พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1066 ก่อเรื่องแล้ว
พูดก็ส่วนพูด มือยังไม่หยุดขยับ นางถือโอกาสร่ายพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในกำไลเก็บสมบัติของอวิ๋นจือชิว
แต่ก็โชคดี ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะเป็นเมียที่จัดการเรื่องราวในบ้าน ทรัพย์สินในบ้านทุกอย่างล้วนถูกนางคุมหมด แต่นางก็เป็นคนที่ทำงานอย่างระมัดระวัง ไม่ตัดทางหนีทีไล่ของเหมียวอี้ ไม่ทำให้เหมียวอี้เงินขาดมือยามจำเป็นต้องใช้ ทุกครั้งก่อนจะกลับพิภพเล็กนางจะซ่อนทรัพย์สินในบ้านในจุดที่มีแค่นางและเหมียวอี้เท่านั้นที่หาพบ ทุกครั้งที่กลับมาเจอมู่ฝานจวินก็จะยิ่งระวังตัว ไม่อย่างนั้นครั้งนี้คงเกิดปัญหาใหญ่แล้ว
เมื่อหาไม่พบอะไรในกำไลเก็บสมบัติของอวิ๋นจือชิว มู่ฝานจวินก็คลายนิ้วออก ปล่อยนางแล้ว
เมื่อเห็นว่านางไม่กลั่นแกล้งตน อวิ๋นจือชิวก็โล่งอก ในใจกลับระแวงสงสัยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงทำแบบนี้ จึงตอบกลับไปว่า “ที่ข้าน้อยวรยุทธ์เพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้ ล้วนเป็นเพราะยาแก่นเซียนที่เหมียวอี้ได้มาจากเทพพยากรณ์ในตอนแรกค่ะ”
นี่คือคำพูดที่เหมียวอี้บอกมู่ฝานจวินในปีนั้น ตอนนี้นางทำได้เพียงตอบไปแบบนี้
มู่ฝานจวินได้ยินแล้วก็แค่ขานรับเสียงราบเรียบ ไม่ได้เผยเบาะแสใดๆ อีก โบกมือให้อวิ๋นจือชิวออกไป แล้วให้หญิงรับใช้อีกคนก้าวขึ้นมาวาดคิ้วให้มู่ฝานจวิน แต่งตัวให้กลายเป็นผู้ชาย
เมื่อออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า อวิ๋นจือชิวก็ยังอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย ยังคงคิดว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงทำแบบนั้น เป็นเพราะพบเบาะแสอะไรหรือเปล่า? เรียกได้ว่าออกจากแดนโพ้นสวรรค์ด้วยความระแวงสงสัย
หารู้ไม่ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่บนตัวฉินเวยเวย ที่จริงจะโทษฉินเวยเวยก็ไม่ได้ ถ้าจะโทษต้องโทษเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้เดิมทีเหมียวอี้เตรียมตัวจะกลับมา เขาบอกฉินเวยเวยล่วงหน้าตอนที่ติดต่อกัน ฉินเวยเวยที่ได้รับข่าวยืนยันจากเขาดีใจมาก ตอนนั้นลืมใช้โคลนซ่อนจิตปิดบังวรยุทธ์หลังจากอาบน้ำ ขณะที่กำลังเหาะร่อนด้วยความดีใจอยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวง ก็ได้เผยวรยุทธ์ระดับบงกชม่วงออกมา
ภายใต้การจงใจเตรียมป้องกันของอวิ๋นจือชิว มู่ฝานจวินก็ไม่รู้ว่าสองสามึภรรยาคู่นี้แอบเล่นไม่ซื่ออะไรลับหลัง แต่ไม่ได้แปลว่ามู่ฝานจวินจะไม่มีสายข่าวอยู่ในยอดเขาหยกนครหลวงเลย วรยุทธ์ของฉินเวยเวยไปถึงหูมู่ฝานจวินแล้ว ทำให้มู่ฝานจวินตื่นตัวทันที ทำไมวรยุทธ์ของพวกเหมียวอี้ถึงเพิ่มเร็วขนาดนี้พร้อมกันหมด?
แถมเหมียวอี้ก็ไม่โผล่หน้ามาหลายปีอีก!
แน่นอน สำหรับนักพรตแล้ว การไม่โผล่หน้ามาร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดพบเห็นได้ยากอะไร ไม่โผล่หน้าเป็นพันปีก็ยังเป็นเรื่องปกติมาก แต่ที่สำคัญคือมู่ฝานจวินได้ข่าวมาจากสายลับทางทะเลดาวนักษัตร พบว่าฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋รวมทั้งราชาปีศาจกลุ่มหนึ่งแทบจะไม่โผล่หน้าออกมาพร้อมกับเหมียวอี้เช่นกัน
ตอนหลังที่ได้รู้ว่าเหมียวอี้เลื่อนเวลากลับ ถึงแม้ฉินเวยเวยจะผิดหวังนิดหน่อย แต่ก่อนหน้านี้นางก็เผยพิรุธไปแล้วจริงๆ ถึงได้กระตุ้นให้มู่ฝานจวินบังคับตรวจวรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวอย่างกะทันหัน ผลก็คือพบว่าภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งร้อยปี วรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวก็เพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยาแก่นเซียนจำนวนน้อยๆ จะสามารถทำได้!
ในตอนนี้ หญิงรับใช้แต่งหน้าให้มู่ฝานจวินเรียบร้อยแล้ว แต่มู่ฝานจวินยังคงนั่งหลับตาอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่…
คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า ทหารยามเฝ้าประตูไม่กล้าขัดขวาง กลุ่มของปี้เยว่ฮูหยินที่ไปร่วมงานแต่งงานที่จวนหัวภาคของน่านฟ้าชวดอี่กลับมาแล้ว ใครจะกล้าขัดขวาง!
หลังจากเข้าเมือง ปี้เยว่ฮูหยินก็เรียกเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่ ตามข้ามาหน่อยสักรอบ”
“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ แล้วโบกมือให้ลูกน้องคนอื่น บอกใบ้ว่าให้กลับไปก่อน
กลุ่มลูกน้องน้อมส่ง แล้วเหมียวอี้ก็เหาะตามปี้เยว่ฮูหยินไปทางตำหนักคุ้มเมือง
ในสวนดอกไม้ด้านหลัง ผู้การสองหลันเซียงเข้ามาต้อนรับ ปี้เยว่ฮูหยินนำสัตว์เลี้ยงวิญญาณที่กำลังอุ้มส่งต่อให้หลันเซียง แล้วลากกระโปรงนำเหมียวอี้เดินเล่นช้าๆ ด้วยกันในสวนดอกไม้ หลายครั้งที่หยุดเดินแล้วก้มหน้าดมดอกไม้สดที่ขึ้นเป็นกอติดกัน
เรือนร่างที่อวบอัดกลมกลึงของนางช่างทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ ให้ภรรยาที่สวยขนาดนี้เฝ้าบ้านอยู่ลำพังก็จะตำหนิไม่ได้เหมือนกัน เหมียวอี้พึมพำในใจ บางครั้งสายตาก็กวาดมองบนเรือนร่างที่เย้ายวนใจของปี้เยว่ฮูหยิน และแอบหันกลับมามองสำรวจปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่อยู่ในมือของผู้การสองหลันเซียงอยู่เป็นระยะ
เมื่อเดินวนในสวนดอกไม้ตามนางเงียบๆ ได้ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ไม่รู้ว่านางมีเจตนาอะไร สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามก่อนว่า “ฮูหยินเรียกข้าน้อยมา ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับขอรับ?”
ปี้เยว่ฮูหยินค่อยๆ เก็บนิ้วงามที่ลูบบนกลีบดอกไม้กลับมา เอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า”ผู้บัญชาการใหญ่คิดว่าดอกไม้ในสวนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าน้อยเป็นคนหยาบๆ ไม่เข้าใจเรื่องของสวยงามพวกนี้ แต่ในเมื่อมีฮูหยินดูแลเอาใจใส่ ก็ย่อมต้องดีที่สุดอยู่แล้ว!” เหมียวอี้ตอบ
“คนหยาบเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ ตอนนี้หยุดชื่นชมดอกไม้แล้ว นางเดินต่อไปข้างหน้า แล้วถามเหมียวอี้ที่เดินตามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่กำลังรังเกียจตำหนักคุ้มเมืองนี้เหรอ? ทำไมไม่เข้ามาอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองเสียที?”
“ไม่ได้รังเกียจขอรับ แต่ไม่อยากรบกวนความสงบของฮูหยิน ขอแค่ตัวยังอยู่ในตลาดสวรรค์ ที่จริงไม่ว่าจะพักที่ไหนก็เหมือนกัน” เหมียวอี้ตอบ
ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่ได้ถามคำถามนี้ต่อแล้ว บอกว่า “อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การทดสอบของตำหนักสวรรค์ก็จะเริ่มขึ้นอีก ครั้งนี้เป็นการทดสอบในระดับที่สูงขึ้น คาดว่าเจ้าคงได้ยินมาบ้างแล้วเหมือนกัน”
“ขอรับ! ข้าน้อยได้ยินว่ามีการร่างรายชื่อออกมานานแล้ว” เหมียวอี้กล่าว
เขากำลังทดสอบหยั่งเชิง ได้ยินว่ารายชื่อผู้เข้าร่วมการทดสอบถูกกำหนดตั้งแต่ยังไม่ได้เลื่อนขั้นผู้บัญชาการใหญ่ จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่จะเกี่ยวข้องกับตนหรอกนะ?
ปี้เยว่ฮูหยินบอกว่า “ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะอยากจะเตือนเจ้าอีกครั้ง ตำหนักสวรรค์เปลี่ยนทิศทางการพัมนาแล้ว แต่ตลาดสวรรค์แต่ละที่กลับสงบสุขมานาน ข้ากังวลว่าตำหนักสวรรค์จะมาปรับปรุงและจัดระเบียบที่ตลาดสวรรค์ใหม่ในไม่ช้าก็เร็ว เจ้าต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ถึงแม้มู่หรงซิงหัวจะกลายเป็นฮูหยินหัวหน้าภาค จุดไหนที่เจ้าควรให้เกียรติก็ต้องให้เกียรติ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเช่นกัน เจ้ามีข้าคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังในทุกๆ เรื่อง เข้าใจความหมายที่ข้าจะสื่อมั้ย?”
“ข้าน้อยเข้าใจ” เหมียวอี้เอ่ยรับ ต้องการจะปรับปรุงจัดระเบียบตลาดสวรรค์ในไม่น่าก็เร็วเหรอ? คำเตือนของปี้เยว่ฮูหยินได้เคาะกระดิ่งให้เขาแล้วจริงๆ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน ในสังกัดท่านโหวคงจะมียอดฝีมือมากมาย จะขอย้ายกำลังคนจากท่านโหวมาทางนี้สักหน่อยได้หรือไม่?”
“เฮ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้าถอนหายใจ “ทดสอบต่อเนื่องกันแบบนี้ ทุกคนสังเกตเห็นหมดแล้วว่าแนวโน้มการพัฒนาของตำหนักสวรรค์เปลี่ยนไป ต่างก็เตรียมกำลังคนที่ใช้งานได้เอาไว้ ถ้าลูกน้องคนไหนพอจะใช้งานได้หน่อยก็ไม่อยากปล่อยไป ท่านโหวเองก็ขาดแคลนกำลังคนที่ใช้งานได้เหมือนกัน มิหนำซ้ำเรื่องแบบนี้ ท่านโหวก็ไม่สะดวกจะทำอย่างลำเอียงเกินไป ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา คนระดับล่างก็มีเหตุผลที่จะปัดความรับผิดชอบอยู่แล้ว ถึงอย่างไรตลาดสวรรค์ก็เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ ท่านโหวทำได้เพียงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้การทดสอบเกิดขึ้นกับพวกเรา แบบนี้ก็นับว่าดูแลเป็นพิเศษแล้ว ถ้านำคนที่มีประโยชน์ย้ายจากกลุ่มกำลังพลเตรียมรบมาที่นี่อีก แบบบนั้นก็จะฟังไม่ขึ้นเหมือนกัน เข้าใจมั้ย?”
เมื่อนางพูดมาแบบนี้ เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว ภายใต้ความเดือดดาลของราชันสวรรค์ แม้แต่อิ๋งเหย้าก็ยังฆ่าทิ้งได้ ทั้งยังอาศัยการทดสอบเพื่อจะลดขั้นพวกลูกหลานของตระกูลใหญ่ให้ไปเป็นพวกเทพเจ้าที่ ผีหลักเมืองอีก แล้วก็ห้ามเลื่อนตำแหน่งภายในสามพันปี เชือดไก่ให้ลิงดูแบบนี้ แถมจู่ๆ ก็จัดการทดสอบต่อไป ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีคนมากมายเท่าไรที่โชคร้ายเพราะรับมือไม่ทัน มีคนมากมายเริ่มกลัวแล้ว ทุกคนเริ่มกอดเท้าพระพุทธเจ้าแล้ว
ตอนนี้เขาเองก็พอจะเดาได้แล้วว่าทำไมตัวเองจึงถูกรั้งไว้ให้อยู่ที่ตลาดสวรรค์
หลังจากคุยเป็นเพื่อนปี้เยว่ฮูหยินเกือบครึ่งชั่วยาม ตอนที่ออกจากจวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ก็ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว
พอหยิบระฆังดาราออกมา ก็ถูกอวิ๋นจือชิวสอบสวนทันที : เจ้าอยู่ที่ไหน?
ช่วงนี้อวิ๋นจือชิวจับตาดูเรื่องชู้สาวของท่านขุนนางเหมียวอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการป้องกันปี้เยว่ฮูหยินไว้ทุกขณะ เหมียวอี้เริ่มคิดไม่ตกแล้ว ทำไมชีวิตด้านความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงของเขาจึงทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่วางใจขนาดนี้? เดิมทีเขาอยากจะพูดว่าตัวเองอยู่ที่จวนขุนนาง แต่พอลองคิดอีกมุม การที่ผู้หญิงคนนี้ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน เป็นเพราะไปถามพวกฝูชิงมาล่วงหน้าแล้วหรือเปล่า?
ถ้าถูกเปิดโปงแล้วยังโกหก เกรงว่ายิ่งแก้ตัวก็จะยิ่งมีความผิด ผู้หญิงคนนั้นจะยิ่งประสาทเสีย ทำได้เพียงยอมรับอย่างซื่อสัตย์ : เพิ่งจะกลับมาจากตำหนักคุ้มเมือง! เจ้าจะกลับมาเมื่อไร?
เป็นอย่างที่คาดไว้ อวิ๋นจือชิวถามทันทีว่า : ไปตำหนักคุ้มเมืองอีกทำไม?
เหมียวอี้ : พวกเราเพิ่งกลับมาจากงานแต่งงานของมู่หรงซิงหัว ปี้เยว่ฮูหยินมีเรื่องจะสั่ง
อวิ๋นจือชิวไม่พอใจอย่างเห็ดได้ชัด : ผู้ชายที่มีประโยชน์ของตำหนักสวรรค์ตายกันหมดแล้วรึไง? ให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาคุมดาวเทียนหยวน มันใช่เรื่องรึไง?
เหมียวอี้พูดไม่ออกมา แบบนี้มันหลักการอะไรกัน เขาขี้เกียจจะเถียงเรื่องนี้ ถามแค่ว่า : มีเรื่องอะไรรึเปล่า?
แน่นอนว่ามีเรื่องแล้ว อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะออกจากแดนโพ้นสวรรค์ ยังอยู่ระหว่างทางกลับสายมะโรง นางวกเข้าประเด็นหลัก เล่าถึงปฏิกิริยาที่ไม่ปกติของมู่ฝานจวินก่อนหน้านี้ให้เขาฟังทันที
สิ่งนี้ทำไมเหมียวอี้รู้สึกกลัดกลุ้มนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่ามู่ฝานจวินสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้ว ที่จริงต่อให้สังเกตเห็นก็ไม่เป็นอะไร ประเด็นสำคัญคือเจ้าสามถูกบีบอยู่ในมือมู่ฝานจวิน สิ่งนี้ทำให้เขาลูบหน้าปะจมูก…
ในเวลาต่อมา เหมียวอี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตว่างๆ อีกต่อไป มีผู้จัดการร้านค้าของตระกูลใหญ่ๆ มาหาอยู่เป็นระยะ ยังคงมามอบของขวัญให้ แต่จุดประสงค์ในการนำของขวัญมาให้กลับมุ่งไปที่ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขตเมืองตะวันตก เขตเมืองใต้ อยากจะให้เหมียวอี้เปิดทางสะดวกให้ ให้ใครบางคนมานั่งตำแหน่งนั้น ส่วนตำแหน่งที่เขตเมืองเหนือของมู่หรงซิงหัวก็ไม่มีใครคิดถึง ต่างก็รู้ว่าเป็นตำแหน่งของเมียเฉาว่านเสียง เหมียวอี้ก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเหมือนกัน
ตอนนี้ตำหนักสวรรค์เน้นลงมือกับตระกูลใหญ่ๆ พวกนั้นก่อน ตอนแรกที่ไปข้าร่วมการทดสอบเพราะพลอยเดือดร้อนไปกับโค่วเหวินหลาน เหมียวอี้จะยังรับลูกหลานของตระกูลใหญ่ๆ มาเป็นลูกน้องให้โดนตำหนักสวรรค์ร่างรายชื่ออีกได้อย่างไร เมื่อได้ผ่านการทดสอบครั้งก่อนมา เขาก็เข้าใจแล้วว่าการเลือกสุ่มเป็นแค่คำพูดเหลวไหล ไม่เกี่ยวอะไรกับการ ‘สุ่มเลือก’ เลย ชัดเจนว่าไม่ถูกชะตากับที่ไหนก็จะเลือกที่นั่น
แต่เหมียวอี้ก็ทำเรื่องนี้อย่างไม่จริงใจสักเท่าไร เขารับของขวัญไว้ แต่ไม่จัดการธุระให้ ผลักเรื่องทั้งหมดไปให้ปี้เยว่ฮูหยิน ส่วนปี้เยว่ฮูหยินก็ผลักไปให้เฉาว่านเสียงอีก
เมื่อได้คลุกคลีกับระดับที่สูงขึ้นมาหน่อย เหมียวอี้ก็นับว่าเข้าใจแล้ว หัวหน้าภาคอย่างเฉาว่านเสียงก็คือคนที่ท่านโหวเทียนหยวนจัดมาทำงานยากๆ ให้ปี้เยว่ฮูหยินนั่นเอง เขาจินตนาการได้เลยว่าเฉาว่านเสียงปวดหัวขนาดไหน เมื่อปี้เยว่ฮูหยินผลักความรับผิดชอบมาให้ เขาไม่เพียงแค่ต้องรับไว้ ทั้งยังไม่กล้าผลักต่อไปให้ท่านโหวเทียนหยวนอีก ครั้งนี้ไม่รู้ว่าทำให้คนมากมายเท่าไรไม่พอใจ
เหมียวอี้แค่รับของขวัญแต่ไม่จัดการธุระ ย่อมทำให้คนมากมายไม่พอใจ คนที่สามารถมาขอให้เขาจัดการธุระได้ก็ไม่ใช่เล่นๆ ไม่นานก็มีคนฟ้องขึ้นไปเบื้องบนแล้ว ฟ้องว่าเหมียวอี้รับสินบน!
“ทำอะไรของเจ้า? ในเมื่อเจ้าไม่อยากใช้งานคนที่พวกเขาแนะนำ แล้วทำไมต้องรับของขวัญจากพวกเขาด้วย ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้จักคนที่หนุนหลังร้านค้าพวกนั้นอยู่ นี่ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ?”
ณ ตำหนักคุ้มเมือง ภายใต้แท่นที่ก่อตัวจากเถาวัลย์ พอข่าวส่งมาถึง ปี้เยว่ฮูหยินก็เรียกเหมียวอี้มาสอบถามตอนกลางคืน
ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟ เหมียวอี้กล่าวตอบเสียงต่ำว่า “ข้าน้อยไม่ได้รับของจากพวกเขาจริงๆ คนพวกนั้นใส่ร้ายข้า!”
“เจ้าไม่ได้รับของจากพวกเขาจริงเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้านับรวมของขวัญแสดงความยินดีที่ข้าน้อยได้เลื่อนตำแหน่งกับของแสดงความกตัญญูตอนปลายปี นั่นก็ถือว่ารับไว้จริงๆ แต่ของแบบนี้ใครจะไม่เคยรับบ้างล่ะ?”
“แบบนี้…” ปี้เยว่ฮูหยินขมวคิ้วมุ่น “งั้นคนพวกนั้นก็ทำเกินไปจริงๆ!”
“ถ้าผู้บัญชาการใหญ่โค่วยังอยู่ พวกเขาไม่กล้าทำแบบนี้แน่ เป็นเพราะข้าได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่โดยไม่มีใครหนุนหลัง คิดว่าขาโดนรังแกได้ง่ายๆ! เห็นข้าขวางทางพวกเขา อยากจะเตะข้าออกไป!” เหมียวอี้กล่าว
“รังแกกันเกินไปจริงๆ!” บนใบหน้าปี้เยว่ฮูหยินฉายแววขุ่นเคือง นี่ยังมีคนคิดว่าฉากที่คอยหนุนหลังให้เหมียวอี้อย่างนางยังไม่แข็งแกร่งพออีกเหรอ? หลังจากสีหน้าผ่อนคลายลง ก็เตือนว่า “มีคนนำเรื่องนี้เปิดเผยกับทางเทพประจำดาวแล้ว เบื้องบนให้ท่านโหวตรวจสอบอย่างเข้มงวด! ท่านโหวให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ส่งกระบวนทัพมาลาดตระเวนใหญ่มาก เจ้าเตรียมใจให้พร้อมเถอะ!”
ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่อยู่ในอ้อมกอดนางตาเป็นประกาย จ้องเหมียวอี้เหมือนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
“ข้าน้อยตัวตรงไม่กลัวเงาเอียง!” เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำ ในใจแสยะยิ้ม เขาต้องการอาศัยโอกาสนี้ก่อเรื่องอยู่พอดี!
นี่คือความเคยชินของเขา หรือพูดได้ว่าลักษณะการทำงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เริ่มตั้งแต่ที่พิภพเล็ก ถ้าเขาเลื่อนขั้นแล้วไม่ก่อเรื่องสักหน่อยก็เรียกว่าแปลกแล้ว เขาได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่อย่างแปลกประหลาดไร้เหตุผล สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกจิตใจไม่สงบ ถ้าไม่ทำให้จิตใจสงบ เขาก็มักรู้สึกว่านี่ไม่ใช่อาณาเขตของตัวเอง!
…………………………