พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1070 อำนาจในการดูหมิ่น
หวงลี่สิ้งกุมหมัดคารวะทันที “ท่านผู้ตรวจสอบ ตอนแรกที่โดนบังคับให้มอบของขวัญ คนงานในร้านค้าของข้าก็ไปด้วยกัน พวกเขาสามารถเป็นพยานได้”
ปรากฏว่าเหมียวอี้พูดแทรกขึ้นมาโดยไม่รอให้ถาม “ล้อเล่นอะไรของเจ้า? ให้คนงานในร้านเจ้ามาเป็นพยานงั้นเหรอ? งั้นใต้สังกัดข้าก็สามารถเรียกกำลังพลนับร้อยมาเป็นพยานได้เหมือนกันว่าข้าไม่ได้รับของจากเจ้า จะแข่งกันมั้ยล่ะว่าพยานของใครเยอะกว่า?”
ติงกุ้ยรู้สึกนิดหน่อยว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ในใจกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ถามเสียงเรียบว่า “หวงลี่สิ้ง มีพยานคนอื่นอีกหรือเปล่า?”
“ท่านผู้ตรวจสอบ ผู้บัญชาการใหญ่กำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ” หวงลี่สิ้งกล่าว
ในขณะนี้เอง เย่สวินเกาก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดพร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้ตรวจสอบ สามารถทำการตรวจค้นผู้บัญชาการใหญ่ได้ขอรับ! ตอนแรกที่โดนเขาบังคับให้มอบสินบน ด้วยความโมโหชั่ววูบของข้า ข้าจงใจประทับตราไว้บนของขวัญที่มอบให้เขา ขอเพียงตรวจค้นเจอสิ่งของ ก็จะใช้เป็นหลักฐานที่แน่นหนาได้!”
เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองมาทันที รู้สึกแค้นจนกัดฟันกรอดนิดหน่อย เจ้าชาติสุนัขนี่มันเตรียมแผนสำรองไว้สู้กับข้าตั้งแต่แรกแล้ว เดี๋ยวพวกเรามาคอยดูกัน!
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นติงกุ้ยหรือปี้เยว่ฮูหยิน ต่างก็ขมวดคิ้วทันที ไม่มีขุนนางตำหนักสวรรค์คนไหนชอบคนประเภทนี้ ถ้าเจอคนประเภทนี้มามอบของขวัญให้ จะไม่เป็นการโดนวางกับดักให้อยู่ในอันตรายตลอดเวลาหรอกเหรอ
ติงกุ้ยมองเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่กล้ารับการตรวจค้นนี้หรือไม่!”
“ถ้าค้นบนตัวข้าแล้วไม่เจอของที่เจ้าบอก เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ?” เหมียวอี้ถามเย่สวินเกา
“ถ้าของไม่ได้อยู่บนตัว บางทีก็อาจจะซ่อนไว้ที่จวนผู้บัญชาการก็ได้” เย่สวินเกาตอบ
เขาเองก็ไม่หวังว่าจะค้นเจอของอะไรบนตัวเหมียวอี้ แล้วก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรบนสิ่งของด้วย เขาจะกล้าทำเรื่องต้องห้ามแบบนี้ได้อย่างไรกัน นี่เป็นเพียงการล้อเหมียวอี้เล่นเท่านั้น ขอเพียงเหมียวอี้ถูกค้นตัว หรือจวนผู้บัญชาการถูกค้นทั่วทุกซอกทุกมุม ไม่นานข่าวก็จะแพร่จนคนรู้กันทั้งตลาดสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือต้องการทำให้เหมียวอี้ดูแย่
ทว่าเหมียวอี้เอาแต่จ้องเขา “ถ้าค้นไม่เจออะไร เจ้าควรจะรับผิดชอบยังไง?”
เย่สวินเกากุมหมัดคารวะติงกุ้ย “ถึงตอนนั้นแล้วแต่ท่านผู้ตรวจสอบจะจัดการ!”
เขาไม่มีอะไรให้กลัว อาศัยภูมิหลังของเขา เดี๋ยวกลับไปก็มีคนคุยให้ เขาเชื่อว่าติงกุ้ยก็ไม่กล้าทำอะไรเขาเช่นกัน
ที่จริงก็ไม่ใช่แค่เขา ผู้จัดการร้านกลุ่มนี้ไม่มีใครที่หวาดกลัวเลย ทั้งหมดล้วนมีอำนาจที่แข็งแกร่งหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นจะกล้าต่อกรกับบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งของตลาดสวรรค์ได้อย่างไร ถ้าเปลี่ยนเป็นโค่วเหวินหลานก็คงไม่มีทางเกิดสถานการณ์แบบนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถ้าไม่เลือกคนที่มีภูมิหลังมานั่งตำแหน่งนี้ ก็ไม่มีทางคุมร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ได้เลย ต่อให้เป็นบุคคลที่เก่งกาจกว่านี้ แต่ก็ทนไม่ไหวหากมีพวกชนชั้นสูงร่วมมือกันรังแกอยู่เบื้องหลัง
ที่อวิ๋นจือชิวบอกว่าเหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะมี่มเหตุผล เรื่องราวปรากฏอย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว เหมียวอี้ไม่สามารถต้านทานชนชั้นสูงมากมายขนาดนี้ไหวเลย!
ปี้เยว่ฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย นางนับว่าดูออกแล้ว ว่าทาสของบุคคลที่มีอำนาจอิทธิพลพวกนี้ไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย นางสามารถจินตนาการได้เลย ว่าต่อให้เหมียวอี้จะผ่านด่านนี้ไปได้ แต่ชีวิตที่ตลาดสวรรค์ต่อจากนี้ก็เกรงจะมีปัญหาเข้ามาพัวพันไม่หยุด ยากที่จะทำอะไรได้!
ต้องทราบไว้ว่าหากอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้ร่วมมือกันขึ้นมา แม้แต่นางเองก็ยังต้องหลีกทางให้! ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ให้เหมียวอี้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ เป็นเพราะตอนแรกนางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะแข็งข้อกับคนกลุ่มนี้ ไม่อย่างนั้นการที่มีนางหนุนหลังให้ ก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ต่อไปไม่ได้!
แต่มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมให้อีกฝ่ายสมดังใจ กุมหมัดคารวะติงกุ้ยเช่นกัน “ถึงตอนนั้นถ้าตรวจค้นแล้วไม่เจออะไร ก็ไม่ต้องรบกวนท่านผู้ตรวจสอบหรอก ส่งประชาชนเจ้าเล่ห์นี่มาให้ข้าน้อยจัดการก็พอแล้ว!”
ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าส่งให้เจ้าจัดการจะไม่เป็นการหาเหาใส่หัวข้าหรอกเหรอ! เย่สวินเกาโต้กลับทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ เจ้าพูดแบบนี้มันน่าสงสัยนะว่าเจ้าทำเกินหน้าที่ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ถูกสอบสวน ก็ควรจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัวหรือเปล่า!”
อาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว? เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ เจ้าก็กลัวการอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัวเหมือนกันเหรอ? เขาบอกว่า “จากความหมายที่เจ้าสื่อ ประชาชนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าสามารถเหยียบย่ำขุนนางผู้นี้ได้ตามใจชอบ แต่ขุนนางตำหนักสวรรค์อย่างข้ากลับทำอะไรเข้าไม่ได้งั้นเหรอ?”
“ข่าไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย เหตุใดผู้บัญชาการใหญ่ต้องสาดโคลนใส่ตัวข้า!” เย่สวินเกากล่าวกลั้วหัวเราะ
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “ถ้าตรวจค้นเจอว่าข้ามีปัญหาจริงๆ หนิวคนนี้ก็จะยอมรับบทลงโทษทุกอย่าง แต่ถ้าตรวจไม่พบว่าข้ามีปัญหา ข้าก็จะเอาหัวเจ้า! เย่สวินเกา ในเมื่อเจ้าแน่ใจแล้วว่าจะค้นเจอของ เจ้ากล้าตอบตกลงมั้ยล่ะ!”
เย่สวินเกาจะยอมเดิมพันแบบนี้ได้อย่างไรกัน ขนาดคนโง่ยังรู้เลยว่าจะค้นไม่เจออะไรบนตัวเหมียวอี้ จึงกุมหมัดบอกติงกุ้ยว่า “ท่านผู้ตรวจสอบ ขอบังอาจถามสักคำ นี่ท่านกำลังสืบคดี หรือว่าผู้บัญชาการใหญ่ที่ถูกสอบสวนเป็นคนสืบคดี?” พูดจบก็หันไปมองคนที่อยู่ข้างหลังทางซ้ายและขวา
ผู้จัดการร้านสิบกว่าคนกุมหมัดขานรับพร้อมกันทันที “ท่านผู้ตรวจสอบได้โปรดตัดสินอย่างยุติธรรม!” พวกเขากำลังเป็นตัวแทนอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเพื่อรวมตัวกันกดดันติงกุ้ย
“พอแล้ว! เถียงอะไรกันนักหนา!” ปี้เยว่ฮูหยินตบโต๊ะยืนขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่ยอมให้พ่อค้าพวกนี้มาล้มคนที่นางเลื่อนตำแหน่งขึ้นมากับมือต่อหน้าต่อตานาง เพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน ต่อให้โดนกดดันจนต้องดึงเหมียวอี้ลงจากตำแหน่ง แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ท่านโหวเทียนหยวนสามีนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “ติงกุ้ย! ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้ความสำคัญกบหลักฐานทั้งนั้น ถ้ามีหลักฐานควรจะทำอย่างไรก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่มีหลักฐานก็ถือโอกาสจบเรื่องเสียแต่เนิ่นๆ อย่ามายืดเยื้ออยู่ที่นี่!”
“ขอรับ!” ติงกุ้ยขานรับด้วยความเคารพ
คดีนี้ไม่มีทางสืบต่อได้แล้ว ถามพวกพ่อค้าว่ามีหลักฐานหรือไม่ ปากหลายปากก็ย่อมละลายทองได้ พอถามเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ปากแข็งไม่ยอมรับ แบบนี้ใครถูกใครผิดล่ะ?
ติงกุ้ยไม่รู้จะไปซ้ายดีหรือจะไปขวาดี เจ้าบอกว่าถ้าไม่มีหลักฐานก็แปลว่าคนพวกนี้ใส่ร้าย แต่เขาก็ไปมีเรื่องกับอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้ไม่ไหว แถมฝั่งเหมียวอี้ก็มีปี้เยว่ฮูหยินคุ้มครองอีก เขาเป็นลูกน้องของท่านโหวเทียนหยวน มีหรือที่จะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินไม่พอใจ
สุดท้าย เจ้าบ้านี่ก็ไม่ล่วงเกินใครทั้งนั้น ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “สืบไม่เจอหลักฐานที่น่าเชื่อถือ รอขอคำชี้แนะจากเบื้องบนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
บทสรุปนี้ทำให้กลุ่มพ่อค้าประท้วงทันที
ติงกุ้ยกลับไม่อยากตกอยู่ในวังวนนี้อีก กล่าวอำลาปี้เยว่ฮูหยินเสียตรงนั้นเลย บอกว่าต้องกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงาน! นำคนหนีออกไปทันที ไม่อยากอยู่ต่อแม้เพียงครู่เดียว!
รอจนกระทั่งกลุ่มพ่อค้าที่กระฟัดกระเฟียดออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะปี้เยว่ฮูหยินทันที “ขอบคุณที่ฮูหยินดูแล!”
ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี บอกเพียงว่า “เจ้าจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีเถอะ!” นางเดาว่ากลุ่มพ่อค้าพวกนั้นไม่หยุดแค่นี้แน่ ถ้าอำนาจที่หนุนหลังมากมายขนาดนั้นร่วมมือกันขึ้นมา แม้แต่นางเองก็ปกป้องเหมียวอี้ไม่ไหวเช่นกัน นางถอนหายใจ แล้วนำคนหันตัวเดินจากไป
พอออกจากตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ถึงได้พบว่ากลุ่มพ่อค้ายังไม่ไป แต่ยังรอเขาอยู่นอกตำหนักคุ้มเมือง เย่สวินเกาแสยะยิ้มใส่เขาแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ การแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไม่ใช่แผนที่ยั่งยืนหรอกนะ ขุนนางระดับเจ้าน่ะ พวกเราเห็นมาเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใครอ่านสถานการณ์ไม่ออกอย่างเจ้ามาก่อนเลย! ข้าขอแนะนำสักคำ อย่านึกว่ามีปี้เยว่ฮูหยินหนุนหลังแล้วจะทำอะไรตามใจชอบได้ นี่เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อย ละครดีๆ ยังอยู่ตอนท้าย ก้มหน้าสักครั้ง อ่อนน้อมสักครั้ง บางทีกลับไปทุกคนอาจจะพบว่าที่แท้แล้วนี่คือการเข้าใจผิดกันก็ได้ เรื่องนี้ก็จะผ่านไปเหมือนกัน แบบนี้จะดีกับเจ้ากับข้าแล้วก็ดีกับทุกคน ในเมื่อเป็นเรื่องน่ายินดีแบบนี้ แล้วทำไมยังไม่ทำ!”
เหมียวอี้ยังทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่เถียงอะไรสักคำ ไม่มองพวกเขาแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ เหาะขึ้นฟ้าไปโดยตรงเลย
“ถุย! ยังอวดดีซะด้วย สงสัยถ้าไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา!” มีบางคนพูดเหน็บแนม
บางคนก็บอกว่า “ชัดเจนว่าเรื่องนี้มีปี้เยว่ฮูหยินหนุนหลัง อีกฝ่ายไม่เกรงกลัวอะไรเพราะมีคนหนุนหลัง!”
หวงลี่สิ้งหันกลับมามองที่ตำหนักคุ้มเมือง แล้วพูดดูถูกว่า “พวกเราแค่ไม่อยากทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไปเฉยๆ หรอก! ไม่อย่างนั้นก็มีทางจัดการกับเขาอยู่แล้ว ถ้ายังไม่รู้จักอ่านสถานการณ์อีก นางช่วยเหลือหนิวโหย่วเต๋อสุดกำลังแบบนี้ ถ้าเป็นเหมือนเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวขึ้นมา ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้ามีข่าวสกปรกอะไรแพร่ออกไป งั้นก็จะมาโทษพวกเราไม่ได้แล้วนะ!”
มีบางคนหลุดขำ “นางเองก็ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องปกป้องไว้สักหน่อย ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนเลื่อนขั้นให้เองต่อหน้าฝูงชน เกรงว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้นางจะยังไม่ยอมให้หนิวโหย่วเต๋อลงจากตำแหน่งหรอก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการตบหน้าตัวเอง!”
เย่สวินเกาแสยะยิ้มอีก “ช่างเถอะ! ถ้าไปทำให้ท่านโหวเทียนหยวนไม่พอใจจริงๆ มันก็อาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง พวกเราว่ากันไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน ทำให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นรู้ตัวก่อนว่าตัวเองเป็นใคร ไม่อย่างนั้น ค้างคาวที่เอาขนไก่มาเสียบบนตัวมันจะหลงนึกว่าตัวเองเป็นนกไปแล้วจริงๆ! ทุกคนไปติดต่อให้ทั่ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ร้านค้าเล็กใหญ่ทั้งตลาดสวรรค์หยุดให้ผลประโยชน์และมอบของขวัญแสดงความกตัญญูให้กับทหารชั้นต่ำพวกนั้น ถ้าใครกล้าไม่ยืนฝั่งเดียวกับพวกเรา พวกเราก็จะทำให้มันไม่มีที่ยื่นในตลาดสวรรค์ รอให้ป่วนจนลูกน้องหนิวโหย่วเต๋อพากันบ่นร้องเรียน รอให้ทุกคนเอาใจออกห่างเขาหมด รอให้ลูกน้องของเขามาฟ้องร้องร่วมกับพวกเรา เมื่อไม่มีใครกล้าสนับสนุนเขา เจ้าว่าเขาจะยังเป็นผู้บัญชาการใหญ่ได้มั้ยล่ะ? ถ้าไม่มีหนังเสือนี้คลุมแล้ว พวกเราค่อยทำให้เขาทรมานจนอยากตาย!”
“ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็กุมอำนาจไว้มาก การที่พวกเราทำแบบนี้ ถ้าไปยั่วโมโหจนเขาจงใจหาโอกาสก่อเรื่องจะทำยังไงล่ะ?” บางคนถามอย่างกังวล
“ถ้ากล้าก่อเรื่อง นั่นจะไม่เป็นการนำหลักฐานมาส่งถึงมือพวกเราหรอกเหรอ!” หวงลี่สิ้งยิ้มตอบ
กลุ่มพ่อค้าพยักหน้าเห็นด้วยทันที ต่างก็รู้สึกว่าวิธีการนี้ไม่เลว เรียกได้ว่าปรึกษาเรื่องจัดการผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ที่นอกตำหนักคุ้มเมืองกันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง จะไม่บอกว่ากำเริบเสิบสานก็ไม่ได้ แต่ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมีเงินและมีอำนาจในระดับหนึ่ง หลังจากคิดว่าตัวเองใหญ่ขึ้นแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องการอำนาจในการดูหมิ่นกฏหมาย เป็นผู้กุมอำนาจที่อยากควบคุมและโอ้อวด เพื่อเติมเต็มความทะยานอยากของตัวเอง!
“ผู้บัญชาการใหญ่ เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อถูกเรียกพบ สวีถังหรานที่มาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกและเห็นเหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างร้อนใจ
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว สวีถังหรานก็รู้เช่นกัน มีคนอยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการที่ตลาดสวรรค์ จึงเกิดความขัดแย้งกับเหมียวอี้ กำลังจงใจเล่นงานเหมียวอี้
เขาก็กังวลใจเหมือนกัน! เพราะเขาไม่มีภูมิหลังอะไรเหมือนกัน! ถ้าเหมียวอี้ถูกถอดจากตำแหน่งขึ้นมา ตำแหน่งของเขาก็คงจะอยู่ได้ไม่นานเหมือนกัน สง่าราศีที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งก็ไม่อาจใช้ได้ผลตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ นั่นเป็นพวกที่แม้แต่ราชันสวรรค์ก็ยังต้องปวดหัว แล้วเขาจะต่อต้านได้อย่างไร ย่อมต้องร้อนใจอยู่แล้ว!
เหมียวอี้ถอดเกราะรบแล้ว นั่งดื่มน้ำชาอยู่ในศาลาอย่างปลอยภัยไร้กังวล ตอบอย่างสบายใจว่า “มีปี้เยว่ฮูหยินอยู่ด้วย ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก สืบไม่เจอหลักฐานที่น่าเชื่อถือ คนตรวจสอบก็ไปแล้ว”
“ผู้บัญชาการใหญ่ เรื่องนี้ไม่ได้จบง่ายๆ ขนาดนั้น ท่านอย่าไปมองนะว่ายามปกติเจ้าพวกนั้นมันสุภาพเกรงใจและเคารพเชื่อฟัง ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ที่ต้องการ พวกนั้นจะยอมเลิกราง่ายๆ ได้ยังไง!” สวีถังหรานกล่าวอย่างร้อนใจมาก
“จำเป็นต้องให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ
“ใช่ขอรับ!” สวีถังหรานรีบพยักหน้า “งั้นผู้บัญชาการใหญ่มีวิธีการรับมือแล้วเหรอ?” หลังจากผ่านเรื่องราวพร้อมกับเหมียวอี้มาหลายครั้ง ในตอนนี้เขายังมีความหวังสุดท้ายกับเหมียวอี้อยู่
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เป่าเหลียน เป่าเหลียนที่กำลังทำสีหน้ากังวลเข้าใจว่าเขาต้องการจะคุยธุระส่วนตัว จึงถอยออกไปทันที!
จากนั้นเหมียวอี้ก็นำขวดผลึกใสใบเล็กที่บรรจุของเหลวสีดำออกมา เป็น ‘ความปรารถนาร้าย’ ที่สวีถังหรานนำมาตบตาเขาครั้งก่อน เขาวางมันบนโต๊ะแล้วถามว่า “ของสิ่งนี้เจ้าหามาจากไหน? ปกติเจ้ารวบรวมไว้หลังจากใช้ลูกแก้วพลังปรารถนา?”
…………………………