พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1068 เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ
มู่หรงซิงหัวกลับมาแล้ว พอกลับมาถึงตลาดสวรรค์ก็มารายงานตัวที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก่อนเป็นอันดับแรก
เทียบกับเมื่อก่อนตอนมาที่นี่ไม่ได้ ตอนนี้ท่าทีของทุกคนที่มีต่อนางเปลี่ยนไปแล้ว แต่ละคนกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพโดยเริ่มตั้งแต่ทหารยามเฝ้าประตู ต่างก็รู้ว่าท่านนี้กลายเป็นฮูหยินหัวหน้าภาคแล้ว
ในลานบ้าน เมื่อเจอนางอีกครั้ง เหมียวอี้ก็มองสำรวจแวบหนึ่ง แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงอะไร การแต่งตัวและลักษณะท่าทางยังเป็นเหมือนที่ผ่านมา ไม่ได้มีความหยิ่งผยองหลังจากกลายเป็นฮูหยินหัวหน้าภาค
มู่หรงซิงหัวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเบาๆ “ผู้บัญชาการใหญ่จ้องข้าแบบนี้ทำไม? อย่าบอกนะว่าข่าวลือที่บอกว่าผู้บัญชาการใหญ่ชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้วเป็นเรื่องจริงๆ?” นางพูดหยอก
เหมียวอี้โบกมือ บอกใบว่าเลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว จากนั้นหันตัวและยื่นมือเชิญ “ฮูหยินเชิญนั่ง!” ขณะเดียวกันก็บอกใบ้ให้เป่าเหลียนนำน้ำชามาวาง
“ทำไมผู้บัญชาการใหญ่ต้องเรียกอย่างนี้ ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ข้าน้อยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายท่าน” หลังจากมู่หรงซิงหัวนั่งลงตามเขา ก็ตั้งใจชี้แจงอย่างเป็นทางการ วางตัวเองไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า “ข้าวใหม่ปลามัน ทำไมแค่เดือนกว่าก็กลับมาแล้วล่ะ?”
มู่หรงซิงหัว “เรื่องของข้าก็ใช่ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะไม่รู้ ข้าเป็นคนของเขาตั้งนานแล้ว ที่จัดงานแต่งงานแค่ต้องการสถานะและทำตามรูปแบบพอเป็นพิธี จะมีอารมณ์อาลัยรักไม่อยากแยกจากเหมือนตัวติดกาวเสียที่ไหนกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงย้ายข้าไปอยู่ด้วยตั้งนานแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ไม่ได้อารมณ์เท่ากับตอนแอบลักลอบมีสัมพันธ์กันหรอก สามารถทำให้เขาแต่งงานกับข้าอย่างเป็นทางการได้ก็นับว่ฝืนใจพอแล้ว ความปวดใจที่อยู่ในนั้น ไม่มีค่าพอให้บ่นกับคนนอกหรอก!”
พูดจาตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว เหมียวอี้ไม่รู้เลยว่าจะตอบนางอย่างไร
“ไม่ต้องพูดเรื่องยุ่งยากของเข้าแล้ว!” มู่หรงซิงหัวทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ระหว่างทางได้ยินเฉาว่านเสียงส่งข่าวมา มีคนฟ้องเบื้องบนว่าท่านรับสินบนเหรอ เบื้องบนส่งคนมาแล้ว เตรียมจะตรวจสอบท่าน”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “มีคนบางคนมันจ้องอยากได้ตำแหน่งของพวกเจ้าไง ข้าไม่ตอบตกลงพวกเขาก็เลยล้างแค้น! ถ้าตัวตรงก็ไม่กลัวเงาจะเอียงหรอก ให้พวกเขาตรวจสอบไปก็สิ้นเรื่อง”
มู่หรงซิงหัวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร ที่จริงนางอยากจะเตือน ว่าการไปทำให้คนพวกนั้นไม่พอใจไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำท่าเหมือนไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย นางก็เปลี่ยนความคิด ท่านนี้ก็ไม่ใช่คนโง่เลอะเลือนเช่นกัน เกรงว่าในใจคงจะมีแผนอยู่นานแล้ว ไม่ต้องให้ตนเปลืองคำพูด
เมื่อไม่มีธุระอย่างอื่น ทั้งสองก็คุยเรื่อยเปื่อยกันไม่กี่คำ ก่อนที่มู่หรงซิงหัวจะกล่าวอำลา
หลังจากนั้นหลายวัน อวิ๋นจือชิวก็กลับมาแล้วเช่นกัน พอกลับมาถึงก็มาหาเหมียวอี้ผ่านเส้นทางใต้ดินทันที นางไม่ค่อยเป็นฝ่ายมาหาก่อน แต่ปฏิกิริยาที่ผิดปกติของมู่ฝานจวินทำให้นางไม่สงบใจเลยจริงๆ นางตั้งปรึกษากับเหมียวอี้แบบต่อหน้าสักหน่อย
ขณะที่สองสามีภรรยากำลังปรึกษากันอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ จู่ๆ ด้านนอกกลับมีเสียงรายงานของเป่าเหลียน “นายท่าน ผู้บัญชาการสวีขอเข้าพบค่ะ”
“เจ้าบ้านี่ยังกล้ามาที่นี่อีก ข้าจะไปดูสักหน่อยว่ามีเรื่องอะไร” เหมียวอี้บอกอวิ๋นจือชิว แล้วลุกออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไป
สวีถังหรานสมกับเป็นชายชาตรีผู้มีคุณธรรมต่ำ เรียกได้ว่ายืดได้หดได้ พอเห็นเหมียวอี้ก็รีบก้าวเข้าไปในศาลาทันที แล้วกล่าวอย่างเคารพนบนอบทันที “ผู้บัญชาการใหญ่!”
“จับผู้ตองสงสัยที่ซ่อนของผิดกฎหมายอีกแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
เหงื่อแตก! สวีถังหรานเรียกได้ว่าอับอาย เขาเหลือบมองเป่าเหลียนที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง แล้วหยิบแผ่นหยกออกมายื่นให้ “ผู้บัญชาการใหญ่ เสียงตะโกนที่ตีกลางแสกหน้า ทำให้ข้าน้อยได้สติกลับมาเร็วมาก ไม่ถึงขั้นเป็นความผิดใหญ่โต! ของนี้มอบให้ผู้บัญชาการใหญ่จัดการ”
ของอะไร? เหมียวอี้สงสัย จึงรับแผ่นหยกมาไว้ในมือแล้วอ่านดู ทำให้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที ร้านค้าที่ได้มาเพราะร่วมวางแผนกับหวงเสี้ยวเทียน ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าชาติสุนัขนี่จะส่งต่อมาให้เขา จินตนาการได้ไม่ยากถึงความหมายที่อยู่ในนั้น
เจ้าชาติสุนัขนี่ช่างวางตัวเก่งจริงๆ! เหมียวอี้โยนกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าหมายความว่ายังไง อย่าดึงข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย เรื่องน่าคาญใจของพวกเขา ข้าเองก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย! แต่ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้งนะ เรื่องขาดคุณธรรมแบบนี้เพลาๆ ลงหน่อย ถ้ากล้าตบตาข้าอีก ก็ระวังหัวของเจ้าเอาไว้ให้ดี!” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป
ไม่รับไว้เหรอ? สวีถังหรานงุนงง แต่ก็เข้าใจได้ในชั่วพริบตาเดียว ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้โมโหที่ตนแย่งชิงร้านค้านี้มาด้วยเล่ห์กล แต่โมโหเพราะตนไปตบตาเขา
“ผู้บัญชาการสวี!” เป่าเหลียนยื่นมือส่งแขก
“ลำบากแล้ว ลำบากแล้ว!” สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ พร้อมกุมหมัดคารวะ
หลังจากออกจากจวนผู้บัญชาการใหญ่ เขาก็เรียกได้ว่าเดินตัวเบา เรื่องราวผ่านไปแล้ว สงสัยผู้บัญชาการใหญ่ยังมองเขาเป็นคนของตัวเองอยู่ และเข้าใจเจตนาของผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ตราบใดที่ไม่ตบตาผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่ก็จะไม่ขัดขวางช่องทางรายได้ของลูกน้อง เพียงแต่ช่องทางหาเงินของตนในครั้งนี้ไม่ถูกต้อง ต่อไปเวลาทำเรื่องแบบนี้จะต้องคิดให้รอบด้าน จะเผยพิรุธอะไรออกมาไม่ได้
เขาเองก็สบายใจแล้วเช่นกัน ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่มองเขาเป็นคนของตัวเอง เช่นนั้นชีวิตของเขาหลังจากนี้ก็จะไม่ลำบากแล้ว ตำแหน่งของตัวเองก็คงจะมั่นคงแล้วเช่นกัน
ตอนนี้ร่ำรวยแล้วเช่นกัน พึมพำร้องเพลงกลับไปตลอดทาง…
จากนั้นเหมียวอี้ก็กลับเข้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวมองเขาด้วยสีหน้าจนใจเล็กน้อย ถามว่า “เป็นอะไรไป?”
เหมียวอี้เล่าเรื่องที่สวีถังหรานทำให้ฟังทันที อวิ๋นจือชิวฟังจบแล้วค่อนข้างพูดไม่ออก แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมของตำหนักสวรรค์ก็เป็นแบบนี้ อาศัยลงโทษตักเตือนสวีถังหรานคนเดียวไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเจ้าตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ ก็ต้องรอให้เจ้ามีความสามารถที่จะเปลี่ยนได้อย่างเต็มที่ก่อน เจ้าเพิ่งจะรับตำแหน่งได้ไม่นาน รากฐานยังไม่แข็งแรง ถ้าลงดาบกับคนข้างกายตัวเอง ไม่เพียงแค่จะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ แถมจะไม่มีใครชมว่าเจ้าดีด้วย กลับจะทำให้คนข้างกายเอาใจออกห่างด้วยซ้ำ หนิวเอ้อร์ เจ้าต้องเข้าใจนะ ผู้ที่ทำการใหญ่จะไม่ทำอะไรเพราะความชอบของตัวเอง ข้างกายตัวเองต้องมีพวกลักเล็กขโมยน้อยไว้บ้าง ข้างกายต้องมีคนหลายประเภทเอาไว้ใช้งาน ถึงจะช่วยเหลือในสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ รอให้ประสบความสำเร็จก่อน ตอนที่เจ้าอยากจะเปลี่ยนแปลง ก็ค่อยเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล!”
ที่เหมียวอี้ไม่แตะต้องสวีถังหราน ล้วนเป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ ถึงอย่างไรก็เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่อยากทำให้เด็ดขาดจนเกินไป ไม่อย่างนั้นคนต่ำช้าที่ชิงตัวผู้หญิงกลางถนน ทั้งยังก่อเรื่องนี้อีก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงตายไปนานแล้ว ไม่ได้คิดอะไรไกลเหมือนอวิ๋นจือชิวหรอก
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรเขา แค่ตักเตือนไปนิดหน่อย”
เพิ่งจะสิ้นเสียงตรงนี้ เป่าเหลียนก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ดังมาจากด้านนอกอีก “ผู้บัญชาการใหญ่ เย่สวินเกา ผู้จัดการเย่ร้านเจ็ดอารมณ์มาขอพบค่ะ”
เหมียวอี้หัยขวับ แล้วพึมพำเสียงต่ำ “ยังกล้ามาอีกเหรอ!” เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกทันที “เชิญเข้ามา!”
เมื่ออยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ถ้าไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์ เสียงก็ไม่มีทางเข้ามาได้
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นตามเขา แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมทำเหมือนมีความแค้นต่อกัน?”
“มีบางคนเห็นข้าเป็นลูกพลับอ่อนที่บีบง่าย เดี๋ยวข้าไปเจอเขาก่อน กลับมาค่อยว่ากัน!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วถลันตัวออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไป
อวิ๋นจือชิวลังเลนิดหน่อย แต่ก็ตามออกไปเช่นกัน
ครั้งนี้เหมียวอี้นั่งตรงตำแหน่งเจ้าบ้านที่โถงหลัก วางมาดอันน่าเกรงขามของผู้บัญชาการใหญ่
ผ่านไปครู่เดียว ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมใบหน้าไร้หนวดคนหนึ่งก็ยกชายชุดคลุมยาวสีเทาก้าวผ่านประตูเข้ามา เดินตามหลังเป่าเหลียนเข้ามาแล้ว พอเห็นเหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะอย่างร่าเริงทันที “เย่สวินเกาเยี่ยมคารวะผู้บัญชาการใหญ่”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ผู้จัดการร้านเย่ ท่านทำการค้าอยู่ดีๆ ไม่ชอบ จะมัวมาหาข้าบ่อยๆ ทำไมกัน?” ไม่มีท่าทีว่าจะเชิญให้แขกนั่ง และไม่มีท่าทีว่าจะนำน้ำชามารับแขก
เดิมทีเย่สวินเกาก็อยากจะทำตัวสุภาพเกรงใจหน่อย แต่พอเห็นท่าทีแบบนี้ของเหมียวอี้ เขาก็ยืดอกเช่นกัน เชิดคางขึ้นสูงกว่าเดิมเล็กน้อย เดินมานั่งลงเองโดยไม่ต้องเชิญแล้ว
การกระทำนี้ทำให้ดวงตางามของเป่าเหลียนเบิกกว้าง ทำแบบนี้มองข้ามหัวผู้บัญชาการใหญ่เกินไปแล้ว นางกำลังจะกล่าวตำหนิ แต่กลับเป็นเหมียวอี้ที่ยกมือห้ามไว้
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ เย่สวินเกาก็นึกว่าเหมียวอี้ยอมอ่อนให้แล้ว แอบกล่าวดูถูกในใจ แล้วนั่งกุมหมัดคารวะทักทาย “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าไม่มีเรื่องอื่นหรอก เป็นเรื่องที่คุยกันไว้ครั้งที่แล้วนั่นแหละ จาเหรินจวิ้น หลานชายของฮูหยินเทพประจำดาวฟ้าเถาะอยากจะทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์จริงๆ อยากจะติดตามผู้บัญชาการใหญ่ด้วยความจริงใจ ฮูหยินของเทพประจำดาวเคยได้ยินชื่อเสียงบารมีของผู้บัญชาการใหญ่มาบ้าง รู้สึกชื่นชมมาก ไม่อย่างนั้นผู้น้อยคงไม่กล้ามารบกวนผู้บัญชาการใหญ่เหมือนกัน ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดให้โอกาสจาเหรินจวิ้นสักครั้ง!”
ที่เรียกว่าเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ก็หมายถึงหนึ่งในสามสิบหกเทพประจำดาว
ตำหนักสวรรค์แบ่งเป็นสี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาว เจ็ดสิบสองโหว สิบสองจอมพลใช้ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุนสิบสองสายนี้มาเป็นตำแหน่ง ส่วนตำแหน่งของสามสิบหกเทพประจำดาวก็ใช้ ‘ฟ้า ดิน คน’ มาเติมข้างหน้าสิบสองสายนั้น ยกตัวอย่างเช่นเทพประจำดาวฟ้าเถาะที่เย่สวินเกาเอ่ยถึง ก็ใช้ ‘ฟ้า’ เป็นคำนำหน้าประสมกับ ‘เถาะ’
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ยินดีทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์นั้นเป็นเรื่องดี ข้าเองก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้าฮูหยินของเทพประจำดาว ก็เป็นอย่างที่บอก ตราบใดที่เต็มใจมาที่นี่ ข้าก็ไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรมหรอก ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการของสี่เขตเมืองสามารถเลือกได้ตามใจชอบ”
ล้อเล่นอะไรกัน! เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการจะมีความหมายอะไรล่ะ ถ้าไม่ได้เป็นผู้บัญชาการแล้วมีทรัพย์สินอะไรให้ตักตวง จะมาทำอะไรที่ตลาดสวรรค์ทำไมล่ะ? เย่สวินเกาบ่นในใจ แต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้ม “ผู้บัญชาการใหญ่ ความสามารถของจาเหรินจวิ้นเพียงพอที่จะรับตำแหน่งผู้บัญชาการสักเขตเมือง ให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการอาจจะไม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็ม ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดเมตตาสักหน่อยเถอะ!”
เหมียวอี้ยิ้มตอบว่า “จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ ก็ต้องได้เห็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน เริ่มจากเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการก่อนแล้วกัน ถ้ามีความสามารถจริงๆ คอยเลื่อนขั้นให้ก็ยังไม่สาย ไม่อย่างนั้นข้าจะอธิบายกับลูกน้องระดับล่างได้ยังไง แล้วจะคุมคนได้ยังไง?”
เย่สวินเกาสีหน้าเครียดลงเล็กน้อย อ้างชื่อฮูหยินของเทพประจำดาวมาแล้ว แต่ให้หลานชายตัวเองได้แค่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการเนี่ยนะ แล้วจะให้ฮูหยินของเทพประจำดาวเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? อันดับแรกเลยคือตัวเองคงหนีความผิดที่จัดการธุระไม่สำเร็จไปไม่พ้น! จึงกุมหมัดกล่าวทันทีว่า “นายท่านได้โปรดพิจารณา!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าแปลกใจแล้วนะ ตลาดสวรรค์ใต้สังกัดเทพประจำดาวฟ้าเถาะมีตั้งมากมาย อาศัยว่าเห็นแก่หน้าฮูหยินของเทพประจำดาว จาเหรินจวิ้นอะไรนั่นจะไปที่ไหนก็ไม่ไป ทำไมต้องมาหาข้าที่นี่ล่ะ! เรื่องนี้เจ้าสามารถไปหาท่านแม่ทัพภาคได้ ถ้าท่านแม่ทัพภาคถายทอดคำสั่งลงมา ข้าก็ย่อมปฏิบัติตามคำสั่ง”
เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ เย่สวินเกาก็แค้นจนคันฟัน คนที่สามมารถนั่งตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ได้ ส่วนใหญ่ล้วนมีภูมิหลังทั้งนั้น เป็นได้ไม่ง่ายเลย แล้วก็มีแต่ตำแหน่งผู้บัญชาการใต้สังกัดของเจ้าเท่านั้นที่ไม่ต้องมีภูมิหลังอะไร ถ้าไปหาปี้เยว่ฮูหยินแล้วได้ผล ข้าจะยังมาหาเจ้าทำไมล่ะ! ปี้เยว่ฮูหยินผลักเรื่องนี้ไปให้เฉาว่านเสียง บอกว่าเจ้าเป็นคนที่เฉาว่านเสียงรั้งไว้ในตอนแรก ส่วนเฉาว่านเสียงก็เป็นเหมือนคนที่ถูกรังแกบ่อยๆ แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ สามารถใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมเจ้าได้
เย่สวินเกาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ถ้าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็มีแต่ต้องใช้ไม้แข็งแล้ว จึงกล่าวชี้แนะว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมา ได้ยินว่ามีคนฟ้องว่าผู้บัญชาการใหญ่บังคับให้พ่อค้าติดสินบน เบื้องบนส่งคนมาตรวจสอบแล้ว! ข้าน้อยยังได้ยินมาอีกว่า นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไข พ่อค้าบางคนที่เจตนาไม่ดีก็จะฟ้องขึ้นไปเบื้องบนกว่านั้นอีก! แต่สำหรับเรื่องนี้ผู้น้อยมีความเห็นที่แตกต่างออกไป สามารถเป็นพยานให้นายท่านได้ ไม่มีเรื่องนี้อยู่แน่นอน! ส่วนทางด้านจาเหรินจวิ้น ก็หวังว่านายท่านจะเมตตาสักหน่อย!”
ชัดเจนว่ากำลังบอกเหมียวอี้ว่า ขอเพียงแค่เจ้าตอบตกลงเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะหาทางทำให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อย่านึกนะว่ามีท่านโหวเทียนหยวนหนุนหลังแล้วจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ ฮูหยินของเทพประจำดาวไม่ได้ถูกหักหน้าได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
“นี่เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?” เหมียวอี้เลิกคิ้ว
“มิบังอาจ!” เย่สวินเกากุมหมัดตอบ “ผู้น้อยเพียงอยากแก้ไขความกังวลให้นายท่าน!”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เป็นผู้จัดการของร้านค้าร้านหนึ่งเท่านั้น เป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่ทำมาหากินอยู่ในอาณาเขตของข้า คู่ควรที่จะมาแก้ไขความกังวลให้ข้าเหรอ?” ครั้งนี้เหมียวอี้แตกคอกับเขาอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ตะโกนไล่ตรงๆ เลยว่า “ไสหัวไป!”
…………………………