พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1056 กลับมาพร้อมเกียรติยศ
คนที่มาต้อนรับไม่ได้มีแค่ผู้การสองหลันเซียง ผู้ช่วยทั้งสองคนของโค่วเหวินหลาน เล่าหนานซงกับกงอวี่เฟย รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองคนก็กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่ในตึกเช่นกัน
พวกฝูชิงที่อยู่บนหอประตูเมืองก็นำคนมารอแล้วเช่นกัน เงยน้ามองบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เป็นระยะ กำลังพลของเขตเมืองทั้งสี่ที่ไม่ได้เข้าเวรก็แทบจะมารวมตัวรออยู่ที่ประตูเมืองตะวันออกทั้งหมด
“มาแล้ว! ผู้บัญชาการมาแล้ว!” หูเฟยที่สวมเกราะรบอยู่บนหอประตูเมืองพลันอุทานพลางชี้ไปบนท้องฟ้า
ทุกคนพากันมองไปบนท้องฟ้า ผู้การสองและคนอื่นๆ ที่อยู่ในตึกถลันตัวออกมา เห็นเพียงเงาคนสามคนเหาะลงมาจากท้องฟ้า เหมียวอี้และผู้บัญชาการอีกสองคนกลับมาแล้ว
ทุกคนที่อยู่บนหอประตูเมืองถลันตัวลงมาทันที บริเวณประตูเมืองตะวันออกถูกปิดล้อมในชั่วพริบตาเดียว ควบคุมพ่อค้าและผู้ที่สัญจรเข้าออก กลุ่มทหารสวรรค์ล้อมที่นี่ไว้แล้ว ไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้
“คารวะผู้บัญชาการ!” ทุกคนที่อยู่ตรงประตูเมืองคารวะเสียงดังพร้อมกันภายใต้การนำของพวกฝูชิง เสียงดังเกริกก้อง
พวกเหมียวอี้เผยรอยยิ้มบนใบหน้า ยกมือกันบอกใบ้ให้ทุกคนยืนตรง
“เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จะมาต้อนรับพวกเราหรือจะมาจับกุมตัวพวกเรากันแน่” สวีถังหรานถือโอกาสพูดหยอกล้อ
“ผู้บัญชาการสวีกล่าวเกินไปแล้ว ได้อันดับหนึ่งจากราชันสวรรค์ ใครจะกล้าต้อนรับไม่ดี!” เสียงของผู้การสองหลันเซียงดังมา เล่าหนานซงกับกงอวี่เฟยตามอยู่ทางซ้ายและขวา เดินออกมาด้วยกันจากด้านหลังกลุ่มคนที่หลีกทางให้
พวกเหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าผู้การสองท่านนี้จะมาด้วย จึงกุมหมัดคารวะพร้อมกันทันที “คารวะผู้การสอง คารวะรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองท่าน!”
ผู้การสองหัวเราะเบาๆ แล้วผายมือเล็กน้อย “รับการคารวะจากพวกเจ้าไม่ไหวหรอก ไม่อย่างนั้นจะขัดกับเจตนารมณ์ของสวรรค์นะ!”
เจตนารมณ์ของสวรรค์บ้าอะไรล่ะ! ทั้งสามพึมพำในใจ ตลอดทางที่กลับมานี้ ถ้าเจอใครที่ควรทำความเคารพก็ไม่ละเลยสักคน ที่ราชันสวรรค์บอกว่าไม่ต้องทำความเคารพนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นั่นเป็นเพียงคําปราศรัยแท้ๆ เลย ถ้าเจอคนที่ตำแหน่งสูงกว่าแล้วเจ้าก็ลองไม่คารวะดูสิ!
และแน่นอน ต่อให้เจ้าไม่ทำความเคารพ อีกฝ่ายก็ไม่บังคับเจ้าเช่นกัน กลับจะพูดตอบตามมารยาทเหมือนที่ผู้การสองพูดเมื่อครู่นี้ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรราชันสวรรค์ก็ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว แต่ถ้าเจ้านำคำพูดของราชันสวรรค์ไปคิดเป็นจริงเป็นจัง ภาพลักษณ์เจ้าก็จะกลายเป็นคนหยิ่งผยองไร้มารยาทและไม่เห็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในสายตาทันที จะไปล่วงเกินใครให้ไม่พอใจบ้างก็ยังไม่รู้เลย
ดังนั้นแล้ว ตอนแรกที่ได้รับรางวัลจึงรู้สึกดีใจมาก คิดว่าต่อไปนี้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่เวลาปฏิบัติจริงขึ้นมาไม่สามารถทำตามคำพูดของราชันสวรรค์ได้เลย ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งปัจจุบันไม่ได้ ยศสูงขึ้นก็แปลว่ารายได้และสวัสดิการเพิ่มสูงขึ้น แต่ในด้านอำนาจกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด สิ่งที่เรียกว่าอำนาจก็คือตำแหน่งขุนนางที่มีอำนาจที่แท้จริง ถ้าไม่มีอำนาจที่แท้จริงต่อให้ยศเจ้าสูงกว่านี้ก็เป็นเพียงความจอมปลอม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตำแหน่งขุนนางของเจ้าควรจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนยังอยู่ในมือของผู้บังคับบัญชาอยู่ดี แล้วเจ้าจะกล้าเสียมารยาทใส่ผู้บังคับบัญชาของเจ้าเหรอ? อีกฝ่ายสามารถปรับตำแหน่งเจ้าได้ตลอดเวลา ยศระดับทหารสวรรค์ที่ถูกส่งให้ไปเป็นเทพเจ้าที่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
ทั้งสามคนที่มารอบนี้นับว่าเข้าใจอย่างถึงที่สุดแล้ว การที่ราชันสวรรค์ให้รางวัลอย่างอึกทึกครึกโครม ก็แค่อยากจะแสดงให้คนอื่นดูเท่านั้น ให้คนอื่นรู้สึกว่ามีหน้ามีตา ถ้าทั้งสามเก็บไปคิดเป็นจริงเป็นจังก็แสดงว่าเป็นคนโง่แล้ว
และแน่นอน ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีอะไรเลย อย่างน้อยราชันสวรรค์ก็อนุญาตด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นชื่อเสียงเกียรติยศ ถ้าเจ้ายังทำความเคารพต่อไป ก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเจ้าเคารพเขาเป็นพิเศษ ดูมีน้ำหนักกว่าเวลาที่คนอื่นทำความเคารพนิดหน่อย และนี่ก็เป็นข้อดีเหมือนกัน
หลังจากพวกเขากล่าวตามมารยาทต่อหน้าฝูงชนแล้ว ผู้การสองหลันเซียงก็บอกว่า “นายท่านแม่ทัพภาคยังไม่กลับมาจากจวนท่านโหว สั่งให้ข้าจัดงานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักคุ้มเมืองคืนนี้ เป็นตัวแทนเลี้ยงฉลองให้ทั้งสามคน รอให้นายท่านกลับมาก่อนแล้วค่อยเรียกพบอีกทีหนึ่ง”
“การเคารพเทียบไม่ได้กับทำตามคำสั่ง!” ทั้งสามเอ่ยรับ
ทางนี้ยังไม่ทันได้พูดอะไรกับพวกฝูชิง ทำได้เพียงพยักหน้าทักทาย จากนั้นก็เดินเคียงข้างผู้การสองหลันเซียงเพื่อเข้าไปในเมือง
พวกฝูชิงก็เข้าใจได้เช่นกัน เมื่อเข้ามาอยู่ในสถานภาพแบบนี้ก็ต้องทำตามธรรมเนียม เวลาส่วนใหญ่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ต่อให้ในใจจะไม่อยากประจบประแจง แต่ภายนอกก็ยังต้องประจบประแจง พวกเขาจึงเดินตามหลังไป
ในเมืองมีคนไม่น้อยมารวมตัวกันเพื่อรอดูความสนุกสนานคึกครื้นแล้ว
บนภัตตาคารที่อยู่ริมถนน อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวกำลังนั่งพิงรั้วอยู่ในห้องส่วนตัว กำลังมองภาพกลุ่มทหารสวรรค์กันคนอยู่ตรงประตูเมือง การจัดวางกำลังเข้มงวดมาก
อวิ๋นจือชิวถูกหวงฝู่จวินโหรวดึงมา ‘ดื่มน้ำชา’ แท้ๆ เลย เพียงแต่การดื่มน้ำชาครั้งนี้อวิ๋นจือชิวรู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย แต่นางก็ยังต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร
ผ่านไปครู่เดียว คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในเมืองภายใต้การล้อมของกลุ่มทหารสวรรค์ ท่านขุนนางเหมียวที่อยู่ท่ามกลางความเอิกเกริกแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีดำทั้งตัว ลักษณะห้าวหาญเหมือนวีรบุรุษ เรียกได้ว่าเป็นกระเรียนยืนกลางฝูงไก่ กอปรกับอยู่บริเวณตรงกลางของกลุ่มคน ดังนั้นเขาจึงดูโดดเด่นสะดุดตามาก
การปรากฏตัวนี้ อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวต่างก็เพ่งมองอยู่พักหนึ่ง แววตาของหวงฝู่จวินโหรวค่อนข้างสื่ออารมณ์ซับซ้อน
“คนคนนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าตำแหน่งสูงอำนาจมาก เป็นใครกัน?”
“ไม่รู้สิ!”
ตรงประตูภัตตาคารมีพวกผู้หญิงที่มาซื้อของที่ตลาดสวรรค์กำลังกระซิบกระซาบกัน คนงานของภัตตาคาเดินเข้ามาใกล้ เห็นได้ชัดว่าเคยเจอเหมียวอี้มาก่อน จึงตอบอยู่ข้างๆ ว่า “จะเป็นใครไปได้ล่ะ? พื้นที่พวกเจ้าเหยียบอยู่ก็เป็นอาณาเขตของเขานี่แหละ ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของตลาดสวรรค์ แม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการหนิวที่เวลาเจอนักพรตที่วรยุทธ์ต่ำกว่าระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ไม่ต้องทำความเคารพ นั่นคือบุคคลที่เข้าตาราชันสวรรค์ อนาคตยาวไกลไร้ขอบเขต!”
“คนนี้เองเหรอผู้บัญชาการหนิว?” ผู้หญิงคนนั้นตาเป็นประกายทันที
สิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึงทั่วทั้งตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนในตอนนี้ ก็คือเรื่องของหนิวโหย่วเต๋อและผู้บัญชาการอีกสองคน พวกเขาแทบจะกลายเป็นประเด็นสนทนาที่น่าสนใจของทุกคน ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าพวกหนิวโหย่วเต๋อจะได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งนี้ ตอนนี้คนที่นี่ค่อนข้างภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ รู้สึกเป็นเกียรติและโชคดี
ผู้หญิงอีกคนกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “ดูอายุน้อยขนาดนี้เชียวเหรอ!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นึกไม่ถึงว่าอายุเพียงเท่านี้ก็มีตำแหน่งสูงขนาดนี้แล้ว
พวกเหมียวอี้เองอาจจะไม่ได้รู้สึกว่ายิ่งใหญ่อะไร เบื้องบนมีคนที่อำนาจเยอะกว่าพวกเขาตั้งมากมาย แต่สำหรับนักพรตอิสระทั่วไป เหมียวอี้จัดเป็นประเภทคนที่มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากจริงๆ เพราะในมือกุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ ทั้งยังได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่รายได้เยอะอย่างที่ตลาดสวรรค์ด้วย กอปรกับได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ ภายใต้การจงใจสร้างกระแสของตำหนักสวรรค์ แถมหน้าตาอยู่ในระดับบน นี่ก็คือลูกเขยเต่าทอง[1]ขนานแท้ ไม่รู้ว่าตรงนั้นมีผู้หญิงตั้งเท่าไรที่มองจนตาลุกวาว
ถ้าสามารถแต่งงานกับผู้ชายประเภทนี้ได้ อย่าว่าแต่แต่งงานเลย ต่อให้สามารถมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนิดหน่อย แล้วอีกฝ่ายหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ให้เจ้าสักร้าน แบบนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ไปทั้งชาติแล้ว
แต่จนใจที่คนประเภทนี้ ใช่ว่าเจ้าอยากจะรู้จักก็รู้จักได้ ก็เหมือนที่คนงานข้างๆ พูดหยอก “เลิกน้ำลายไหลได้แล้ว ผู้ชายประเภทนี้ไม่ใช่คนที่ผู้หญิงทั่วไปจะคิดถึงได้ ผู้หญิงทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาเขาหรอก ต่อให้พวกเจ้าเต็มใจ แต่ก็ต้องหาทางไปเข้าใกล้ตัวเขา ดูองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาสิ แม้แต่เข้าใกล้พวกเจ้ายังไม่มีสิทธิ์เลย”
“ไป! ไปรินน้ำชาของเจ้าโน่น ไปรินน้ำของเจ้าไป!” ผู้หญิงที่โดนว่าให้อับอายโมโหสบถไล่ ต่อให้ไขว่คว้ามาไม่ได้ แต่ก็ขอฝันหน่อยไม่ได้รึไง? ที่น่ารำคาญที่สุดก็คือพวกคนทรามที่ชอบมาทำคนอื่นฝันสลายนี่แหละ ได้รินน้ำชาไปทั้งชีวิตก็สมน้ำหน้าแล้ว!
ที่หน้าต่างของชั้นบน หวงฝู่จวินโหรวได้ยินบทสนทนาข้างล่างแล้วเม้มปากหัวเราะ “นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการหนิวจะกลับมาแล้ว ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมเอิกเกริกขนาดนี้ ท่านดูพวกผู้หญิงที่อยู่สองข้างทางสิ แต่ละคนจ้องเจ้าหมอนั่นตาเป็นมันแล้ว พี่อวิ๋น ผู้บัญชาการหนิวจริงใจกับท่านนะ ท่านดูสิว่ามีผู้หญิงมากมายขนาดไหนที่เฝ้าหวังแต่ไขว่คว้าไม่สำเร็จ ท่านยอมๆ เขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่อย่างนั้นต้องระวังนะ อาจจะมีวันไหนที่โดนคนอื่นแย่งไปก็ได้”
อวิ๋นจือชิวร้องเชอะในใจ ผู้ชายที่ใครบางคนเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอด ที่จริงแล้วเป็นผู้ชายของข้าเอง ถ้าอยากจะคิดถึงก็ต้องถามข้าด้วยว่าอนุญาตหรือเปล่า ถ้าข้าไม่อนุญาตก็อย่าหวังเลยว่าจะได้แต่งงานเข้ามา ตอนนั้นคงเป็นเวลาที่ใครบางคนจะได้ร้องไห้!
แต่นางก็แค่ยิ้มเบาๆ เท่านั้น ยิ้มโดยไม่พูดอะไร สายตากำลังจ้องที่เหมียวอี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าผู้ชายของตัวเองดูดีที่สุด ได้เห็นเขากลับมากับตาตัวเอง ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร นางก็หายกังวลใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
เหมียวอี้ไม่ได้สังเกตอวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ บนหอน้ำชา ยืนพูดอะไรตามมารยาทตรงหน้าประตูอกสองสามคำ หลังจากส่งพวกหลันเซียงไปแล้ว ถึงได้พาฝูชิงและคนอื่นๆ เหาะไป เขากับพวกสวีถังหรานต่างคนต่างกลับเขตเมืองของตัวเองแล้ว
เมื่อกลับถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เป่าเหลียนที่กลั้นสีหน้าดีใจเอาไว้ก็รีบนำน้ำชามาวางให้ เหมียวอี้บอกนางว่าไม่ต้องแล้ว จากนั้นก็นำนำฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
“หลังจากข้าไปแล้วไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่มั้ย?” เมื่อทั้งสามนั่งลงในศาลา เหมียวอี้ก็เอ่ยถาม
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง แล้วแอบพูดในใจว่า ไม่มีเรื่องอะไรก็แปลกแล้ว
เรื่องบางเรื่องทั้งสองรู้อยู่แก่ใจ โชคดีที่เหมียวอี้รอดชีวิตกลับมาแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ทางฝั่งพวกเขาก็จำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหวเช่นกัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะเลิกเกรงใจอวิ๋นจือชิว กดดันให้อวิ๋นจือชิวส่งเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ให้
ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดจะทำผิดกับพี่น้องตัวเอง แต่ถ้าพี่น้องตัวเองตายแล้ว เช่นนั้นก็ต้องคำนึงถึงพี่น้องคนอื่น เบื้องล่างมีลูกน้องมากมายที่ตามมาทำงานหาเลี้ยงชีพ
หลังจากได้รู้ข่าวว่าเหมียวอี้ได้อันดับหนึ่งกลับมา ทางฝั่งฝูชิงและฝั่งอวิ๋นจือชิวก็เรียกได้ว่าแอบโล่งใจ ถ้าไม่ถึงตอนสุดท้ายก็ไม่มีใครอยากทำอย่างนั้น เพราะทำอย่างนั้นไม่เป็นผลดีกับใครเลย
“ไม่มีเรื่องอะไร ตลาดสวรรค์จะมีเรื่องอะไรได้ เออใช่ เจ้าห้า รายได้กับของที่ร้านค้าต่างๆ นำมาแสดงความกตัญญูในแต่ละปี พวกเราส่งให้น้องสะใภ้ไปหมดแล้ว” ฝูชิงหาประเด็นอื่นมาสนทนา
ส่วนอิงอู๋ตี๋ก็กล่าวอย่างลังเลว่า “ถ้าจะบอกวาไม่มีเรื่องอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้ ทางฝั่งทะเลดาวนักษัตร พวกเราไม่ได้โผล่หน้าไปนานขนาดนี้ อาจจะทำให้หกปราชญ์สงสัยได้ มีคนมาสืบข่าวที่ทะเลดาวนักษัตรไม่หยุด แต่โดนคนของพวกเราจับได้แล้ว เจ้าห้า เจ้าลองดูหน่อยว่าเวลาไหนที่เหมาะสมจะให้พวกเรากลับไปโผล่หน้าสักครั้ง ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเวลานานไปแล้วจะเกิดปัญหา ทางจีฮวนเรีบกพบหลายครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะหาเหตุผลมาปฏิเสธได้ตลอด!”
เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าเองก็กำลังคิดว่าจะกลับไปสักรอบเหมือนกัน เพียงแต่ช่วงนี้เกรงว่าจะปลีกตัวไปไม่ได้ เป็นไปได้สูงว่าโค่วเหวินหลานจะได้เลื่อนตำแหน่ง พวกเราอาจจะต้องย้ายที่อยู่แล้ว รอให้จัดการเรื่องนี้ก่อน แล้วพวกเราก็จะกลับไปพร้อมกัน”
ก็ดี!” ทั้งสองพยักหน้า
จากนั้นเหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “ลืมแจ้งข่าวดีไปเลย ได้ยินว่าพวกท่านบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นสี่แล้วเหรอ?”
ทั้งสองตอบกลั้วหัวเราะว่า “พี่ใหญ่กับเจ้าสี่ก็บรรลุแล้วเหมือนกัน โชคดีที่น้องสะใภ้ใจกว้าง ทำเอาพี่ใหญ่กับเจ้าสี่รู้สึกเกรงใจ ไม่ต้องทำงานอะไรก็ได้ผลประโยชน์มาเปล่าๆ มากมายแบบนั้น” อวิ๋นจือชิวกลับไปส่งส่วยทุกปี มักจะนำของไปมอบให้ทางทะเลดาวนักษัตรบ่อยๆ
“นั่นเป็นเรื่องที่สมควร ทุกคนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจกัน!” เหมียวอี้โบกมือ
จากนั้นทั้งสองก็ถามถึงเรื่องการทดสอบ เหมียวอี้จึงเล่าส่งเดชเหมือนเป็นเรื่องตลก
จนกระทั่งทั้งสองกลับไปแล้ว เป่าเหลียนก็มาถามอีกว่า “นายท่าน ทางท่านปู่ข้าทราบข่าวดีของนายท่านแล้ว เลยฝากมาถามว่าเมื่อไรนายท่านจะมีเวลาว่างไปนั่งที่สำนักลมปราณสักหน่อย”
“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วรับปากอย่างสบายใจว่า “เพิ่งจะกลับมา รอให้จัดการธุระในมือเรียบร้อยก่อน จะต้องไปเยี่ยมคารวะแน่นอน!”
…………………………
[1] ลูกเขยเต่าทอง 金龟婿 อุปมาถึงลูกเขยที่มีฐานะสูงส่ง