พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1078 เบื้องบนตื่นตระหนก
อีกด้านหนึ่ง หลังจากมู่หรงซิงหัวรีบกลับไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือของตัวเอง เรื่องแรกที่ทำก็คือติดต่อกับเฉาว่านเสียงทันที
ไม่สนใจว่ารักหรือเกลียด ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในตอนนี้ทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าไม่บอกเฉาว่านเสียงสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล ถ้าถ่วงให้เวลานานไปแล้วค่อยบอก เฉาว่านเสียงจะต้องตำหนิว่าทำไมนางไม่บอกตั้งแต่เนิ่นๆ ขณะเดียวกันก็อยากจะขอความคิดเห็นด้วย
ณ จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ เฉาว่านเสียงกำลังนั่งสมาธิฝึกตน พอได้ยินข่าวก็ตะลึงค้างทันที!
ตอบกลับอย่างร้อนใจว่า : ฮูหยินเอ้ย จะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นไม่ได้นะ จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง เจ้าอย่ามาทำให้ข้าตกใจสิ!
มู่หรงซิงหัว : ข้าจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นได้ยังไง มิหนำซ้ำเรื่อแบบนี้ก็ปิดบังได้ไม่นานด้วย ต่อให้ข้าไม่บอก ท่านก็จะได้รู้ในเร็วๆ นี้เช่นกัน
เฉาว่านเสียงร้อนรนทันที ถามด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า : ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?
มู่หรงซิงหัว : ข้าเองก็โดนคนจับตาดูอยู่เหมือนกัน หาโอกาสบอกท่านไม่ได้!
เฉาว่านเสียง : ก่อนจะลงมือทำเรื่องนี้ ปี้เยว่ฮูหยินรู้หรือเปล่า?
มู่หรงซิงหัว : ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางรู้หรือเปล่า คาดว่ามีโอกาสสูงที่จะไม่รู้ ตอนนี้จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?
เฉาว่านเสียง : ข้าจะไปรู้เหรอว่าจะทำยังไง? หัวหน้าภาคเล็กๆ อย่างข้าจะทำอะไรได้? พวกเจ้าก็ซวยไปพร้อมกับข้าแล้วกัน!
เขาอาจจะซวย แต่มู่หรงซิงหัวกลับไม่แน่ โลกภายนอกต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนรั้งเหมียวอี้มาจากมือของโค่วเหวินหลาน ส่วนมู่หรงซิงหัวก็เป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติตามคำสั่งเหมียวอี้เท่านั้น เมื่อฟ้าถล่มก็จะมีคนตัวสูงคอยค้ำให้ แต่เฉาว่านเสียงที่เป็นคนค้ำกลับเกิดปัญหาใหญ่แล้ว
จากนั้นไม่ว่ามู่หรงซิงหัวจะติดต่อเฉาว่านเสียงอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เมื่อเป็นแบบนี้ มู่หรงซิงหัวก็ยิ่งเริ่มกระวนกระวายใจอยู่ไม่สุขแล้ว
เพล้ง! ขวดหยกใบหนึ่งแตกกระจาย
เฉาว่านเสียงที่โมโหจนกระหืดกระหอบราวกับเสียสติไปแล้ว จับอะไรได้ก็ทุ่มหมด พังข้าวของในห้องแตกกระจายเป็นกอง ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะประสบภัยอย่างไร้เค้าลางแบบนี้ เขาอยู่ในสภาพประสาทเสียเล็กน้อย เรียกได้ว่าแค้นท่านโหวเทียนหยวนกับปี้เยว่ฮูหยินมาก ที่จริงเรื่องของเหมียวอี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แต่สองผัวเมียนั่นกลับยัดเขาให้ไปเป็นท่อนไม้อยู่ตรงกลาง ดึงเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้จบกัน อย่านึกเลยว่าเขาจะปลีกตัวพ้น
ตอนนี้เขาอยากจะถ่ายทอดคำสั่งให้ฉีกร่างเหมียวอี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ แต่นั้นคือลูกน้องจองปี้เยว่ฮูหยิน ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะควบคุม
“ไม่ได้!” หลังจากดึงผมเดินไปเดินมาอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ เฉาว่านเสียงก็หยุดฝีเท้า รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อท่านโหวเทียนหยวน พอติดต่อได้ คำแรกที่เอ่ยก็คือ “ช่วยชีวิตด้วย”
ที่จวนของเทียนหยวน ท่านโหวเทียนหยวนที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนได้รับข้อความที่ค่อนข้างประหลาด ย่อมต้องถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลังจากรู้สถานการณ์ชัดเจนแล้ว เทียนหยวนก็นั่งไม่ติดที่เช่นกัน ลุกพรวดขึ้นยืนทันที โมโหจนหน้าดำเป็นก้นหม้อ ถามว่า : เจ้าแน่ใจนะว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้?
เฉาว่านเสียงแทบจะเป็นลมแล้ว สงสัยเมียเจ้าก็คงไม่รู้เรื่องเหมือนกัน! เขายังกอดความหวังสุดท้ายเอาไว้ หวังให้นี่เป็นการเตรียมการของท่านโหวเทียนหยวน ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการใหญ่ตัวเล็กๆ คนเดียวจะใจกล้าคับฟ้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร แต่ใครจะคิด…
จบเห่แล้ว! เฉาว่านเสียงรู้สึกเหมือนฟ้าหมุนแผ่นดินพลิก ใช้มือข้างหนึ่งยันเสาเอาไว้ ใช้มือข้างหนึ่งถือระฆังดาราตอบ : คงจะจริงขอรับ เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ฮูหยินของข้าบอกมา…ท่านโหว…ท่านโหว…
ไม่มีเสียงตอบกลับจากท่านโหวเทียนหยวน ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีการตอบกลับ
เทียนหยวนกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างโมโห เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ จะมีอารมณ์จากไหนมาสนใจเฉาว่านเสียง
“แผนลับ! แผนลับ! ต้องเป็นแผนลับของใครบางคนแน่นอน! ตระกูลโค่วเหรอ? ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการใหญ่คนเดียวจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร…” เทียนหยวนที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมากำลังพึมพำวิเคราะห์ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สุดท้ายก็หยุดฝีเท้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพึมพำอีกว่า “ใช่แล้ว! ผู้บัญชาการใหญ่แค่คนเดียวจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? แม้แต่ร้านค้าที่มีตระกูลโค่วหนุนหลังก็ยังถูกจับไปด้วย ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้…”
บนใบหน้าฉายแววฉงนใจก่อน จากนั้นก็ฉายแววระแวงสงสัย เอามือลูบเคราใต้ปาก ครุ่นคิดอย่างช้าๆ แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง
ชั่วพริบตาเดียวก็นึกขึ้นได้ว่าพลาดเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งไป ลืมหาหลักฐานพิสูจน์จากปี้เยว่ฮูหยิน จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที
ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกยังคงคุมเชิงกันอยู่
“ตรวจสอบให้ชัดเจนบ้าอะไรล่ะ!”
ปี้เยว่ฮูหยินพอออ้าปากก็พ่นคำหยาบ ไม่พ่นก็แปลกแล้ว ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ยังจะให้นางตรวจสอบให้ชัดเจนอีก จะให้นางตรวจสอบให้ชัดเจนอย่างไร? ครอบครัวของนางโดนลากลงน้ำไปด้วยแล้ว ตอนนี้เรียกได้ว่าอยากจะฆ่าเขาให้ตาย ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าฆ่าเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ นางก็คงลงมือไปแล้ว
“นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าอยากฟัง!” นางตะคอกอย่างโมโห
“ฮูหยินผ่อนผันให้ข้าสามวันได้หรือไม่ แค่สามวัน” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน
“สามวัน?” ปี้เยว่ฮูหยินโมโหจนหัวเราะออกมา “ให้ข้าผ่อนผันให้เจ้าสามวันเหรอ? ถ้าเบื้องบนถามข้าว่าเพราะอะไร แล้วข้าให้คำอธิบายไม่ได้ ใครจะมาขยายเวลาให้ข้าสามวัน? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ…” เสียงพูดหยุดชะงัก แล้วหยิบระฆังดาราออกมา
ผู้ที่ส่งข้อความมา นอกจากท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่มีใครแล้ว เป็นอย่างที่ปี้เยว่ฮูหยินคาดไว้ ผู้ชายของนางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แล้วจริงๆ ขณะที่โดนสอบถาม นางแยกตัวออกจากเหมียวอี้ เดินไปตอบข้อความอีกด้าน : มีเรื่องนี้จริงๆ!
เทียนหยวน : ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้?
ปี้เยว่ฮูหยิน : ถ้าข้ารู้ตั้งแต่แรกจะมีเรื่องให้บอกเหรอ? ข้าก็ต้องห้ามไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้หรอก ที่สำคัญคือหนิวโหย่วเต๋อสร้างสถานการณ์ตบตาข้า ทำให้ข้าเพิ่งจะรู้เรื่องราว ตอนนี้ข้ากำลังอยู่กับเขา เตรียมจะคิดบัญชีกับเขา!
เทียนหยวน : เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม เจ้าอย่าทำซี้ซั้วเชียวนะ ต่อให้เจ้าฆ่าเขาทิ้งตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์! เขาทำเรื่องนี้เพราะมีเจตนาอะไร?
ปี้เยว่ฮูหยิน : เขายังไม่ออกอะไร เอาแต่ปิดบังอำพราง ขอให้ข้าผ่อนผันเวลาให้สามวัน บอกว่าหลังจากสามวันนี้ก็จะรู้เอง!
เทียนหยวน : ได้ยินว่าคนจากร้านค้าสิบหกร้านที่ฟ้องร้องเขา รวมทั้งสองร้อยยี่สิบเอ็ดร้านที่เกี่ยวข้องถูกฆ่าทิ้งหมดเลยสามพันกว่าคน ทั้งยังจับคนจากร้านค้าร้อยอันดับแรกไปพันกว่าคน แม้แต่คนของร้านค้าสมาคมวีรชนกับคนของร้านค้าที่ตระกูลโค่วหนุนหลังก็จับไปด้วย มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?
ปี้เยว่ฮูหยินอึ้งเล็กน้อย นางยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน ประเด็นสำคัญคือผู้การสองหลันเซียงก็โดนตบตาเหมือนกัน กลับไปรายงานได้ไม่ชัดเจนเท่าไร จึงหันกลับมาถามเหมียวอี้ทันทีว่าเป็นแบบนี้หรือไม่
เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้ เหมียวอี้เองก็ไม่อยากจะปิดบังเช่นกัน เขาตอบว่าใช่!
ปี้เยว่ฮูหยินตอบทันที : ใช่!
เทียนหยวน : ตอนที่พวกติงกุ้ยไปตรวจสอบ เจ้าได้ปกป้องหนิวโหย่วเต๋อรึเปล่า?
ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าก็ต้องปกป้องอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ามีแรงกดดันนิดหน่อยแล้วข้าวางมือไม่สนใจ พวกเราสองสามีภรรยาจะเอาหน้าไปไว้ไหน? ถึงแม้จะรู้ว่าจะปกป้องไม่ไหว แต่ก็ยังต้องลำเอียงเข้าข้างสักหน่อย แต่ในเมื่อเขาสู้กับคนพวกนั้นแล้ว คาดว่าเขาก็คงรู้เหมือนกันว่าจะไม่มีจุดจบที่ดี ข้าแขะเกลี้ยกล่อมให้เขาจัดการเรื่องของตัวเองให้ดี แต่ใครจะคิดว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้ได้…นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมีกะจิตกะใจมาถามเรื่องนั้นอีกเหรอ? จะผ่านด่านที่อยู่ตรงหน้าไปได้ยังไง เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว!
ท่านโหวเทียนหยวนที่กำลังถือระฆังดาราไว้ในมือทำสีหน้าครุ่นคิด ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วตอบว่า : ปี้เยว่! เจ้าน่ะเจ้า จะให้ข้าว่าเจ้ายังไงดี! เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาแท้ๆ ต่อให้เจ้าปกป้องเขาไม่ได้ แต่เจ้าไปแสดงความคิดตัวเองให้เขารู้ได้ยังไงว่าเจ้าจะทิ้งเขา? เจ้าจะให้ลูกน้องคิดยังไง? ขนาดเจ้ายังหนุนหลังให้เขาไม่ได้เลย เขาก็ต้องหาวิธีปกป้องตัวเองสิ ตัวเจ้าอยู่ที่นั่นแท้ๆ อย่าบอกนะว่าดูไม่ออกว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังคิดหาทางปกป้องตัวเอง? ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป!
ปี้เยว่ฮูหยิน : เจ้าล้อเล่นใช่มั้ย! เรื่องที่เกิดใต้หนังตาข้า จะเสแสร้งต่อไปได้เหรอ? อีกประเดี๋ยวถ้ามีการถามหาความรับผิดชอบ ข้าต้องไม่รอดตัวแน่!
เทียนหยวน : ผลลัพธ์ในตอนนี้พูดยาก คอยดูไปก่อน! ถ้ามีเรื่องขึ้นมา ข้าจะหาทางผลักเฉาว่านเสียงออกมารับผิดชอบ
เมื่อได้ยินว่าเขามีหนทาง ปี้เยว่ฮูหยินก็สงบใจลงเล็กน้อย ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะเจ้าชู้ลับหลังนาง แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นางแน่ใจได้ นั่นก็คือเขายังเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ไม่ทอดทิ้งนางเอาไว้โดยไม่สนใจ แต่ก็ยังถามเพิ่มอีกว่า : เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ายังมีผลลัพธ์อีกอย่าง?
เทียนหยวน : สมองเจ้าไปงอกบนหน้าอกหมดแล้ว ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็อธิบายให้เจ้าเข้าใจไม่ได้หรอก สรุปว่าข้ายังยืนยันอะไรไม่ได้ ยังต้องรอดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน จำไว้นะ! เจ้าไม่ต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรต่อไป ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกข้าล่วงหน้า อย่าเข้าไปก้าวก่ายซี้ซั้ว อย่าช่วยแล้วทำให้เรื่องยุ่งกว่าเดิม!
ชัดเจนว่ากำลังด่านางว่าหน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง! ปี้เยว่ฮูหยินก้มหน้ามองหน้าอกขาวอิ่มเอิบที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งของตัวเอง แล้วจตอบว่า : ไปตายไป๊!
เมื่อเลิกติดต่อกันแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็หันกลับมาจ้องเหมียวอี้ครู่หนึ่ง
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ แต่ใครจะคิดว่าปี้เยว่ฮูหยินกลับตะคอกว่า “พวกเรากลับ!”
นางพาผู้การสองหลันเซียงกลับไปแบบนี้เสียเลย ทำเอาเหมียวอี้ยืนงงอยู่ที่เดิม นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? คำพูดหลอกลวงที่เขาครุ่นคิดขึ้นมา ยังไม่ทันได้พูดออกมาด้วยซ้ำ
ผ่านไปไม่นาน เป่าเหลียนก็มาแล้ว ในมือถือกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมายื่นให้เขา คนที่ตามหลังนางมายังมีหวงฝู่จวินโหรวด้วย ผมงามยุ่งสยาย บนกระโปรงเปื้อนฝุ่นดินและรอยเลือด สูญเสียความสง่าภูมิฐานหมือนในวันเก่าๆ ดูค่อนข้างสะบักสะบอม
เหมียวอี้ดูกำไลเก็บสมบัติในมือนิดหน่อย แล้วบอกเป่าเหลียนด้วยรอยยิ้มว่า “ไปผู้บัญชาการฝูแล้วคุยเรื่องอวี้ซวีเจินเหรินสักหน่อยเถอะ ฝูชิงรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร”
“ค่ะ!” เป่าเหลียนพยักหน้าซ้ำๆ แล้วรีบออกไป ไม่อย่างนั้นก็กลัวว่าพวกลูกน้องจะไม่บันยะบันยังทำให้อวี้ซวีเจินเหรินได้รับความลำบาก
ในลานบ้านเหลือคนอยู่แค่สองคน เหมียวอี้มองสำรวจหวงฝู่จวินโหรวที่สภาพสะบักสะบอมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ส่วนหวงฝู่จวินโหรวก็ทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับไฟจะลุกออกจากดวงตา กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ช่างมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ พอสั่งคำเดียว ศีรษะคนก็ตกลงพื้นหลายพัน พวกเราอุตส่าห์ยอมให้จับมาแต่โดยดี ช่างน่าเกรงขามจริงๆ!”
เหมียวอี้กลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “เขียนคำให้การว่าสมคบคิดกันหรือยัง?”
หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้ม “ดาบจ่ออยู่ที่คอข้า ข้าจะกล้าไม่เขียนเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อ วันนี้ข้านับว่าเห็นชัดแล้วว่าเจ้าเป็นคนยังไง ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยสักนิด ไม่นึกถึงความรักใคร่ต่อกันเลยสักนิด!”
“ดีกว่าที่เจ้าให้ปีศาจโลหิตมาสังหารข้าหรอกน่า? อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้เอาชีวิตเจ้า ครั้งนี้นับว่าบุญคุณความแค้นของพวกเราจบลงแล้ว!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้มือกดบ่านาง คลายผลึกพลังอิทธิฤทธิ์ให้นาง จากนั้นเผยกำไลเก็บสมบัติออกมา “คืนของให้เจ้า ข้าไม่ได้แตะต้องของข้างในเลยสักอย่าง ข้ามีน้ำใจพอมั้ยล่ะ?”
หวงฝู่จวินโหรวแย่งกลับมา รีบตรวจดูครู่หนึ่ง เมื่อประเมินแล้วว่าไม่มีอะไรหายไป ถึงได้นำกลับมาสวมไว้บนข้อมือ “ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็ปิดบังไว้ไม่อยู่หรอก ข้าจะดูว่าครั้งนี้เจ้าจะตายยังไง!”
“เจ้าไม่ต้องลำบากมาเป็นห่วงหรอก!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ “เห็นแก่ไมตรีเก่า เจ้าสามารถพาพนักงานของร้านเจ้ากลับไปด้วยได้!”
“เจ้าคิดจะไล่ข้ากลับไปอย่างนี้เหรอ? ร้านค้าของข้าที่โดยสั่งปิด ของที่ยึดจากร้านค้าข้าไปล่ะยึด!” หวงฝู่จวินโหรวตะคอก
“ร้านค้าน่ะ เวลาที่ควรจะเปิดก็ย่อมเปิดได้ โรงเตี๊ยมที่ตลาดสวรรค์ไม่ขาดที่ให้เจ้าพักหรอก ส่วนของที่ยึดไว้ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้ให้รู้ชัดอย่างถึงที่สุด พวกนั้นล้วนเป็นของโจร ตอนนี้ยังเอากลับคืนไปไม่ได้!” เหมียวอี้ส่ายหน้า เมื่อเห็นนางทำท่าจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ก็เอาสองมือไขว้หลังแล้วขู่ไปเสียเลยว่า “ถือโอกาสพาพนักงานของเจ้ากลับไปก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ ถ้าช้ากว่านี้จะได้เอากลับไปแต่หัวนะ หัวไม่กี่พันหัวยังดับไฟโกรธในใจข้าไม่ได้เลย ข้าไม่ถือสาที่จะฆ่าเพิ่มอีกสักหน่อย!”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน หวงฝู่จวินโหรวก็คงจะพูดว่า “เจ้ากล้าเหรอ” แต่วันนี้หลังจากได้เห็นภาพศีรษะคนปลิวว่อนฟ้า นางก็ไม่สงสัยเลยว่าเจ้าคนเสียสตินี่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ นางไม่กล้าเอาชีวิตลูกน้องมาเสี่ยงอันตราย ทำได้เพียงกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “วันนี้เจ้าบังคับให้ข้าคุกเข่ารับความอัปยศ วันหลังข้าจะคืนให้เจ้าแน่!” แล้วกันหน้าเดินจากไป
…………………………