พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1080 เงียบสงบมาก
เรื่องบางอย่างเมื่อได้ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็มักจะเกิดผลกระทบบางอย่างที่ไม่ค่อยดีอยู่เสมอ
เหมียวอี้ที่รออย่างเงียบๆ อยู่ที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ ปัญหาแรกที่ประสบไม่ได้มาจากทางตำหนักสวรรค์ แต่เป็นความเดือดดาลที่มาจากโค่วเหวินหลาน
ที่โค่วเหวินหลานเดือดดาลก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ข้าเพิ่งจะออกจากตลาดสวรรค์ได้ไม่นาน แต่เจ้าก็มาค้นและยึดร้านค้าของตระกูลโค่ว จับตัวคนของตระกูลโค่ว แบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
โค่วเหวินหลานสั่งเพียงคำเดียวว่า เปิดร้านค้าของตระกูลโค่วเดี๋ยวนี้ คืนของในร้านค้าให้ตระกูลโค่ว แล้วข้าจะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ไมตรีเก่า!
ส่วนคนของร้านค้าตระกูลโค่วที่ถูกจับมา ก็ส่งคำให้การที่เกี่ยวข้องกับขบวนการและถูกปล่อยตัวไปแล้ว และก็เป็นเพราะถูกปล่อยออกไป ทางโค่วเหวินหลานถึงได้ข่าวเร็วมาก ผู้จัดการร้านค้ารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโค่วเหวินหลานกับเหมียวอี้ จึงบอกให้โค่วเหวินหลานรู้สักหน่อย
เหมียวอี้ที่ถือระฆังดาราอยู่ใต้เพิงเถาวัลย์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก่อนที่ผลการตรวจสอบจะออกมา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งเปิดร้านค้าที่โดนตรวจสอบและอายัด ของก็ยังคืนให้ไม่ได้เช่นกัน
ผ่านไปไม่นาน ฝูชิงและผู้บัญชาการอีกสี่คนที่ถูกเรียกพบก็เข้ามาทำความเคารพพร้อมกัน “ผู้บัญชาการใหญ่!”
เหมียวอี้เก็บระฆังดารา แล้วถามว่า “ร้านค้าพวกนั้นที่ถูกจับมาได้มอบคำให้การของขบวนการนี้รึยัง?”
“ส่งมอบให้หมดแล้ว คนก็ปล่อยไปแล้ว แต่ทุกคนถามว่าเมื่อไรจะสั่งเปิดร้านค้าให้พวกเขา จะคืนของที่ตรวจค้นและยึดไปให้เขาเมื่อไร” ฝูชิงตอบ
สวีถังหรานตอบว่า “ผู้ต้องสงสัยที่หนีรอดไปได้มามอบตัวแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง หลังจากที่ร้านค้าใหญ่ๆ รายงานมา พวกเราก็จับได้แล้วเช่นกัน”
เหมียวอี้พยักหน้า “คนที่มอบตัวเอง ขอแค่เป็นคนที่สารภาพแล้ว ก็กักตัวไว้ก่อนชั่วคราว ส่วนคนที่ถูกจับได้ให้ลากไปประหาร! ในเมื่อคนที่ควรจับก็จับไปแล้ว เปิดประตูเมืองทั้งสี่ไปเลยแล้วกัน”
“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับ
เหมียวอี้ถามอีกว่า “ร้านค้าร้านอื่นๆ มีปฏิกิริยายังไงบ้าง?”
ฝูชิง “ร้านค้าใหญ่ๆ แต่ละร้านกระตือรือร้นเป็นฝ่ายส่งคำให้การว่าสมาคมร้านค้าร่วมมือกันต่อต้านนายท่าน”
เหมียวอี้พยักหน้า แอบโล่งใจลงบ้างนิดหน่อย ปฏิกิริยาของร้านค้าใหญ่ๆ ก็คือเครื่องวัดที่เขาใช้หยั่งเชิงปฏิกิริยาของเบื้องบน ร้านค้าพวกนั้นจะต้องติดต่อกับเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังก่อนแน่นอน ในเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังแล้ว ความเป็นไปได้ที่เรื่องราวจะดำเนินไปในทางแย่ก็จะยิ่งลดน้อยลง
อันที่จริงแล้ว มู่หรงซิงหัวค่อนข้างประหลาดใจกับปฏิกิริยาของบรรดาร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ แน่นอนว่านางรู้ว่าท่าทีของร้านค้าใหญ่ๆ ก็คือท่าทีของเจ้าของที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขายอมอ่อนข้อให้หนิวโหย่วเต๋อหมดแล้วงั้นเหรอ? หรือว่ากำลังครุ่นคิดถึงมรสุมที่ใหญ่กว่านี้?
สวีถังหรานเองก็ไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์ปัจจุบันเป็นประโยชน์กับพวกเขา ในใจเรียกได้ว่าแอบกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง
ร้านโฉมเมฆา ในศาลาที่ถูกขับให้เด่นด้วยภูเขาจำลอง อวิ๋นจือชิวถามอย่างแปลกใจมาก “ร้านค้าแต่ละร้านเป็นฝ่ายไปมอบคำให้การสารภาพผิดที่จวนผู้บัญชาการทั้งสี่เขตเมืองเองเลยเหรอ?”
ช่างไม้กับช่างหินที่ไปสืบข่าวกลับมาพยักหน้าตอบ “เป็นอย่างนี้ขอรับ”
อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นอย่างช้าๆ ยืนพิงรั้วเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร…
ณ ตำหนักคุ้มเมือง ถึงแม้ท่านโหวเทียนหยวนจะสั่งไว้แล้วว่าไม่ให้เข้าไปแทรกแซง แต่เกิดเรื่องขึ้นใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ปี้เยว่ฮูหยินจะไม่สนใจ
หลังจากได้ทราบปฏิกิริยาของร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ ปี้เยว่ฮูหยินก็แปลกใจอยู่บ้างเช่นกัน ขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ ถึงขั้นเรียกได้ว่ามหัศจรรย์ใจไม่หยุด
เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังบรรดาร้านค้าที่โดนค้นยึดและประหาร นอกจากจะไม่มีคนมาเอาเรื่องแล้ว ร้านค้าที่เป็นทั่วแทนของผู้มีอำนาจทุกร้านกลับมายอมศิโรราบต่อหนิวโหย่วเต๋อด้วยซ้ำ หัวคนหลายพันหัว สังหารทาสของผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์จนเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่จินตนาการไว้เลยสักนิด เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็หยิบระฆังดาราออกมาอีก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางก็ต้องรายงานสถานการณ์ของที่นี่ให้ท่านโหวเทียนหยวนรู้ในทันที จะได้ให้ผู้ชายของตัวเองรู้การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และตัดสินใจได้สะดวก
หลังจากบอกเล่าสถานการณ์ของทางนี้อย่างคร่าวๆ ปี้เยว่ฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า : ทางนั้นมีใครกดดันเจ้าหรือเปล่า?
เทียนหยวน : เงียบสงบมาก แม้แต่เทพประจำดาวก็ถามแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนิดหน่อย ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาแทรกแซงเลย
ปี้เยว่ฮูหยินแปลกใจ: เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? หนิวโหย่วเต๋อหน้าใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? อย่าบอกนะว่าอ๋องสวรรค์โค่วออกหน้าให้แล้ว?
เทียนหยวน : เจ้านี่นะ! ตอนนี้อธิบายไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเรื่องยังไม่ถึงตอนสุดท้ายก็พูดยาก ก็อย่างที่บอก เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดสวรรค์ เจ้ายังไม่ต้องมายุ่งอะไรทั้งนั้น หนิวโหย่วเต๋อนั่นฉลาดกว่าเจ้า เจ้าไม่ต้องไปปล่อยไก่ที่นั่นแล้ว!
เมื่อโดนดูถูกเหยียดหยาม ปี้เยว่ฮูหยินก็โมโหเช่นกัน : เทียนหยวน อย่ามาเล่นลูกไม้ให้สับสน พวกเจ้ากำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?
เทียนหยวน : บอกเจ้าไปตอนนี้ก็บอกได้ไม่ชัดเจน รอหลังจากประชุมที่ตำหนักสวรรค์เสร็จ เรื่องราวก็น่าจะชัดเจนแล้ว ก่อนจะได้รับแจ้งอะไรจากข้า เจ้าอยู่เฉยๆ น่ะถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็อาจจะผิดได้!
ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ หอสามรากฐาน ข้างหลังโต๊ะยาว ชายชราที่ผมหงอกขาวเต็มศีรษะกำลังนั่งโน้มกายอยู่บนเก้าอี้ กำลังพลิกแผ่นหยกบนโต๊ะอ่านทีละแผ่น
เขาดูอายุเยอะ แต่โครงกระดูกกลับใหญ่มาก ใบหน้าที่เหี่ยวย่นเล็กน้อยยังทำให้มองออกรางๆ ถึงความหล่อเหลาในวัยหนุ่ม ลักษณะท่าทางเงียบขรึมเก็บตัว มองดูเหมือนชายชราธรรมดา มีเพียงตอนขยับสายตาในบางครั้ง ที่ดวงตาจะยิงรังสีน่าหวาดกลัวออกมา มองออกเลยว่าภายในไม่ธรรมดา ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆสีทองจุดหนึ่ง ไม่ใช่รอยสัก ไม่ใช่ไฝปาน แต่เป็นสัญลักษณ์ของแท่นจิตที่ลักษณะอิทธิฤทธิ์กลายสภาพเป็นของจริง
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือโค่วหลิงซวี อ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์
คนที่ยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ ก็คือผู้เฒ่าถัง บ่าวชราของเขา ใบหน้าเหมือนผ่านความทุข์ยากมาโชกโชน สงบนิ่งเหมือนน้ำตาย แท่นจิตตรงหว่างคิ้วมีลักษณะอิทธิฤทธิ์ที่กลายสภาพเป็นของจริงเช่นกัน เป็นลายและสีของน้ำ
ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างตรงข้ามโต๊ะยาวก็คือสามพี่น้องโค่วเจิง โค่วฉิน โค่วเหมี่ยน แต่ละคนยืนอย่างสงบนิ่งเช่นกัน กำลังเฝ้าสังเกตการกระทำของโค่วหลิงซวีผู้เป็นบิดา
ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากอ่านงานที่ลูกชายคนโตต้องจัดการในช่วงนี้หมดแล้ว โค่วหลิงซวีก็นำแผ่นหยกแผ่นสุดท้ายกลับมาวางไว้บนโต๊ะ มองดูลูกชายทั้งสามคนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง แล้วเอียงหน้ามองบ่าวชราที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะถามว่า “ผู้เฒ่าถัง ครั้งก่อนเหวินหลานทดสอบได้อันดับหนึ่ง เหมือนเจ้าจะเอ่ยขึ้นว่าลูกน้องคนนั้นของเหวินหลานฝีมือไม่เลวเลย”
“ขอรับ!” ผู้เฒ่าถังตอบพร้อมโค้งกายเล็กน้อย “ชื่อหนิวโหย่วเต๋อ”
“ข้าให้เจ้าบอกเจ้าสามแล้ว เจ้าได้บอกหรือเปล่า?” อ๋องสวรรค์โค่วเอียงกายถาม
“บอกคุณชายสามแล้วขอรับ ผู้ที่เกี่ยวข้องก็เรียกมาให้คุณชายสามถามแล้วเช่นกัน” ผู้เฒ่าถังตอบ
อ๋องสวรรค์โค่วที่นั่งพิงเก้าเงยหน้ามองเพดาน แล้วถามเสียงเรียบว่า “ลูกสาม คนที่ผู้เฒ่าถังแนะนำให้เหวินหลาน เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”
โค่วเหมี่ยนกุมหมัดตอบทันทีว่า “เป็นคนมีฝีมือที่ควรค่าแก่การฝึกเลี้ยง”
อ๋องสวรรค์โค่วขานรับ แล้วเอียงหน้ามองมา “เหมือนเขาจะยังอยู่ที่ดาวเทียนหยวนไม่ได้ติดตามเหวินหลานไปด้วยใช่มั้ย? ข้าได้ยินว่าช่วงนี้เขาก่อเรื่องที่ดาวเทียนหยวนนิดหน่อย ค้นและยึดของที่ร้านค้าตระกูลเราไปหมดแล้ว มีเรื่องแบบนี้จริงมั้ย?”
โค่วเจิงลูกชายคนโตกุมหมัดตอบแทนทันที “ท่านพ่อ! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสาม ตอนแรกเจ้าสามมาขอให้ข้าช่วยเหวินหลานดึงตัวลูกน้องคนนั้นมา ข้ายังออกหน้าไปคุยกับคนของตระกูลอิ๋งเอง แต่ตระกูลอิ๋งไม่ยอมปล่อยตัวมา ต้องการจะยัดคนมารับตำแหน่งหัวหน้าภาคที่ฝ่ายเราให้ได้ เป็นการเสนอราคาที่สูงเกินไป ข้าจึงปฏิเสธไปแล้ว”
อ๋องสวรรค์โค่วเหล่ตามองลูกชายคนโต มือข้างหนึ่งวางพาดบนเก้าอี้ นิ้วทั้งห้าเคาะตรงที่วางแขนเบาๆ ถามว่า “ร้านค้าของพวกเราโดนเจ้าเด็กนั่นตรวจค้นและยึดของไปแล้ว เจ้าเตรียมจะใช้วิธีการไหนนำของกลับมา?”
โค่วเจิงตอบว่า “ลูกชายถ่ายทอดคำสั่งไปแล้ว ถ้าทางนั้นยินดีเป็นฝ่ายนำของมาคืนให้พวกเราเอง พวกเราก็จะเอา แต่ถ้าไม่ยอมคืน เช่นนั้นก็ปล่อยไป ก็แค่ได้รับความเสียหายแต่พูดไม่ออกเท่านั้นเอง ในเวลานี้มีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องเยอะ เสียเปรียบนิดหน่อยอาจไม่ใช่เรื่องแย่ขอรับ”
“อื้ม!” อ๋องสวรรค์โค่วมองลูกชายคนโตด้วยแววตาชื่นชมพลางพยักหน้าเบาๆ เหมือนจะค่อนข้างพอใจกับวิธีการจัดการปัญหาของโค่วเจิง ถามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งที่ไร้อำนาจอิทธิพลไร้คนหนุนหลัง สามารถกดดันจนตระกูลโค่วเสียเปรียบแต่พูดไม่ออก สามารถกดดันจนผู้มีอำนาจทั้งตำหนักสวรรค์ไม่กล้าพูดอะไร สามารถกดดันจนไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา เอาตำแหน่งหัวหน้าภาคไปแลกกับคนแบบนี้ ในเจ้ารู้สึกว่าอีกฝ่ายเสนอราคาสูงเกินไป เช่นนั้นเจ้าคิดว่าต้องแลกกับตำแหน่งไหนถึงจะเหมาะสม?”
โค่วเจิงยิ้มเจื่อน “ตอนนี้ลูกชายมานึกเสียดายทีหลังแล้ว พอมาดูตอนนี้แล้ว พบว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นเหมาะสมกับราคานี้จริงๆ เพียงแต่เรื่องบางอย่างไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ ราคาเป็นอย่างไรกันแน่ก็ตัดสินใจ ถึงอย่างไรวรยุทธ์ก็เห็นๆ กันอยู่”
อ๋องสวรรค์โค่วใช้สองมือยันที่วางแขนแล้วยืนขึ้น แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “น่าเสียดายแล้ว!”
โค่วเจิงกุมหมัดกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าจะไปเจรจากับตระกูลอิ๋งอีกที”
อ๋องสวรรค์โค่วโบกมือ “ช่างเถอะ! ตอนนี้ต่อให้เจ้าตอบตกลงเอาตำแหน่งหัวหน้าภาคไปแลก แต่ตระกูลอิ๋งก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี ถ้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้นแล้วจริงๆ ไม่จำเป็นต้องถ่อไปสร้างความอับอายให้ตัวเอง ให้ทางเหวินหลานรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยดูอีกทีว่าจะสามารถดึงตัวมาได้หรือไม่” เขาส่ายหน้า แล้วเอามือไขว้หลังนำผู้เฒ่าถังออกจากหอสามรากฐานไป
เมื่อได้ฟังบทสนทนานี้ โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวจะมีราคาเท่าตำแหน่งหัวหน้าภาคหนึ่งตำแหน่ง? ถ้าสูงขึ้นกว่าหัวหน้าภาคอีกก้าวก็เป็นเทพเซียนระดับท่านโหวแล้ว
โค่วฉินยังดีหน่อย แต่โค่วเหมี่ยนนึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ลูกชายตัวเองมีแรงช่วยเหลือมหาศาลขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าตนจะทำให้พลาดไป ถ้ารู้แต่แรกคงจะเชื่อลูกชายแล้วยืนหยัดสักหน่อย พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยลูกชายจะตามีแววกว่าตน…
ท้องทุ่งนาผืนไร่ ชาวนากำลังทำนา ย่อมไม่มีอะไรให้อัศจรรย์ใจอยู่แล้ว แต่น่าแปลกที่ไร่นาเขียวชอุ่มผืนใหญ่ขนาดนี้ ผู้ที่ทำนากลับเป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง ทั้งยังเป็นกลุ่มสตรีที่งดงามปานเทพธิดาอีกด้วย
ยอดหญิงงามปานเทพธิดาเป็นร้อยๆ คน ผิวเนื้อละเอียดอ่อน ถอดชุดที่หรูหราออก กำลังสวมชุดที่ทำจากผ้าทอหยาบๆ พับแขนเสื้อขึ้นมา กำลังทำนาด้วยท่าทางชำนาญอยู่ในนาข้าวที่มีทางตัดสลับไปมา
ภาพเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อทอดสายตามองไป ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์พบเห็นได้ยาก
ในทุ่งนาก็ไม่ใช่ผู้หญิงเสียทั้งหมด มีผู้ชายด้วยหนึ่งคน มีเพียงผู้ชายที่สวมชุดสีเขียวคราม รูปร่างสูงใหญ่ มือยาวเท้ายาว เกล้าผมที่มีเส้นผมสีขาวแซมอย่างง่ายๆ ไว้เครายาวสามช่อ คิ้วเข้มตาโต แววตาล้ำลึก ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆอัสนีบาตสีเขียวคราม ในมือกลับถือจอบขุดดินอย่างชำนาญ ถ้าไม่ใช่เพราะมีสง่าราศีที่กลบปิดได้ยาก ไม่ว่าใครก็คงเข้าใจผิดว่าเป็นชาวนาธรรมดา
เงาคนสองคนเหาะลงมาจากฟ้า แวบมาเหยียบลงใต้ร่มไม้ผืนหนึ่งที่อยู่ระหว่างทุ่งนา หนึ่งในนั้นใบหน้าผมอเล็กและขาวหมดจด ที่บ่าคลุมผ้าสีดำ บนศีรษะสวมหมวกสูงสีดำ สีหน้าเย็นเยียบ ไม่ใช่ใครที่ไหน ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์เกาก้วน
ส่วนอีกคนที่มาด้วยก็คือท่านโหวเทียนหยวน
ทั้งสองยืนเคียงบ่ากันอยู่อย่างนั้น มองดูผู้ชายที่กำลังทำนาอยู่ในทุ่งนา
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วคราม ชายชุดเขียวครามที่ขุดดินเสร็จก็แบกจอบเดินขึ้นไปบนคันนา แล้วเดินมายังป่าไม้ที่อยู่ทางฝั่งนี้ ผู้หญิงในนาผืนติดกันคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงผ้าดิบเหมือนหญิงสาวชาวบ้านเงยหน้ามองมาแวบหนึ่ง แล้ววางงานที่อยู่ในมือทันทีเช่นกัน นางถือตะกร้าใบหนึ่งพลางเร่งฝีเท้าเดินตามไป
…………………………