พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1057 ชิงตัวบนถนน
เมื่อได้คำตอบจากเขาแล้ว เป่าเหลียนก็ดีใจมาก ออกไปตอบอวี้หลิงเจินเหรินแล้ว ทว่าเพิ่งจะออกไปได้ไม่นานก็กลับมาอีก มาแจ้งเหมียวอี้ว่ามีแขกมาหา บรรดาผู้จัดการจากร้านใหญ่ๆ ของเขตเมืองตะวันออกมาแสดงความยินดี
เหมียวอี้ถือระฆังดาราไว้ในมือ เพิ่งจะมาถึงอวิ๋นจือชิวก็ส่งข้อความมา ถามว่าเมื่อไรเขาจะไปที่นั่น
เดิมทีเขาคิดว่าจะไปที่นั่นทันที แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วเกรงว่าจะยังไปไม่ได้ ผู้จัดการร้านร้านค้าใหญ่ๆ ที่สามารถมาแสดงความยินดีได้ก่อนใครล้วนมีอำนาจหนุนหลัง ไม่สะดวกจะไปล่วงเกินให้ไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็มาแสดงความยินดี แสดงว่าจะต้องมีของขวัญติดไม้ติดมือมาแน่นอน จึงออกไปพบโดยพุ่งเป้าไปที่ของขวัญ
เขาจึงเกาศีรษะอย่างจนใจพร้อมบอกว่า “เชิญเข้ามา!”
เป่าเหลียนเพิ่งจะเดินออกไป เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราบอกอวิ๋นจือชิวอีก : ตอนนี้ยังไปไม่ได้ ผู้จัดการของร้านค้าต่างๆ มาหาแล้ว เจ้าจะอาศัยข้ออ้างนี้มาหามั้ย?
อวิ๋นจือชิว : ข้าไม่ไปแล้วกัน เสร็จงานแล้วเจ้าค่อยกลับมา ข้าเรียกสองพี่น้องโอวหยางมาด้วยแล้ว ตอนค่ำกินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัว
เหมียวอี้ : ตอนค่ำไม่ได้ ผู้การสองบอกว่าต้องจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักคุ้มเมือง
อวิ๋นจือชิว : งั้นรอให้เจ้าว่างค่อยมาก็แล้วกัน
ตรงนี้เพิ่งจะติดต่อกันเสร็จ ผู้จัดการของร้านค้าต่างๆ ก็ทยอยกันมาถึงแล้ว การทักทายปราศัยตามมารยาทเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
ส่งแขกกลับไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เพิ่งกลับมาถึงก็งานยุ่งสุดๆ แต่แบบนี้ไม่เป็นอะไรเลย ในเมื่อทำมาหากินที่นี่แล้ว นั่งยังนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ การเข้าสังคมบ้างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ที่ยุ่งยากก็คือคนที่ไม่อยากเจอที่สุดมาหาอีกแล้ว
เป่าเหลียนมาแจ้งมา “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ของร้านค้าสมาคมวีรชนมาขอพบค่ะ”
ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้นใช่มั้ย? เหมียวอี้ปฏิเสธไปตรงๆ ว่า “ไม่พบ! บอกไปว่าข้ามีธุระ งดรับแขกชั่วคราว ถ้ามีแขกมาอีกให้ไล่ไปพบฝูชิงด้วยเหมือนกัน”
เป่าเหลียนย่อมไปตอบแขกตามคำสั่ง
ด้านนนอกจวนผู้บัญชาการ คนงานหามเกี้ยวที่ได้รับคำตอบเดินกลับมารายงานข้างๆ เกี้ยว
หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวแค้นจนกัดฟันกรอด กัดฟันตอบว่า “กลับ!”
ตอนค่ำ ตำหนักคุ้มเมืองจัดงานเลี้ยงฉลอง เหมียวอี้ สวีถังหรานและมู่หรงซิงหัวมาถึงงานเลี้ยงอย่างตรงเวลา ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็พามาด้วย คนอื่นๆ ก็พารองผู้บัญชาการของตัวเองมาด้วยเช่นกัน
แต่เรื่องที่น่าบังเอิญก็คือ พอเข้ามาในสวนดอกไม้ที่ตำหนักหลังของตำหนักคุ้มเมือง แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็ได้เห็นคนที่ไม่อยากเห็น หวงฝู่จวินโหรว!
ทำไมไปที่ไหนก็เจอแต่ผู้หญิงคนนี้! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าผู้การสองหลันเซียง เหมียวอี้ก็บุ่มบ่ามหันหน้าเดินหนีไปแล้ว
แต่หวงฝู่จวินโหรวกำลังยืนคุยอยู่กับหลันเซียง เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาคำนับ หลันเซียงย่อมกล่าวทักทายตามมารยาท หวงฝู่จวินโหรวกลับกล่าวเหมือนอมยิ้มว่า “ผู้บัญชาการหนิว ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้ไหม!”
นางเอ่ยปากต่อหน้าผู้การสองอย่างสง่าผ่าเผย เหมียวอี้แสร้งกล่าวอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “มีธุระอะไรที่พูดหน้าผู้การสองไม่ได้ล่ะ มีอะไรก็พูดกันตรงนี้ได้” เขาเองก็อยากจะอาศัยผู้การสองเพื่อหลบเลี่ยงความยุ่งยากเช่นกัน
“อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการหนิวกลัวข้าจะกิน? มีธุระส่วนตัวจะขอคำแนะนำสักหน่อย ไว้หน้าข้าสักครั้งไม่ได้เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินว่าเป็นธุระส่วนตัว ผู้การสองก็ยิ้มและเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงไปเอง “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ!”
รอจนกระทั่งทางซ้ายและขวาไม่มีคนแล้ว เหมียวอี้ก็หน้าเครียดขรึมลงเล็กน้อย แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า”หวงฝู่จวินโหรว เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”
“คืนนี้ไปหาข้าสิ มีเรื่องจะคุยกับเจ้า” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวเสียงเรียบ
“มีเรื่องอะไรก็คุยกันตรงนี้” เหมียวอี้ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ เคยได้รับบทเรียนจากผู้หญิงคนนี้มาแล้ว ไปที่นั่นแล้วไม่มีเรื่องดีอะไรหรอก เขาไม่อยากพัวพันอยู่กับนางอย่างคลุมเครือแล้วจริงๆ
หวงฝู่จวินโหรวจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นเยียบทันที ถามเสียงเย็นว่า “เจ้าจะไปหรือไม่ไป?”
“ไม่ไป!” เหมียวอี้หันหน้าหนีเตรียมจะเดินออกไป
“เจ้าก็ลองไม่ไปดูสิ เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะบอกอวิ๋นจือชิวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ดูซิว่าเจ้ายังจะจีบนางอีกได้ยังไง!” หวงฝู่จวินโหรวขู่ทันที
เหมียวอี้หยุดฝีเท้า หันกลับมามองพร้อมแสยะยิ้ม “เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้เลย ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะไม่เกิดผลดีอะไรกับเจ้าเหมือนกัน!”
“เจ้าไม่ต้องใช้อุบายนี้มาขู่ข้าหรอก ต่อให้ข้าบอกเรื่องของเจ้ากับข้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ แต่เจ้าคิดว่านางจะกล้านำเรื่องของข้าไปเผยแพร่ซี้ซั้วเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
ที่นางพูดนั้นไม่ผิด อวิ๋นจือชิวรู้แล้วต้องไม่แพร่ข่าวนี้ซี้ซั้วแน่ และเหมียวอี้ก็ไม่กลัวด้วยว่าถ้าอวิ๋นจือชิวรู้แล้วจะจีบนางติดหรือไม่ เพราะเขาไม่ต้องจีบนาง เดิมทีตำแหน่งฮูหยินภรรยาเอกก็เป็นของนางอยู่แล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือเขาไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้
เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้านำเรื่องนี้ไปบอกอวิ๋นจือชิวตั้งแต่แรกก็จบแล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือเขาหลอกลวงอวิ๋นจือชิวมานานมาก ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเขาหลอกนางมาตลอด เช่นนั้นผลลัพธ์สุดท้ายก็ ‘งดงามเกินไป’ เหมียวอี้ไม่กล้าจินตนาการถึง
“ข้าไม่ตกหลุมพรางนี้หรอก!” เหมียวอี้หันหน้าเตรียมจะเดินออกไปอีกครั้ง
“ได้! นี่เจ้ากดดันข้าเองนะ ข้าไม่เข้าร่วมงานนี้แล้ว ข้าจะไปหาอวิ๋นจือชิวเดี๋ยวนี้เลย!” หวงฝู่จวินโหรวโมโหแล้วเช่นกัน หันหน้าเดินจากไปทันที
“หยุดนะ!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตะโกน สีหน้าค่อนข้างแย่ โดนอีกฝ่ายบีบจุดอ่อนอย่างจริงจังแล้ว เขาพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ตอนนี้ข้ายังหาทางไปเจอเจ้าไม่ได้ รอให้งานเลี้ยงจบข้าค่อยไป!” แบบนี้เท่ากับแสร้งทำเป็นยอมอ่อนข้อ แค่หาบันไดให้ตัวเองลงจากเรื่องนี้เท่านั้น
สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์! หวงฝู่จวินโหรวทังโมโหทั้งอยากขำ ในใจเรียกได้ว่าเกิดความคับแค้นใหม่อีกรอบ การที่สามารถนำเรื่องนี้มาบีบจุดอ่อนอีกฝ่ายได้ ก็แสดงว่าอีกฝ่ายชอบเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นจริงๆ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!
เหมียวอี้ที่กลับเข้ามาหากลุ่มคนรู้สึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะไปแตะต้องได้ ไปล่วงเกินผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้เลย แค้นใจที่ตอนนั้นไม่สามารถควบคุมของที่อยู่ในเป้ากางเกงได้ ตอนนี้โดนเกาะแกะพัวพันไว้แล้ว อยากจะสลัดก็สลัดไม่หลุด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าสักวันคงจะเกิดเรื่อง
ผ่านอุปสรรคอันตรายมาได้มากมายขนาดนั้น ถ้าจะมาจบเห่บนหนังท้องของผู้หญิงคนเดียว แบบนั้นมันใช่เรื่องเหรอ?
“น้องหนิว เป็นอะไรไป?” มู่หรงซิงหัวเดินมาถึงข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พบว่าเหมียวอี้สีหน้าดูไม่ดี จึงเหลือบมองหวงฝู่จวินโหรวแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรรึเปล่า?”
เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “เรื่องเล็กๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก!”
จนกระทั่งตอนที่งานเลี้ยงเริ่ม ในสวนดอกไม้ก็มีคนนั่งเต็มโต๊ะ ผู้การสองเป็นเจ้าภาพกล่าวคำปราศัยเล็กน้อย ทุกคนยกจอกสุราทันที ผลัดกันมาดื่มสุราฉลองให้ขุนนางผู้มีคุณูปการทั้งสาม นางรำของหอกลิ่นสวรรค์ที่อยู่บนเวทีก็ร้องระบำเพลงรักแล้วเช่นกัน
เมื่อถึงตอนที่เสวี่ยหลิงหลงขึ้นเวที สวีถังหรานที่ยกจอกสุราขึ้นมาก็เริ่มหรี่ตาเล็กน้อย จิบน้ำสุราช้าๆ จ้องมองเสวี่ยหลิงหลงไม่ละสายตาด้วยแววตาหิวกระหาย มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์…
หลังจากงานเลี้ยงเลิก ตอนที่หวงฝู่จวินโหรวเดินผ่านข้างกายเหมียวอี้ ก็แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าจะกลับไปรอเจ้าก่อน ถึงแล้วค่อยบอก ข้าจะได้ปิดค่ายกลป้องกัน”
เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย นี่นางกำลังจะให้ตนปีนกำแพงกลางดึก
“ผู้บัญชาการ เป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นคนแยกย้ายกันแล้ว แต่เหมียวอี้ยังอยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองและไม่มีท่าทีว่าจะกลับ อิงอู๋ตี๋จึงเอ่ยถาม
“พวกท่านกลับไปก่อนเลย ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย” เหมียวอี้ตอบ
อิงอู๋ตี๋ไม่ได้ถามอะไรมากอีก กลับไปกับพวกฝูชิงก่อนแล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็หาโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ เช่าห้องเดียวห้องหนึ่ง หลังจากปลอมตัวแล้วก็ทิ้งเหรียญผลึกไว้นิดหน่อย แล้วก็ออกมาข้างนอก
เมื่อมาถึงนอกร้านค้าสมาคมวีรชน ก็ฉวยโอกาสตอนไม่มีใครสังเกตเห็น ปีนกำแพงเข้าไปในชั่วพริบตาเดียว เมื่อเข้ามาที่สวนด้านหลังของร้านค้าสมาคมวีรชน ก็หลบเลี่ยงสายตาของคนในร้านค้าสมาคมวีรชนตามที่หวงฝู่จวินโหรววางแผนไว้ล่วงหน้า วิ่งเข้าไปในตึกแล้ว…
ณ ตำหนักคุ้มเมือง คณะนางรำของหอกลิ่นสวรรค์เก็บของเสร็จเรียบร้อย เมื่อรับค่าตอบแทนกับเงินรางวัลแล้วถึงได้กลับไป
ใครจะคิดว่าพอมาถึงครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีคนมาขวางอาชามังกรที่ลากรถม้า ท่านแม่สวีแหวกผ้าม่านรถ ยื่นศีรษะออกมาดูพร้อมถามว่า “เป็นอะไรไป?”
แววตาฉายแววตะลึงงันไปชั่วขณะ พบว่าผู้ช่วยผู้บัญชาการหลี่ฉางแห่งจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกนำกำลังคนมาขวางทาง ท่านแม่สวีรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ยามปกติไม่มีใครมาขวางทางพวกนางได้ที่ตลาดสวรรค์
“อ้าว! ที่แท้ก็เป็นขุนพลหลี่!” ท่านแม่สวีรีบกระโดดลงจากรถ บิดเอวอันชดช้อยมีเสน่ห์ของหญิงวัยกลายคนเดินเข้าไป เจียดรอยยิ้มออกมาเต็มใบหน้า โบกผ้าเช็ดหน้าในมือพร้อมถามว่า “ขุนพลหลี่ ดึกขนาดนี้ยังมาลาดตระเวนด้วยตัวเองอีก ลำบากท่านแล้วจริงๆ! น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หาที่พักดื่มน้ำชาสักหน่อยเถอะ!” นางยัดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือ
หลี่ฉางยกมือห้าม แล้วเดินไปข้างรถม้า ยื่นมือแหวกผ้าม่านมองเข้าไปข้างในแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเสวี่ยหลิงหลงที่เรือนร่างอ้อนแอ้นนั่งนิ่งอยู่ในนั้น ก็เผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา พอปิดผ้าม่าน ก็หันตัวมาพูดกับท่านแม่สวีว่า “ท่านแม่สวี เมื่อครู่นายท่านผู้บัญชาการได้เห็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์ร้องระบำที่ตำหนักคุ้มเมือง รู้สึกติดลมยังไม่หายอยาก เลยตั้งใจให้ข้ามาเชิญเสวี่ยหลิงหลงไปร้องเพลงให้ฟังเป็นการส่วนตัว!”
พูดจบกฌโบกมือเบาๆ มีทหารสวรรค์สองคนกระโดดขึ้นรถม้าทันที ผลักคนขับรถม้าหนึ่งที บังคับให้คนขับรถม้าออกจากขบวน และเลี้ยวไปทางจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก
ท่านแม่สวีร้อนรนทันที รีบไล่ตาม แต่กลับโดนทหารสวรรค์สองแถวที่คุ้มกันรถม้าชี้อาวุธออกมา กดดันจนนางไม่กล้าเข้าใกล้รถม้า
ท่านแม่สวีทำได้เพียงเร่งฝีเท้าตามไปดึงแขนหลี่ฉาง แล้วกล่าวขอความเมตตาว่า “ขุนพลหลี่ ฟ้ามืดแล้ว ไม่สะดวกจะไปรบกวนผู้บัญชาการจริงๆ พรุ่งนี้ได้มั้ย?”
หลี่ฉางที่เดินเอามือไขว้หลังโบกแขนสะบัดนางออกไป แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่รบกวนหรอก ตราบใดที่นายท่านผู้บัญชาการมีอารมณ์สุนทรีก็พอแล้ว”
“งั้นข้าจะจัดนักดนตรีให้ร่วมเดินทางไปด้วย!” ท่านแม่สวีรีบโบกมือเรียกกลุ่มคนข้างหลังที่กำลังมองหน้ากันเลิกลั่ก “ยังมัวเหม่ออะไรกันอีก นายท่านผู้บัญชาการอยากชมการร้องระบำ ยังไม่รีบตามมาอีก!”
“ไม่ต้องแล้ว!” หลี่ฉางตะโกนห้าม “นายท่านผู้บัญชาการอยากฟังเสียงร้องชัดๆ ท่านแม่สวีเชิญกลับไปเถอะ เดี๋ยวจะจ่ายเงินให้ท่านไม่ขาดแน่” พูดจบก็เอียงหน้าส่งสัญญาณ มีคนหลายคนพุ่งเข้ามาทันที ขัดขวางไม่ให้ท่านแม่สวีตามมา
คนที่สัญจรไปมาบนถนนเห็นฉากนี้แล้วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต่อให้รู้ก็ไม่กล้ายุ่ง ถ้าทำแบบนั้นแปลว่าเบื่อหน่ายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
ขณะที่มองเสวี่ยหลิงหลงที่นั่งอยู่ในนั้นโดนพาตัวไป ท่านแม่สวีก็ร้อนใจจนกระทืบเท้า มันใช่เรื่องเงินเสียที่ไหนกัน นางทำมาหากินอยู่ในแวดวงบันเทิงมานาน มีหรือที่จะดูไม่ออกว่าผู้บัญชาการท่านนั้นอยากจะบังคับขืนใจ คืนนี้วางแผนไว้แล้วว่าจะเด็ดดอกไม้ที่เป็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์!
แบบนี้จะทำอย่างไรดี! เสวี่ยหลิงหลงเกี่ยวข้องกับยี่ห้อของหอกลิ่นสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ถ้าหอกลิ่นสวรรค์ไม่มีเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ก็จะตกต่ำกลายเป็นโรงศิลปะระดับสามทันที ถ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการแสดงด้วยราคาสูงลิบลิ่วอีก คนทั้งหอกลิ่นสวรรค์เรียกได้ว่าทำมาหากินโดยฝากความหวังไว้ที่เสวี่ยหลิงหลง
ท่านแม่สวีเองก็ไม่ใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการสวีถังหรานแห่งเขตเมืองตะวันตกไม่กล้าแตะต้องเสวี่ยหลิงหลง แต่วันนี้จู่ๆ ก็แข็งกร้าวขนาดนี้ ส่งคนมาชิงตัวกลางตลาด ชัดเจนว่ากำลังอาศัยวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของราชันสวรรค์ เขาสร้างผลงานใหญ่กลับมา ตอนนี้ไม่อยากมีใครไปผิดใจกับขุนนางผู้มีคุณูปการที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง ไม่มีใครอยากทำให้สวีถังกรานไม่พอใจเพียงเพราะคนเต้นกินรำกินคนเดียว ภายใต้อานุภาพที่ยังหลงเหลือจากวาจาของราชันสวรรค์ การนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคนจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร? ถ้าพูดแบบน่าเกลียดหน่อยก็คือคิดเสียว่านี่เป็นรางวัล เกรงว่าแม้แต่หวงฝู่จวินโหรวก็คงขัดขวางไม่ไหว หรือว่าหวงฝู่จวินโหรวยังจะกล้าดันทุรังบุกเข้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก!
…………………………