวเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากผ่านไปนาน นางก็พูดเบาๆ ว่า “ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเจ้าแล้ว แต่ข้าไม่ออกไปจากที่นี่หรอก และจะไม่ไปจากเฉาว่านเสียงด้วย”
สวีถังหรานอ้าปากเล็กน้อย ยังนึกว่าตัวเองฟันผิดไป
เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง บนตัวเผยกลิ่นอายดุร้ายเล็กน้อย กล่าวเสียงต่ำว่า “หรือว่าเฉาว่านเสียงกำลังบีบบังคับเจ้า? ในใต้หล้ามีผู้หญิงสวยตั้งเยอะตั้งแยะ อาศัยฐานะและตำแหน่งของเขา ต้องการผู้หญิงแบบไหนก็มีหมด ทำไมต้องพัวพันอยู่กับเจ้าไม่ยอมปล่อย? เขาทำแบบนี้รังแกกันเกินไปหรือเปล่า!”
มู่หรงซิงหัวยิ้มเบาๆ แล้วโบกมือกล่าวเสียงเรียบ “น้องหนิว ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เขาไม่ได้บีบบังคับข้า เป็นข้าเองที่ไม่อยากไป”
“ทำไมล่ะ?” สวีถังหรานตกตะลึง
เหมียวอี้ก็แปลกใจมากเช่นกัน
มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ข้าเป็นดอกไม้โรยตกอับแล้ว ข้าไม่อยากย้อนนึกเรื่องบางอย่างที่เคยผ่านมา ในปีแรกๆ ข้าฐานะต่ำต้อย และเป็นเพราะหน้าตาสวยโดดเด่นจึงไปถูกใจเฉาว่านเสียง อาศัยฐานะและตำแหน่งของเฉาว่านเสียง ข้าไม่มีทางขัดขืนได้เลย ทำได้เพียงเชื่อฟัง แต่ที่ข้ามีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะอาศัยการอุ้มชูสนับสนุนจากเฉาว่านเสียง และในบรรดาคนที่เข้าสู่ตำหนักสวรรค์พร้อมกันกับข้า บางคนยังเป็นทหารสวรรค์อยู่เลย มีเรื่องมากมายที่มีได้ก็ต้องมีเสีย ข้าเป็นคนเลือกเดินเส้นทางนี้เอง จะมาพูดเรื่องผิดถูกอีกก็สายไปแล้ว ตอนนี้ต่อให้ข้าจากเฉาว่านเสียงไปแล้วยังไงต่อล่ะ? คนที่รู้ว่าข้าเคยเป็นหญิงชู้ของเฉาว่านเสียงมีเยอะเกินไป เรื่องราวในช่วงนี้ลบออกไม่ได้ ต่อให้ไปได้ไกลกว่านี้ แต่ไม่ช้าก็เร็วคงมีคนเอ่ยถึง หลบเลี่ยงไม่พ้น”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “งั้นอย่างน้อยก็ต้องหาคนที่ตัวเองชอบสิ ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังนะ เฉาว่านเสียงหน้าตาสู้สวีถังหรานไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ขระที่พูดก็ชี้เปรียบเทียบกับสวีถังหราน “อาศัยฐานะและตำแหน่งของเจ้าในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายมาเลี้ยงเจ้าหรอก โดยเฉพาะการฝืนใจตัวเองแบบนี้ ไม่สู้เจ้าไปฝืนใจคนอื่นดีกว่า เจ้าสามารถหาใครสักคนที่ไม่ถือสาเรื่องผู้ชายคนก่อนของเจ้าได้อยู่แล้ว”
สวีถังหรานกลอกตามองบน ผลักมือของเขาออกไป “เจ้าชี้ไปที่ใคร? ข้าหน้าตาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? จำเป็นต้องเอาข้าไปเทียบกับคนเตี้ยล่ำอย่างเฉาว่านเสียงด้วยรึไง?”
“ข้าก็แค่เปรียบเทียบ” เหมียวอี้ตอบอย่างขอไปที
มู่หรงซิงหัวอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา แล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจเจตนาของพกเจ้า เพียงแต่ว่า…คนอื่นไม่ถือสา แต่ข้าถือสานะ ข้าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปทั้งชาติ ไม่อยากโดนคนอื่นสะกิดปมด้อยมาวิจารณ์ลับหลังไปตลอด ในระหว่างการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ข้าคิดเยอะมาก ข้ารู้ชัดแล้วว่าควรจะเดินในเส้นทางของตัวเองยังไง เรื่องบางอย่างในเมื่อหลบซ่อนไม่ได้แล้ว ก็ไม่สู้ไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญดีกว่า ลองเดินหน้าอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้ ลบล้างชื่อเสียงสกปรกโสมมของตัวเอง ถ้าแม้แต่ตัวเองยังล้างให้สะอาดไม่ได้ แล้วจะไปอุดปากคนอื่นได้ยังไง หลบหลี่ยงไปก็ไร้ประโยชน์ จ้ามผ่านประตูที่อยู่มนใจตัวเองไม่ได้!”
“ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป แบบนั้นต่างหากที่อุดปากคนอื่นไม่ได้ จะล้างตัวเองไม่สะอาดตลอดไป” สวีถังหรานพึมพำ
มู่หรงซิงหัวทำท่าอึกอัก เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะบอกทั้งสองดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ทั้งสองเป็นห่วงตน สุดท้ายก็ยืนขึ้นท่ามกลางความลังเล หันตัวไปเผชิญหน้าดอกท้อที่อยู่เต็มสวน รับลมเบาๆ ที่เย็นสดชื่น พร้อมกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ทำไมไม่ลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูบ้างล่ะ ทำไมข้าต้องเป็นหญิงชู้ของเขาไปทั้งชีวิตล่ะ เป็นภรรยาเอกของเขาไม่ได้เหรอ ?”
“…” ชั่วพริบตาเดียว สวีถังหรานกับเหมียวอี้ก็อ้าปากค้างพูดไม่ออกพร้อมกัน แล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในที่สุดก็เข้าใจเจตนาของมู่หรงซิงหัวแล้ว นี่นางกำลังอยากแทนที่เถาฮวาฮูหยิน!
ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังไม่เคยคิดมาทางด้านนี้เลยจริงๆ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง บางครั้งก็ไม่สามารถยืนครุ่นคิดปัญหาจากมุมมองของผู้หญิงได้เลยจริงๆ ตอนนี้มาลองคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ ยังมีวิธีการไหนที่สามารถลบล้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ได้ดีกว่าการเป็นภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงอีกล่ะ? ถ้าได้เป็นภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงแล้ว ในภายหลังนางก็จะได้เป็นเฉาฮูหยินแล้ว
สวีถังหรานหัวเราะเจื่อนๆ แล้วบอกว่า “ที่จริงแล้วน่ะ ข้าก็ยังหวังให้เจ้าหาผู้ชายสักคนที่ตัวเองชอบ”
มู่หรงซิงหัวหันหลังให้พร้อมบอกว่า “เรื่องมาจนป่านนี้แล้วไม่มีคำว่าชอบหรือไม่ชอบ เส้นทางนี้ข้าเลือกเอง นี่คือราคาที่ข้าต้องจ่าย ต่อไปนี้เฉาว่านเสียงก็คือผู้ชายของข้าแล้ว ให้เขาเป็นผู้ชายของข้าไปทั้งชีวิตก็สิ้นเรื่อง เดี่ยวหัวใจก็ย่อมเต็มใจเอง”
“เนื้อแท้เป็นคนดี เหตุใด…” เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล ขณะที่มองภาพข้างหลังที่อรชรอ้อนแอ้นของนาง เขาก็คำพูดไม่น่าฟังที่อยู่ตอนท้ายออกมา เพียงแค่ขมวดคิ้ว นึกถึงเรื่องของตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรว พบว่าที่จริงตัวเองก็ไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไร ไม่มีสิทธิ์ไปว่าอีกฝ่ายเลยจริงๆ
ในวันนั้น ทั้งสามออกจากจวนหัวหน้าภาค กลับสู่ดาวเทียนหยวน…
ดาวหยกงาม ดาวเคราะห์ที่เสมือนภาพมายา เป็นของสี่อ๋องสวรรค์!
ดาวหยกงาม พื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวของอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ ภูเขาไม่สูงมาก น้ำไม่ลึกมาก แสงอาทิตย์สว่างสดใส เมฆาเคลื่อนดุจความฝัน ทะเลสีเขียวคราวท้องฟ้าไร้ขอบเขต หนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดในโลก
ในจวนของอ๋องสวรรค์ที่มีปรากฏการณ์ที่สวยงามและหลากหลาย ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนเจ้าของ หลังจากสตรีชุดขาวที่สวมหมวกผ้ามุ้งคนหนึ่งเดิมตามหลังชายชราเข้ามาในห้องหนังสือที่เรียบง่ายงามสง่า ชายชราหันมากล่าวว่า “รออยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน อีกประเดี๋ยว คุณชายสามก็จะมา”
“ค่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นถอดหมวกที่ห้อยผ้ามุ้งปิดบังใบหน้า ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฮวาหูเตี๋ยเถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำผีเสื้อแห่งดาววิงวอนชีพ
…………………………