พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1058 ใส่ร้ายป้ายสีจริงๆ!
ถึงอย่างไรหวงฝู่จวินโหรวก็ไม่ใช่คนของทางการ ถ้าบุกเข้าจวนผู้บัญชาการก็จะเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ ต่อให้หวงฝู่จวินโหรวจะมีภูมิหลังและเส้นสาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับกฎสวรรค์ ต่อให้เชิญหวงฝู่จวินโหรวมา แต่ถ้าสวีถังหรานตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พบนาง หวงฝู่ก็ไม่มีหนทางเหมือนกัน
มีใครไม่รู้ว่าบ้างว่าเสวี่ยหลิงหลงมีหวงฝู่คุ้มครองอยู่ แต่ที่สวีถังหรานกล้าแตะต้องในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้กังวลฝ่ายหวงฝู่จวินโหรวเลย
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ในเวลานี้นอกจากไปขอความช่วยเหลือหวงฝู่จวินโหรว ท่านแม่สวีก็ไม่รู้ว่าจะไปหาใครที่ไหนแล้ว นางเองก็รู้จักผู้การสองที่ตำหนักคุ้มเมืองเช่นกัน แต่นางไปมาหาสู่อยู่ระหว่างขุนนางตำแหน่งสูงพวกนี้มาหลายปี เข้าใจวิธีคิดของพวกนี้ดีเกินไป ก็ยังเป็นอย่างที่บอก ขุนนางผู้มีคุณูปการที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งเองอยากจะนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคน ถึงแม้ผู้การสองจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว
ทำได้เพียงรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น ท่านแม่สวีหยิบระฆังดาราออกมา รีบติดต่อกับหวงฝู่จวินโหรว หวังว่านางจะมีทางช่วยเหลือ
และหวงฝู่จวินโหรวในตอนนี้ก็กำลังอยู่ห้วงรักของชายหญิงต่างที่ต่างก็มีใจให้กัน นอกจากบังคับเหมียวอี้ให้มาหา นางยังจะทำอะไรได้อีก เป็นเพราะเกิดความเปลี่ยวเหงาหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติอร่อย จึงเฝ้าคอยจะที่จะพลอดรักกับชายคนรัก
ที่จริงเหมียวอี้ถูกนางทำให้กลัวแล้ว เมื่อเจอกับผู้หญิงที่พัวพันไม่เลิกแบบนี้ ไม่ให้กลัวก็คงไม่ได้ ถ้าเขาตัวคนเดียวก็ยังไม่เป็นไร แต่ประเด็นสำคัญคือเขาเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว
แต่ชายหญิงที่อยู่ในห้องเดียวกันตามลำพังสองต่อสอง ภายใต้การจงใจยั่วยวนของหวงฝู่จวินโหรว กอประกับเรือนร่างและหน้าตาที่เป็นต้นทุน นางมีจุดที่ดึงดูดเหมียวอี้จริงๆ มิหนำซ้ำเหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้มาหนึ่งร้อยปี ล่อลวงง่ายๆ ก็อดใจไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ยังกลิ้งอยู่บนเตียงด้วยกัน
พวกเขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่แล้ว ขณะที่ลูกธนูกำลังขึ้นสายเต็มเหนี่ยวและเหมียวอี้กำลังจะควบม้าทะยาน หวงฝู่จวินโหรวที่ถูกส่งข้อความมารบกวนก็โมโหนิดหน่อย ไม่รู้ว่าใครมาทำลายเรื่องดีๆ ของนางแล้ว นางร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในกำไลเก็บสมบัติ พบว่าท่านแม่สวีส่งข้อความมา
นางเองก็รู้ดี ว่าถ้าไม่มีธุระสำคัญ ท่านแม่สวีก็จะไม่ส่งข่าวมารบกวนนางตอนดึก
นางทำได้เพียงผละออกจากเหมียวอี้อย่างไม่เต็มใจ หลังจากหยิบระฆังดาราขึ้นมาและรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางก็ตกใจมากเช่นกัน
นางเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าสวีถังหรานจะลงมือกับเสวี่ยหลิงหลงในเวลานี้ พอลองใช้สมองคิดดูนิดหน่อย ก็รู้ว่าเจอปัญหายุ่งยากแล้ว เกรงว่าเสวี่ยหลิงหลงจะปกป้องตัวเองไม่ได้แล้ว!
สวีถังหรานกล้าลงมือในเวลานี้ ต่อให้นางไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ยอมให้เข้าจวนผู้บัญชาการไปพบหน้าสวีถังหรานเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น ผลของการละเลยกฎสวรรค์บุกเข้าจวนผู้บัญชาการนั้นร้ายแรงมาก แม้แต่คนที่มีภูมิหลังอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยังต้องเจอบทเรียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่ได้เป็นขุนนางอย่างนางเลย
ถ้ารอให้สวีถังหรานจัดการเสวี่ยหลิงหลงจนข้าวสวยกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายเกินไป สวีถังหรานในตอนนี้สร้างผลงานใหญ่กลับมา หลังจากไม้หลายเป็นเรือแล้ว ต่อให้ไปฟ้องร้องกับใครก็ไร้ประโยชน์ หรือจะให้ผู้บังคับบัญชาของสวีถังหรานถอดสวีถังหรานออกจากตำแหน่งเพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินเพียงคนเดียวล่ะ? นั่นคือเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความจริง มิหนำซ้ำราชันสวรรค์ก็เพิ่งเอ่ยปากยกย่องเขาไป!
ถ้าหากนอนด้วยกันไปแล้ว อย่างมากถ้าเห็นแก่หน้าหวงฝู่จวินโหรว ก็แค่ให้สวีถังหรานรับผิดชอบเท่านั้น ผลสุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้สวีถังหรานแต่งงานรับเสวี่ยหลิงหลงเป็นอนุภรรยา เห็นได้ชัดว่าสอดคล้องกับเจตนาของสวีถังหรานพอดี ช่างเป็นการยกประโยชน์ให้สวีถังหรานไปเปล่าๆ
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนจากเบื้องบนบังคับให้สวีถังหรานแต่งงานรับนางคริกามาเป็นภรรยาเอก แบบนั้นไม่สอดคล้องกับค่านนิยมในสังคม ที่จริงแล้วนางคณิกาในยุคนี้ก็ไม่ได้สูงส่งกว่าพี่สาวน้องสาวของโสเภณีสักเท่าไร ก็แค่ขายศิลปะแต่ไม่ได้ขายร่างกายเท่านั้นเอง กดดันให้ผู้บัญชาการตำหนักสวรรค์แต่งงานรับผู้หญิงที่เต้นกินรำกินมาเป็นภรรยาเอกมันใช่เรื่องเสียที่ไหน
เรื่องแบบนี้อย่าว่าแต่ผู้บังคับบัญชาของสวีถังหรานที่จะไม่ทำ ต่อให้เป็นผู้หญิงทั้งโลกก็ไม่ตอบตกลงเหมือนกัน ให้นางคณิกาคนหนึ่งมีฐานะสูงกว่าผู้หญิงจากตระกูลดีๆ อย่างนั้นเหรอ ล้อเล่นอะไรกันอยู่ ต่อไปเวลาผู้ชายบ้านตัวเองไปเที่ยวเล่นที่หอโคมเขียวแล้วถูกนางจิ้งจอกที่ไหนยุยงเข้าสักหน่อยจะไม่แย่หรอกเหรอ! เดิมทีผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ถูกชะตากับนางคณิกาพวกนั้นอยู่แล้ว หวังให้นางคณิกาพวกนั้นทำได้แต่ขายตลอดไป ทั้งชีวิตนี้ไม่อาจพลิกสถานะได้ถึงจะดี อย่าลืมนะว่าดาวเทียนหยวนนี้มีผู้หญิงคุม!
ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวก็ร้อนใจแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรเสวี่ยหลิงหลงก็เป็นเพื่อนสาวที่นางรู้จักมาหลายปี แต่เจ้าคนต่ำทรามสวีถังหรานนั่นดันเลือกลงมือในเวลานี้ ถ้านางรู้จักไปเตือนสวีถังหรานไว้ล่วงหน้าสักหน่อย สวีถังหรานก็คงไม่ถึงขั้นหักหน้านางขนาดนี้
ถ้ารอให้นอนด้วยกันไปแล้ว ถ้าสวีถังหรานแกล้งทำเป็นเลอะเลือน เจ้าก็โวยวายอะไรกับเขาไม่ได้สักนิด ดีไม่ดีต่อไปยังต้องส่งของขวัญราคาแพงให้อนุภรรยาด้วย
พอมีเรื่องรบกวนแบบนี้ นางก็เอาแต่กลุ้มใจอยู่อย่างนั้น ส่วนเหมียวอี้ก็อารมณ์สงบลงแล้ว อยากจะตบปากตัวเองสักที รีบลุกจากเตียงแล้วเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา
หวงฝู่จวินโหรวกำลังเปลือยร่างกายที่ทำให้คนเห็นเลือดลมสูบฉีด นางกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนและกวาดสายตามองมาแวบหนึ่ง ตอนที่หยุดมองเหมียวอี้นางก็ตาเป็นประกาย หนทางแก้ปัญหากำลังนั่งแก้ผ้าอยู่ข้างๆ ตนแล้วนี่ไง ตอนอยู่ที่งานเลี้ยงนางสังเกตเห็นว่าเวลาสวีถังหรานทำเรื่องต่างๆ จะมองสายตาเหมียวอี้ก่อนตลอด เห็นได้ชัดว่าสวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวยกให้เหมียวอี้เป็นหัวหน้า
นางจึงโผเข้ามาทันที เรือนร่างขาวเด้งเต่งตึงซบอยู่ที่แผ่นหลังของเหมียวอี้ ใช้แขนคล้องคอเหมียวอี้เอาไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้าจะไปไหน?”
“เจ้ามีธุระ ข้าไม่รบกวนแล้วกัน” เหมียวอี้อยากจะฉวยโอกาสหนีออกไป
เหมือนเป็นเนื้อที่มาถึงปากแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่อยากจะปล่อยเขาไป ตอนนี้มีเรื่องขึ้นก็ยิ่งไม่อยากปล่อยเขาไป กอดเขาไว้แน่นพร้อมพูดออดอ้อนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าเจอปัญหาแล้ว เจ้าช่วยข้าสักครั้งได้มั้ย”
เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่านาง ดึงแขนสองข้างของนางอย่างไรก็ดึงไม่ออก จึงกล่าวอย่างจนใจทันทีว่า “ล้อเล่นอะไรของเจ้า ถ้าเจ้าประสบปัญหาจริงๆ ขนาดอาศัยเส้นสายของเจ้าแล้วยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ แล้วข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้ล่ะ”
“บางทีเจ้าอาจจะเหมาะสมที่สุดที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้”
“อย่ามาล้อเล่น” เหมียวอี้ยังคงดิ้นรนอยากจะหนีไป
หวงฝู่จวินโหรวออกแรงจับเขานอนลง ขึ้นไปนอนหมอบบนตัวเขา พร้อมกล่าวอย่างจริงจังว่า “เสวี่ยหลิงหลงเจอปัญหาแล้ว ตอนเพิ่งออกจากตำหนักคุ้มเมืองเพื่อกลับมา นางโดนสวีถังหรานส่งคนไปดักชิงตัวกลางทาง ถูกชิงตัวไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกแล้ว”
เหมียวอี้งงมาก ตอนแรกยังคิดตามไม่ทัน “ชิงตัวนางไปทำไม? พวกเขาไม่ได้มีความค้นต่อกันนี่นา?”
เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าเหมือนไม่ได้แกล้งไม่รู้ หวงฝู่ก็ทั้งโมโหทั้งอยากขำ ยามฉลาดคนคนนี้ก็ปราดเปรื่องมาก แต่ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำจนน่าสงสาร นางจึงหยิกเขาพร้อมแสยะยิ้ม “ผู้ชายคนหนึ่งชิงตัวผู้หญิงคนหนึ่งกลับไปตอนดึกดื่น เจ้าคิดว่าเขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”
“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดก็เข้าใจกระจ่างแล้ว จึงกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “สวีถังหรานตาถึงเหมือนกันนะเนี่ย ความงามของเสวี่ยหลิงหลงนี่ไม่ตองพูดถึงแล้ว ทั้งยังมีความสามารถด้วย”
เขาคิดว่าสวีถังหรานรู้ว่าตัวเองกำลังจะย้ายออกไปพร้อมโค่วเหวินหลาน เนื้อที่ควรจะกินก็ต้องถือโอกาสกัดเข้าปากไว้ก่อน
“เจ้ายังหัวเราะออกอีกเหรอ! เจ้ากับสวีถังหรานต้องมีระฆังดาราไว้ติดต่อกันแน่นอน รีบบอกเขา บอกให้เขาหยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทันแล้ว”
“สายไปแล้วก็สายไปสิ!” เหมียวอี้เอามือผลักนางออก แล้วลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง “ชายยังโสดหญิงยังโสด ทั้งสองต่างก็ยังไม่ได้แต่งงาน อยากทำอะไรก็ทำไปสิ ข้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก จะให้ไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกมันก็ฟังไม่ขึ้น อย่างมากก็ให้พี่สวีแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงก็สิ้นเรื่องแล้ว ข้าว่าสวีถังหรานต้องยินดีมากแน่นอน”
“ไม่ได้! ถ้าเสวี่ยหลิงหลงจะต้องแต่งงานจริงๆ นางคงไปเป็นอนุภรรยาของคนระดับหัวหน้าภาคตั้งนานแล้ว จะตกมาถึงมือผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร”
“ถ้าเจ้าดูถูกผู้บัญชาการเล็กๆ แล้วเจ้ายังจะมาหาข้าทำไมล่ะ” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วถือโอกาสสะบัดเสื้อผ้าในมือเตรียมจะใส่ ชัดเจนว่าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ช่วยเหลือเรื่องนี้
หวงฝู่จวินโหรวกลับดึงเสื้อผ้าในมือเขาโยนทิ้ง “ถือว่าข้าพูดผิดไปแล้วตกลงมั้ย? ถือเสียว่าช่วยข้าสักครั้ง ตกลงมั้ย?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วยเจ้านะ แต่เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้ ครั้งนี้สวีถังหรานเก็บชีวิตกลับมาจากการทดสอบได้ จะนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินไปหรอกมั้ง? ไม่ได้ไปชิงตัวผู้หญิงจากตระกูลดีๆ อะไรสักหน่อย เดิมทีก็มีไว้ขายอยู่แล้ว สุดท้ายไม่ว่าจะไปกับใครก็ต้องไปเหมือนกัน สวีถังหรานจะผ่อนคลายสักหน่อย ไม่ว่าใครจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่หรอก แล้วอีกอย่าง เสวี่ยหลิงหลงคงจะร้องเพลงเลี้ยงชีพไปทั้งชีวิตไม่ได้หรอกมั้ง ถึงอย่างไรสวีถังหรานก็มีฐานะตำแหน่งอยู่บ้าง…ข้าจะแย้มให้เจ้ารู้สักหน่อยก็ได้ สวีถังหรานอาจจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่เร็วๆ นี้ ถ้าแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ก็ไม่นับว่าทำให้นางอับอายหรอก อยู่กับสวีถังหรานก็ได้เงินไม่น้อยกว่าที่นางขายศิลปะเลย ต่อไปนี้ไม่ต้องโผล่หน้าไปประจบเอาใจคนอื่นแล้ว นี่เป็นเรื่องดีนะ! มีอะไรน่าขัดขวาง”
แนวคิดทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้ย ยามปกติเขาไม่ไปหอโคมเขียวเพราะอะไรล่ะ? เดิมทีก็ดูถูกคนในนั้นอยู่อยู่ เหมือนกับการตัดสินของคนทั่วไป เสวี่ยหลิงหลงมีฐานะสูงกว่าผู้หญิงในหอโคมเขียวพวกนั้นไม่เท่าไร
แล้วอีกอย่าง เขากับเสวี่ยหลิงหลงก็ไม่ได้สนิทอะไรกันเลย เคยเจอหน้ากันหลายครั้ง แต่ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ไม่ได้สนิทสนมกัน! ไม่จำเป็นต้องทำลายเรื่องดีๆ ของสวี่ถังหรานเพื่อเสวี่ยหลิงหลงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ถึงอย่างไรก็เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เขาไม่ไปช่วยเหลือสวีถังหรานก็นับว่าดีแล้ว จะไปทำให้เสียเรื่องได้อย่างไร
“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น ข้าถามเจ้าคำเดียวว่าช่วยหรือไม่ช่วย?”
“ไม่ช่วย!”
“ได้! งั้นข้าจะให้อวิ๋นจือชิวมาช่วยขอร้องเจ้า” หวงฝู่จวินโหรวโมโหจนหยิบระฆังดาราออกมา
เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก คว้าข้อมือนางเอาไว้ทันที “เจ้าอย่าทำเกินไปนักเลย!”
“เสวี่ยหลิงหลงเป็นเหมือนน้องสาวข้า ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะมองดูน้องสาวตัวเองประสบปัญหาโดยไม่สนใจได้เหรอ? เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก หลังจากรถม้าถูกคุมเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการหลี่ฉางก็จัดคนเพิ่มอีกสิบกว่าคนมาเฝ้าประตูใหญ่เอาไว้ พร้อมกำชับเสียงต่ำว่า “นายท่านผู้บัญชาการมีคำสั่ง ถ้ามีใครมาหาก็ไม่ให้พบทั้งนั้น ถ้าใครกล้าปล่อยคนเข้ามาโดยพลการ ระวังหัวตัวเองเอาไว้ด้วย!”
“รับทราย!” กลุ่มทหารเอ่ยรับคำสั่ง แล้วปิดประตูใหญ่ไว้อย่างแน่นหนาทันที
บนบันไดหน้าประตูใหญ่ของจวนขุนนาง สวีถังหรานเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดลำลอง ยืนเอามืไขว้หลัง มองดูรถม้าที่ถูกควบคุมมาพร้อมหรี่ตายิ้ม
หลี่ฉางถลันตัวเข้ามาก่อน แล้วกุมหมัดกล่าวประจบสอพลอ “นายท่าน ข้าน้อยทำภารกิจสำเร็จแล้ว เชิญดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์มาให้แล้ว”
สวีถังหรานพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นรถม้าหยุด ก็ตะคอกว่า “เฉยชาได้อย่างไร ยังไม่รีบเชิญมาอีก!”
หลี่ฉางถลันตัวไปข้างรถม้าทันที เปิดผ้าม่านออก พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางเสวี่ย นายท่านผู้บัญชาการเชิญ!”
เสวี่ยหลิงหลงไม่ใช่คนโง่ เดาออกแล้วว่ามีเรื่องอะไรกำลังรอตัวเองอยู่ ประสานสองมือที่สั่นเทิ้มไว้ด้วยกัน กัดริมฝีปากแน่น แล้วสุดท้ายก็แข็งใจมุดออกมาจากรถม้า เดินมาคำนับตรงตีนบันได ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คำนับนายท่านผู้บัญชาการ!”
“ไม่ต้องมากพิธี!” สวีถังหรานถลันตัวมาตรงหน้านาง ยื่นสองมือจะไปประคองด้วยตัวเอง
เสวี่ยหลิงหลงกลับรีบถอยหลังก้าวหนึ่ง หลบเงื้อมมือมารของใครบางคน นางหวังเพียงถ่วงเวลาต่อไปให้ได้มากที่สุด หวังว่าคนที่ช่วยเหลือนางจะมา นางฝากความหวังนี้ไว้ที่ตัวหวงฝู่จวินโหรวที่นางนับถือเป็นพี่สาว
เมื่อแตะต้องไม่ได้ สวีถังหรานก็กวาดมองดวงหน้างามล่มเมืองของนางแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ หัวเราะเบาๆ แล้วเบี่ยงตัวยื่นมือเชิญ “เชิญด้านใน!”
เสวี่ยหลิงหลงไม่กล้าไม่ไว้หน้าเขา ร่างที่สวมชุดกระโปรงขาวเดินตามหลังเขาไปอย่างช้าๆ เขาไปในจวนขุนนางแล้ว
สวีถังหรานเองก็กลัวว่าเวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก ต้องฉวยโอกาสกินเข้าปากตัวเองก่อนถึงจะนับว่าเป็นของตัวเอง นำเสวี่ยหลิงหลงเดินผ่านลานบ้านที่งามประณีตมาเสียเลย มุ่งตรงมายังห้องนอนของตัวเอง
พอเดินมาถึงหน้าห้องนอน เสวี่ยหลิงหลงก็ไม่กล้าเดินเข้าไปแล้ว นางหยุดเดินพร้อมบอกว่า “นายท่านจะฟังเพลงไม่ใช่เหรอคะ? ในลานบ้านนี้สภาพแวดล้อมไม่เลวเลย”
“อ้อ! ร้องเพลงในห้องก็เหมือนกันนั่นแหละ” สวีถังหรานขี้คร้านจะเสแสร้งต่อไป พอหันตัวกลับมาก็ต้องการจะจับมือนาง
เสวี่ยหลิงหลงพลันถอยหลังหลบ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง พร้อมกล่าวปฏิเสธว่า “นายท่าน ผู้น้อยขายศิลปะไม่ได้ขายตัว!”
สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว “แม่นางมีหน้าตางดงามล่มเมือง ผู้บัญชาการคนนี้จะตัดใจให้เจ้าไปขายตัวได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องห่วง ถ้าผ่านคืนนี้ไปแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องไปเผยโฉมในที่สาธารณะอีก มาเป็นอนุภรรยาของข้าเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่” พูดจบ ก็จะเข้าไปจับมือนางอีก
“นายท่านกรุณาสำรวมด้วย!” เสวี่ยหลิงหลงถอยหลังอีกครั้ง
สวีถังหรานสีหน้าดำมืดแล้ว “ถ้ากดดันจนผู้บัญชาการคนนี้ใช้ไม้แข็งก็จะไม่สนุกแล้ว มาถึงที่นี่แล้วเจ้ายังจะหนีพ้นอีกเหรอ?” เขายื่นมือไปอีกครั้ง
ชวิ้ง! เสวี่ยหลิงหลงพลันหยิบมีดสั้นออกมา จ่ออยู่บนคอตัวเอง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดปล่อยผู้น้อยไป ไม่อย่างนั้นผู้น้อยยอมตายดีกว่า!”
“เฮอะ! สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์ ถ้าอยากตายก็ง่ายมาก ผู้บัญชาการคนนี้จะลากเพื่อนๆ ของเจ้าให้ตายไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย!” สวีถังหรานเอามือไขว้หลัง แล้วตะโกนว่า “เด็กๆ!”
หลี่ฉางถลันตัวเข้ามาจากด้านนอกทันที มองการกระทำของเสวี่ยหลิงหลงอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ เขากุมหมัดคารวะ “นายท่านมีอะไรจะกำชับ?”
สวีถังหรานกล่าวเสียงต่ำว่า “ผู้บัญชาการคนนี้จะฟังเพลงอยู่ที่นี่ แต่มีคนเจตนาจะลอบสังหารข้า! ข้าสงสัยว่าหอกลิ่นสวรรค์จะเป็นแหล่งรวมกลุ่มโจรกบฏ เจ้าเรียกรมกำลังพลไปล้อมปราบหอกลิ่นสวรรค์ไว้เดี๋ยวนี้ ใครกล้าต่อต้าน ก็ฆ่าตรงนั้นได้เลย!”
“รับทราบ!” ขณะที่หลี่ฉางเอ่ยรับอย่างเด็ดเดี่ยว ก็พึมพำในใจว่า ใส่ร้ายป้ายสีกันจริงๆ!
“นายท่าน!” เสวี่ยหลิงหลงร้องเรียกอย่างเศร้าโศก คลายมีดสั้นในมือแล้ว มีดตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง ยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลอาบแก้ม
ชัดเจนมากแล้วว่าหมายความว่าอย่างไร เลิกขัดขืนแล้ว!
สวีถังหรานเลิกคิ้ว แล้วยกมือเบาๆ “สงสัยข้าจะเข้าใจผิดแล้ว อย่ามารบกวนเวลาข้าฟังเพลง!”
“รับทราบ!” หลี่ฉางเหลือบมองเสวี่ยหลิงหลงแวบหนึ่ง แล้วรีบถอยออกไป
ตอนที่สวีถังหรานเดินมาตรงหน้าเสวี่ยหลิงหลงที่น่าสงสารอีกครั้ง ขณะกำลังจะยื่นมือไปช้อนคางที่อ่อนนุ่มของนาง จู่ๆ สวีถังหรานก็หยุดชะงัก ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ดังแล้ว
เขาไม่อยากจะสนใจเลย มีคนมาหาในเวลาแบบนี้ได้ เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้
แต่ก้ยังร่ายอิทธิฤทธิ์ดูว่าใครส่งข้อความมา ถ้าเป็นโค่วเหวินหลานขึ้นมา ก็คงไม่ดีหากจะไม่รับ
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเหมียวอี้ สวีถังหรานเกาศีรษะ รู้สึกปสดประสาทนิดหน่อย เจ้าคนโหดนั่นคงไม่ได้มาขอร้องเพื่อผู้หญิงคนนี้หรอกใช่มั้ย?
เขากะว่านอกจากข้อความของโค่วเหวินหลาน คืนนี้ก็จะไม่รับข้อความจากใครแล้ว รอให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เขาเดาว่าต่อให้โค่วเหวินหลานจะไม่ช่วยให้เขาสมปรารถนา แต่ก็คงไม่ทำลายเรื่องดีๆ ของเช่นกัน ต่อให้คนอื่นไปหาโค่วเหวินหลานก็ไม่มีประโยชน์ แต่ต่อให้พิจารณาดีอย่างไร แต่ก็ลืมนึกถึงเหมียวอี้ไปได้
ในเวลาแบบนี้ เขาเองก็ไม่อยากสนใจเหมียวอี้ แต่เขาไม่กล้าหรอก เจ้าไปยั่วโมโหเจ้าบ้านั่นขึ้นมา เขาเองก็รับมือไม่ไหว อีกประเดี๋ยวอีกฝ่ายอาจจะมาด้วยตัวเองก็ได้ แบบนั้นตนก็ทำเรื่องนี้ไม่เสร็จอยู่ดี! ตนจะกล้าฟ้องหรือไงว่าเขาบุกเข้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก?
ภายใต้ความจนใจ เขาทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาถาม : น้องหนิว มีธุระอะไร?
เหมียวอี้ตอบเพียงว่า : เจ้าแม่งเป็นบ้าไปแล้วรึไง? หาเรื่องยุ่งยากให้ข้าซะแล้ว!
สวีถังหรานถามอย่างกินปูนร้อนท้อง : ทำไมน้องหนิวพูดแบบนั้น?
เหมียวอี้ : อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับข้า ปล่อยเสวี่ยหลิงหลงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า!
…………………………