พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1085 ฮุบของหลวงไว้เอง
เทียนหยวนกำลังหลอกตบตาราชันสวรรค์หรือไม่ เกาก้วนไม่อยากพูดมาก
อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่เกาก้วนเข้าใจ นั่นก็คือต่อให้รู้ว่าเทียนหยวนกำลังหลอกตบตา แต่ก็เกรงว่าราชันสวรรค์คงจะไม่ทำอะไรเทียนหยวน
คนที่สามารถดึงความรับผิดชอบในการตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์มาไว้ที่ตัวเองได้ ถ้าราชันสวรรค์ยังทำโทษเทียนหยวนอีก เช่นนั้นในภายหลังก็คงม่มีใครกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์แล้วจริงๆ ต่อให้ราชันสวรรค์จะรู้ความจริง แต่ตราบใดที่ไม่เปิดโปงแบบคาหนังคาเขา หลังจากจบเรื่องราชันสวรรค์ก็แค่ปิดตาข้างเดียว เพียงเพราะถึงอย่างไรเทียนหยวนก็อยากจะประจบเขา ในตอนนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไร ตราบใดที่เทียนหยวนกล้าดึงความรับผิดชอบมาไว้ที่ตัวเอง ตราบใดที่เป็นไปตามแนวโน้มที่ราชันสวรรค์ต้องการ นั่นก็แปลว่ามีผลงานแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ถึงเจตนาของราชันสวรรค์ ต่อให้เทียนหยวนใจกล้ากว่านี้อีกหนึ่งร้อยเท่า แต่ก็ไม่กล้าดึงความรับผิดชอบมาไว้ที่ตัวเองเหมือนกัน
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ราชันสวรรค์แค่อยากจะรู้ว่าเทียนหยวนได้หลอกตบตาเขาหรือเปล่า
จากนั้นประมุขชิงก็สั่งอีกว่า “เจ้าเป็นคนเสนอแนะเรื่องการทดสอบ จับตาดูให้ดีอย่าให้เกิดความวุ่นวายอะไร”
“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับ
เขายังคงเป็นผู้รับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอดเหมือนกัน
ผ่านไปไม่นาน บทสรุปการลงโทษจากตำหนักสวรรค์ที่มีต่อคดีตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนก็ออกมาแล้ว
ถึงแม้ประมุขชิงจะอยากฆ่าทุกคนที่ขัดเจตนาให้ตายให้หมด แต่สุดท้ายก็ยังลงโทษและผ่อนผันผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพลิกเรือให้ทุกคนบนเรือตกน้ำหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครพายเรือให้เขาแล้ว
ร้านค้าที่ถูกล้างเลือดไปล้ว ในเมื่อทำโทษไปแล้วส่วนหนึ่ง เช่นนั้นก็ทำโทษต่อไปอีก ร้านค้าที่ถูดปิดรวมทั้งของที่ถูกยึดให้ริบเป็นของหลวงทั้งหมด คนที่โดนฆ่าไปแล้ว ถึงตายก็ไม่สาสมกับความผิด ส่วนร้านค้าอีกหนึ่งร้อยร้านที่ถูกสั่งปิด ก็ให้สั่งเปิดและคืนให้เจ้าของ ของที่ยึดได้ก็ให้ส่งกลับคืนเช่นกัน
และแน่นอน ราชันสวรรค์ยังคงไม่ได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ในเมื่อไม่มีเหล่าขุนนางใหญ่ๆ คนไหนเอ่ยถึงตอนประชุมราชสำนัก เขาก็จะไม่เอ่ยถึงเช่นกัน ควรเหลือไมตรีระหว่างกันไว้สักหน่อย เหล่าขุนนางใหญ่ไม่ทำให้ราชันสวรรค์หาทางลงจากเรื่องนี้ไม่ได้ ราชันสวรรค์ก็ไม่ทำให้ขุนนางใหญ่พวกนั้นลำบากใจเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ท่านโหวเทียนหยวนสนอแนะให้ปี้เยว่ฮูหยินทำ
แต่ชัดเจนมากว่าราชันสวรรค์มีเจตนาอะไร เขามีคำสั่งไปที่ตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวน ให้เลื่อนยศปี้เยว่ฮูหยินเป็นแม่ทัพเกราะม่วงสี่แถบ!
ที่ได้เลื่อนยศไม่ใช่เพราะสาเหตุใหญ่โตอะไร แค่บอกว่าปี้เยว่ฮูหยินสร้างผลงานตอนรักษาการณ์ที่ดาวเทียนหยวน แบบนี้หมายความว่าอย่างไร คนอื่นๆ แค่ลองคิดดูก็รู้แล้ว
ปี้เยว่ฮูหยินที่ได้รับรางวัลดีอกดีใจมาก ทั้งยังส่งข่าวไปชื่นชมท่านโหวเทียนหยวนด้วย ท่านสามีช่างยอดเยี่ยมนัก ขนาดทำแบบนี้ยังช่วยช้อนผลงานมาให้ข้าได้ ราชันสวรรค์แต่งตั้งยศให้ด้วยตัวเอง ออกไปคุยที่ไหนก็มีหน้ามีตามาก!
ท่านโหวเทียนหยวนกลับมีความขื่นขมที่พูดออกมาไม่ได้ คงไม่ดีที่จะให้ภรรยาดูถูกตน ไม่สะดวกจะอธิบายความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนในใจ
เขาเพียงอยากให้ราชันสวรรค์รู้ว่าเขามีความจงรักภักดี ไม่ได้อยากให้ราชันสวรรค์มอบรางวัลอะไรให้ภรรยาตัวเองเลย ถ้าอยากจะเลื่อนขั้นก็มีเขาคุ้มครองอยู่ มีโอกาสให้ภรรยาตัวเองอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าราชันสวรรค์กลับเปิดเผยเรื่องนี้ตรงๆ พอทำแบบนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้ผู้มีอิทธิพลคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์เข้าใจผิดก็คงยาก
เขารู้สึกเหมือนยกหินก้อนหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเอง เขาไม่อยากเอาเยี่ยงอย่างเกาก้วนที่เป็นขุนนางโดดเดี่ยว แต่ราชันสวรรค์กลับเหมือนจะมีเจตนานั้น
เดิมทีตำหนักคุ้มเมืองเป็นจวนขุนนางของผู้บัญชาการใหญ่ ในนั้นก็มีคนของเหมียวอี้เหมือนกัน หลังจากเหมียวอี้ได้ข่าวก็เข้าใจแล้ว สงสัยการที่ตนเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาด แต่ก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรทั้งนั้น สุดท้ายก็ทำให้ปี้เยว่ฮูหยินได้ชุบมือเปิบ
ลานบ้านที่ลึกยาว เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านกลุ้มใจมาก!
แม่ทัพเกราะม่วงสี่แถบ ถ้าได้เลื่อนยศอีกขั้น ก็มีคุณสมบัติที่จะถูกย้ายไปเป็นหัวหน้าภาคแล้ว ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมปี้เยว่ฮูหยินแย่งรับผิดชอบเรื่องนี้ สงสัยจะอยากแย่งผลงานของเขา
ถ้าบอกว่าไม่โมโหก็คงโกหก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เขาตำแหน่งต่ำต้อยเกินไป ไม่ได้รับความเท่าเทียมเรื่องข่าวสาร ไม่รู้สถานการณ์ของตำหนักสวรรค์ จะมีคุณสมบัติอะไรไปแย่งผลงานกับคนอื่นเขา ไม่มีทางดำเนินการได้เลย
และเขาก็ยิ่งไม่รู้ ว่าการที่ปี้เยว่ฮูหยินสามารถแย่งผลงานนี้มาได้ เป็นการร่วมมือกันดำเนินการของท่านโหวเทียนหยวนกับเกาก้วน ลดบทบาทของเหมียวอี้ในเรื่องราวครั้งนี้ให้ต่ำที่สุด ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหมียวอี้แล้ว
เหมียวอี้ที่ถอดทอนใจไม่หยุดอยู่ในลานบ้าน หลังจากเดินไปเดินไม่กี่รอบก็คิดได้แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ การที่เขาไม่เป็นอะไรก็นับว่าเป็นความโชคดีมหาศาลในความโชคร้ายแล้ว ผลงานประเภทนี้ ถ้าไม่มีภูมิหลังของปี้เยว่ฮูหยินก็รับไม่ไหวเหมือนกัน ให้ความสนใจของทุกคนไปอยู่ที่ปี้เยว่ฮูหยิน ให้คิดว่าปี้เยว่ฮูหยินเป็นคนยุยงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
แน่นอน ปี้เยว่ฮูหยินก็ไม่ทำให้เขาเสียเปรียบเหมือนกัน ไม่นานก็เรียกเขาไปพบที่ตำหนักคุ้มเมือง
ในสวนดอกไม้ด้านหลัง ทั้งสองเดินเล่นด้วยกันอีกครั้ง ปี้เยว่ฮูหยินกำลังเด็ดดอกไม้เหมือนกัน เหมียวอี้ยังคงช่วยนางถือดอกไม้อยู่ข้างๆ ทำเหมือนเป็นสามีภรรยากัน โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่ได้เห็นภาพนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดจาอะไรแปลกๆ ออกมาอีก
หลังจากบอกผลการลงโทษร้านค้าหนึ่งร้อยร้านนั้นให้เหมียวอี้รู้แล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็แอบเตือนว่า “ของที่ยึดไปจากร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่เหลือ ยึดเป็นของหลวงครึ่งหนึ่งแล้วกัน! ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ทุกคนก็จะเหนื่อยเปล่าไม่ได้ ถึงอย่างไรก็อกสั่นหวาดกลัวไปด้วยกัน ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็มีความลำบาก เจ้าไปแบ่งสรรตามสมควรสักหน่อย”
น่าอับอาย! นี่ไม่ได้มองว่าตนเป็นของนอกจริงๆ เหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะเปิดเผยกับเขาว่าจะฮุบของหลวงเอาไว้ส่วนตัว! เหมียวอี้ที่กำลังหอบดอกไม้ถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าข่าวนี้หลุดไปจะมีปัญหาหรือเปล่าขอรับ?”
“เอ๋! ผู้บัญชาการใหญ่ที่ตัดสินใจสั่งฆ่าได้อย่างไม่ลังเลคนนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ? เจ้าเป็นคนใจกล้ามากไม่ใช่เหรอ? ทำไมความกล้าเล็กลงเท่าหนูอีกแล้วล่ะ?” ปี้เยว่ฮูหยินพูดหยอก หันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เดี๋ยวกลับไปประกาศผลการลงโทษสักหน่อย คนที่ฉลาดล้วนรู้ถึงเจตนาของราชันสวรรค์ เจ้าของที่ได้รับความเสียหายอยู่เบื้องหลัง ยังมีใครกล้าสืบสาวหรอกว่าตำหนักสวรรค์ริบของไปเท่าไร ถึงอย่างไรของก็ไม่ใช่ของพวกเขาแล้ว ภายนอกพวกเราทำอะไรร้านค้าไม่ได้ แต่จำนวนสินค้าในร้านคือสิ่งที่เรามีอำนาจตัดสินใจ พวกขวดพวกอ่างที่พังไปตอนที่ตรวจค้นและยึดของในร้านค้า ตอนที่พวกลูกน้องไปเก็บกวาดของพวกนั้นมา ถ้ามือเท้าจะไม่สะอาดจนเกิดความเสียหายบ้างก็เป็นเรื่องปกติ อาศัยอำนาจบารมีของราชันสวรรค์ ถ้าไม่ลงมือตอนโอกาสดีๆ แบบนี้ แล้วเมื่อไรจะได้ลงมือ? ครั้งก่อนที่โค่วเหวินหลานวางกับดักเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปครึ่งหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เหรอ? นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกหรอกมั้งที่พวกเจ้าทำเรื่องประเภทนี้?”
“…” เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วตอบว่า “ข้าน้อยจะพยายามหาวิธีจัดการขอรับ”
“พยายามหาวิธีจัดการอะไรกัน นี่คือรางวัลที่มอบให้เจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากได้ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน เดี๋ยวกลับไปอย่ามาว่าข้าไม่ยุติธรรมต่อเจ้านะ” ปี้เยว่ฮูหยินเล่นหูเล่นตายั่วยวน ดวงตาชุ่มฉ่ำเหมือนบ่อน้ำ แล้วก็เหมือนจงใจยืดหน้าอกขาวอวบอิ่มที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง เสน่ห์ของความสุกงอมโตเต็มวัยช่างเย้ายวนใจจริงๆ เหมือนลูกท้อที่สุกเต็มที่ ทำให้คนที่เห็นอยากจะกัดสักคำ
เอาสิ! ไม่เอาก็แปลกแล้ว!
แต่ไม่ได้จะเอาดอกไม้สดที่อยู่ในมือ พอเหมียวอี้ออกจากตำหนักมา ก็ถือโอกาสยื่นดอกไม้ให้ทหารยามที่เฝ้าประตูอีก
สายตาของผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างยั่วยวน แฝงความหมายลึกซึ้ง! กอปรกับชอบส่งดอกไม้ให้เขาบ่อยๆ รู้สึกว่านางกำลังบอกความนัยบางอย่างกับเขา…แต่เขาไม่อยากกลายเป็นเหมือนมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ จุดจบของสองคนนั้นก็มีให้เห็นเป็นบทเรียนแล้ว ต้องใช้ความกล้าขนาดไหนกัน ถึงจะไปสวมเขาให้ท่านโหวได้!
พอกลับมาถึงจวนขุนนาง เหมียวอี้ก็จัดการเรื่องนี้ทันที
ผ่านไปไม่นาน ร้านค้าร้อยอันดับแรกของสี่เขตเมืองก็ถูกสั่งเปิดแล้ว และติดประกาศเช่นกันว่า ให้มารับของที่ถูกยึดไว้คืนกลับไป
ส่วนร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่เกือบถูกฆ่าตายหมด สินค้าครึ่งหนึ่งของร้านให้ริบเป็นของหลวง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือกก็จัดการตาม ‘ธรรมเนียมของบุคคลในอาชีพเดียวกัน’ หั่นแบ่งไปมอบให้ปี้เยว่ฮูหยินครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหมียวอี้ก็เก็บไว้ ที่เหลือก็ให้กำลังระดับล่างไปแบ่งกันตามธรรมเนียม แต่ละคนล้วนมีส่วนแบ่ง แต่จะได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับระดับยศเท่านั้นเอง
ทรัพย์สินของร้านค้ายี่สิบกว่าร้านตกอยู่ในมือของเหมียวอี้แล้ว ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย นี่ไม่ใช่ร้านค้าเล็กๆ ทั่วไปของตลาดสวรรค์ด้วย ล้วนเป็นร้านของตระกูลผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์ แน่นอน ปี้เยว่ฮูหยินได้ของส่วนใหญ่ไป เป็นทรัพย์สินของร้านค้าห้าสิบกว่าร้านเชียวนะ
ใครๆ ก็บอกว่าตลาดสวรรค์เป็นแหล่งที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ พูดจริงไม่ได้หลอก!
ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา เหมียวอี้ทุ่มผลการเก็บเกี่ยวก้อนใหญ่ลงตรงหน้าอวิ๋นจือชิว หลังจากนางตรวจนับแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ร่ำรวยใหญ่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เห็นสีหน้าปลาบปลื้มดีใจของนางเหมือนก่อนหน้านี้เลย
“เป็นอะไรไป? ยังโกรธข้าอยู่อีกเหรอ?” เหมียวอี้ที่นั่งตรงข้ามโต๊ะม้าหินถามอย่างแปลกใจ
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นเจตนาของปี้เยว่ฮูหยิน ทำเอาข้าหวาดกลัวไปเปล่าๆ โดยใช่เหตุ ทำให้ข้าส่งตัวหวนหวนกับหลางหลางไปแล้ว”
เหมียวอี้เบิกตากว้าง “เจตนาของนาง? ถุยสิ! นางมาชุบมือเปิบมากกว่า…” เขาเล่าเรื่องที่ปี้เยว่ฮูหยินแย่งผลงานและเอาส่วนแบ่งจำนวนมากไปให้ฟังทันที
ใครจะคิดว่าหลังจากอวิ๋นจือชิวฟังจบแล้วจะเงียบยิ่งกว่าเดิม เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว นางเองก็พอจะรู้ถึงที่พึ่งที่ทำให้เหมียวอี้ทำอย่างนั้นในตอนแรก นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและมีความคิดเป็นของตัวเองมากขนาดนั้น! นางถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่แรก?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ถ้าข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรก เจ้าได้อนุญาตเหรอ? เจ้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางแน่นอน ถ้าเจ้าคิดหาวิธีการทุกอย่างจนลำบาก เกรงว่าต่อให้ข้าจะไม่อยากจะเชื่อฟังก็ต้องเชื่อฟัง อวิ๋นจือชิว ที่จริงแล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้า…” คำพูดตอนท้ายเหมือนจะพูดไม่ค่อยออก
อวิ๋นจือชิวกะพริบตา เหมือนจะมองออกว่าเขามีคำพูดที่จริงใจจะบอก จึงลุกขึ้นเดินไปข้างหลังเขา หมอบตรงบ่าเขาจากข้างหลัง แล้วพ่นลมหายใจที่หอมสดชื่นข้างหู “เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นยังไง?”
หลังจากเหมียวอี้ลังเลอีกครั้ง ก็ยังถามไปว่า “หรือเป็นเพราะเจ้ากับข้ามีพื้นเพชาติกำเนิดแตกต่างกัน ในจิตใต้สำนึกของเจ้ากำลังรู้สึกว่าในบางด้านของข้าไม่น่าโอ้อวด?”
อวิ๋นจือชิวตกใจทันที นี่กำลังจะบอกว่านางดูถูกเขางั้นเหรอ?
นางรีบจับให้เขาหันตัวมา ใช้มือรวบกระโปรงตรงบั้นท้ายแล้วนั่งลงบนตักของเขา ใช้สองมือกอบใบหน้าเขา พร้อมกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “หนิวเอ้อร์ ทำไมเจ้าถึงมีความคิดแบบนี้ได้? เขาว่ากันว่าแต่งกับไห่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข ในเมื่อข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว ข้าก็เป็นคนของเจ้า จะรู้สึกว่าเจ้าไม่น่าโอ้อวดได้อย่างไร? ถ้ามีความคิดแบบนี้จริงๆ ข้าคงไม่แต่งงานกับเจ้าหรอก ภูมิลังชาติกำเนิดสำคัญอะไร พวกกษัตริย์และขุนนางเหล่านั้นไม่ได้เป็นเมล็ดพันธุ์จากสวรรค์หรอก หกปราชญ์ไม่ได้เกิดมาแล้วเป็นหกปราชญ์เลยเสียเมื่อไร ผู้ชายของข้าทำอะไรเด็ดขาดมาตลอด มาสนใจเรื่องภูมิหลังชาติกำเนิดตั้งแต่เมื่อไร?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ไม่รู้สิ แค่มีความรู้สึกแบบนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนที่เจ้าบังคับให้ข้าคัดอักษร จนถึงตอนที่เจ้าตำหนิอะไรบางอย่างในตัวข้า เจ้ามักจะคัดค้านข้าตลอด เจ้าไปดูเมียบ้านอื่นสิ มีสักกี่คนที่จะเหมือนเจ้า”
“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว แสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาบนใบหน้าโดยตรง ยังนึกว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เขาเกิดความคิดที่ทำให้นางไม่สบายใจแบบนี้ นางจึงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “คัดค้านเจ้าแล้วจะทำไม? ก็ข้าเต็มใจ ตราบใดที่ข้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวเจ้า ข้าก็ยังจะคัดค้านเจ้าอยู่ดี ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ อย่างไรเสียข้าก็เต็มใจ รู้สึกว่าเมียของบ้านอื่นดีล่ะสิ! ขอโทษด้วยนะ ข้าอวิ๋นจือชิวไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนโยนว่าง่ายขนาดนั้น ตอนนี้เป็นยังไง ต่อไปก็จะเป็นอย่างนั้น อะไรที่ควรบอกควรคุมก็จะทำเหมือนเดิม”
…………………………