พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1088 ลุ่มหลงในหญิงงามและดนตรี
เมื่อไม่มีหยางชิ่งรบกวนแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้มือช้อนคางที่อ่อนนุ่มของฉินเวยเวย พลางมองแล้วยิ้มตาหยี
ในชั่วพริบตาเดียวกก็ทำให้ฉินเวยเวยเขินอายหยาดเยิ้ม นางหลบสายตาเล็กน้อย แพขนตายาวสั่นไหว เหมียวอี้กำลังมองกดดัน ทำให้นางไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
นางกับเหมียวอี้ผ่านช่วงเวลาของคู่แต่งงานใหม่มาแล้ว ได้เป็นสามีภรรยากันแล้วจริงๆ โดยพฤตินัย แต่ก็ยังค่อนข้างเขินอายกับเรื่องระหว่างชายหญิง ยังปรับตัวไม่ค่อยได้กับการยั่วเย้ากลางวันแสกๆ แบบนี้ มิหนำซ้ำหงเหมียน ลู่หลิ่วก็ยังคอยมองอยู่ข้างๆ ด้วย
นางถอยหลังก้าวหนึ่งทันที แล้วกล่าวอย่างเหนียมอายว่า “นายท่าน ให้ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะค่ะ”
ฉินเวยเวยเดินไปที่บันไดด้านข้างเรือทันที หงเหมียน ลู่หลิ่วหัวเราะคิกคักเดินตามลงไป ทั้งสามไปยังห้องที่อยู่ข้างล่างพร้อมกัน
ผ่านไปไม่นาน ตอนที่ขึ้นมาอีกครั้ง ฉินเวยเวยก็แต่งตัวด้วยชุดกระโปรงยาวสีขาวเหมือนอย่างเคยแล้ว สดใสมีชีวิตชีวา ผิวขาวดุจหิมะ ผมดำขลับถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยใหญ่ นางย่อเข่าคำนับอย่างเป็นทางการ “หม่อมฉันคำนับนายท่าน”
เหมียวอี้เกาศีรษะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อได้ยินผู้หญิงคนนี้ถ่อมตัวเรียกแทนตัวเองว่าหม่อมฉันแล้วรู้สึกแปลกๆ จึงยื่นมือไปจูงมือนาง แล้วพาเดินไปพิงระเบียงข้างเรือเพื่อชมทิวทัศน์ทะเลสาบหยกและเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรืองด้วยกัน เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “หลายปีมานี้ข้าทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว!”
“ไม่หรอกค่ะ!” ฉินเวยเวยมองเขาด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มแวบหนึ่ง ก่อนจะลองเอาตัวเองเข้าไปซุกในอ้อมกอดของเขาอย่างช้าๆ วางศีรษะพิงที่บ่าของเขา ส่วนเขาก็ถือโอกาสยื่นมือไปช้อนเอวนาง ทำให้ใบหน้านางฉายแววสุขสันต์ทันที ในที่สุดหัวใจก็รู้สึกสงบลงแล้ว
ทั้งสองรับชมทิวทัศน์
ส่วนหงเหมียน ลู่หลิ่วก็กำลังงานยุ่ง กำลังจัดวางถาดผลไม้และสุรา พวกนางยกโต๊ะยาวตัวหนึ่งมาวางข้างๆ ทั้งสอง แล้วก็วางเก้าอี้เอนที่ประณีตงดงามมาไว้ข้างหลังอีกหนึ่งตัว
“นายท่าน ฮูหยิน บ่าวจะลงไปควบคุมเรือข้างล่างนะเจ้าคะ” พวกนางรู้ว่าทั้งสองแยกจากกันไปนานหลังจากจากแต่งงานกันใหม่ๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมารบกวน
และก่อนที่ฉินเวยเวยจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อครู่นี้ ทั้งสองก็ได้ตรวจสอบทั้งตัวเรือแล้ว จึงรู้ว่าบนเรือไม่มีคน แม้แต่คนขับเรือก็ไม่มีสักคน ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้หาเรือมาจากไหน เช่นนั้นก็ย่อมมีแต่พวกนางแล้วที่ต้องไปควบคุมเรือ เพียงแต่อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ของพวกนางในตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพายกรรเชียงเรือ แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์นิดหน่อยก็สามารถขี่ลมฝ่าคลื่นได้แล้ว
เหมียวอี้โบกมือชี้ไปยังปากทางน้ำไหลของทะเลสาบหยก “ลงไปตามแม่น้ำ!”
“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสองเอ่ยรับ
ฉินเวยเวยในเวลานี้เรียกได้ว่าอ่อนโยนไร้ที่เปรียบ นางเชิญเหมียวอี้ให้นั่งลง ส่วนตัวเองก็รินน้ำชามาวางให้ด้วยเอง
ขณะกำลังรู้สึกชื่นชมสตรีที่มีจิตใจงดงาม เหมียวอี้ก็รับถ้วยน้ำชามาวางไว้อีกด้าน จากนั้นโบกมือร่ายพลังอิทธิฤทธิ์กวาด ทำให้ผ้าม่านที่อยู่รอบตัวเรือม้วนลงมาทันที จากนั้นก็จูงมือนางให้เอนกายลงบนเก้าอี้นอน
แบบนี้สามารถชดเชยคืนให้ได้หรือยัง? ฉินเวยเวยที่กำลังกัดริมฝีปากไม่เคยรู้เลยว่าต้องปฏิเสธเขาอย่างไร เพียงตอบเบาๆ ว่า “ค่ะ”
หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ใบหน้าแดงเรื่อ หัวใจเต้นถี่ นางย่อมรู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้แต่มองดูเหมียวอี้จูบบนริมฝีปากตัวเองตาปริบๆ ขณะที่กำลังตื่นเต้นจนตัวสั่น ก็รู้สึกได้ว่ามีมือข้างหนึ่งกำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก
ผ่านไปไม่นาน เสื้อผ้าของคนสวยที่สง่าภูมิฐานก็หลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิอันน่าเย้ายวนใจ ผิวเนื้อขาวใสเผยออกมา ยอดภูเขาหิมะที่ยืดตระหง่านถูกย่ำยีจนอ่อนนุ่ม น่าอายที่สุด…
เมื่อบนตึกเรือมีเสียงแปลกๆ ที่คุ้นเคยดังมา หงเหมียน ลู่หลิ่วที่ร่ายอิทธิฤทธิ์คุมเรืออยู่ใต้ตึกเรือก็สบตากันด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าข้างบนกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ลู่หลิ่วที่หน้าแดงเรื่อหันตัวมาเตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำแล้ว
เรือออกจากทะเลสาบหยก แล่นเข้ามาในแม่น้ำ เรือไหลไปตามกระแสน้ำตลอดทาง หญิงรับใช้ทั้งสองแค่ต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมทิศทางก็พอ
จนกระทั่งเสียงแปลกๆ บนตึกเรือเงียบลงสักพักใหญ่ ด้านบนก็มีเสียงที่เจือด้วยความเขินอายของฉินเวยเวยดังมา “หงเหมียน ลู่หลิ่ว!”
หญิงรับใช้ทั้งสองรู้ว่าต่อไปต้องทำอะไร จึงนำน้ำอุ่นขึ้นไปส่งทันที…
ทิวทัศน์ภูเขาและสายน้ำงดงามตลอดทาง สองฝั่งของแม่น้ำบางครั้งก็กว้างโล่ง บางครั้งก็เป็นเหวสูงอันตราย ส่วนน้ำในแม่น้ำบางครั้งก็ไหลเอื่อยสงบนิ่ง แต่บางครั้งก็เป็นคลื่นลูกใหญ่ไหลเชี่ยว เรือโหลวฉวนฝ่าคลื่นอย่างไม่สะทกสะท้าน แสงรุ่งอรุณสาดส่องสลายม่านหมอก คู่รักที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกกำลังกอดกัน ชี้ภูเขาแม่น้ำ รักใคร่กลมเกลียว ต้นสนเขียวชอุ่มที่อยู่บนผาสูงชันสองฝั่งควรค่าแก่การกล่าวชื่นชม สองข้างทางมีเสียงชะนีร้องไม่หยุด เรือเล่นผ่านขุนเขานับหมื่นอย่างรวดเร็ว
อารมณ์ที่นุ่มนวลของฉินเวยเวยราวกับสายน้ำ สำหรับเหมียวอี้แล้ว นี่คือความความสุขที่หาพบได้ยากจริงๆ ความรู้สึกน่ารักออดอ้อนเหมือนนกน้อยพึ่งพาคนแบบนี้หาไม่ได้จากตัวอวิ๋นจือชิว
เขาหยอกล้อท่าทางที่เย็นชาของฉินเวยเวยในปีนั้น ทำให้สาวงามกอดเขาพลางขบคิดเงียบๆ ด้วยความเขินอาย
เหมียวอี้ที่กำลังอยู่ในอารมณ์สดชื่นก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่อนคลายที่หายากแบบนี้เสียเปล่า เลี่ยงไม่ได้ที่จะลุ่มหลงในหญิงงามและดนตรี จะได้คลายความทรมานจากความคะนึงหาหลายปีของฉินเวยเวย เพียงแต่ลำบากหงเหมียน ลู่หลิ่วที่ต้องนำน้ำอุ่นขึ้นมาส่งเป็นระยะ บางวันมากหน่อยก็ขึ้นมาส่งห้าหกรอบ เสียงสะดีดสะดิ้งยั่วยวนก็ยิ่งดังไม่ขาดหู ทำให้คนฟังทนรับไม่ไหว
เพียงแต่หงเหมียนกับลู่หลิ่วจินตนาการไม่ออก ว่าทำไมคุณหนูที่ยามปกติอ่อนโยนเรียบร้อยถึงได้ส่งเสียงร้องลามกแบบนั้นได้ ตอนแรกก็ยังรู้จักเก็บอาการ แต่ตอนหลังก็ค่อยๆ ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว
ในคืนหนึ่งที่ดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า ฉินเวยเวยจูงมือเหมียวอี้เดินลงมาชั้นล่างอย่างมีพิรุธ
“ทำอะไรเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย
ขณะที่เดินอยู่ตรงทางเดิน ฉินเวยเวยก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่หยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง เปิดประตูและผลักเหมียวอี้เข้าไปโดยตรง จากนั้นก็ปิดประตูเอาไว้
เหมียวอี้ที่เข้ามาข้างในเหม่อไปชั่วขณะ เห็นเพียงหงเหมียนที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยความตื่นเต้นกังวลสุดขีด ใบหน้าแดงก่ำจนแทบจะมีเลือดไหลออกมาแล้ว
ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็เข้าใจเจตนาของฉินเวยเวยแล้ว
ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ เดิมทีก็เป็นหญิงรับใช้ที่แต่งงานตามเจ้านายมาอยู่แล้ว ถ้าตนไม่ใช่งาน คนอื่นก็แตะต้องไม่ได้อยู่ดี ประเพณีนิยมของสังคมก็เป็นเช่นนี้ ทำไมต้องทำให้อีกฝ่ายลำบาก คืนนั้นเหมียวอี้จึงค้างที่ห้องของหงเหมีย
วันต่อมาย่อมเป็นเวลาสุขสำราญของลู่หลิ่ว เป็นแบบนี้ต่อเนื่องกันสองวัน เขาครอบครองสาวใช้ทั้งสองทีละคน ในที่สุดพวกนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงส่งเสียงร้องแปลกๆ แบบนั้น
หลังจากนั้น เหมียวอี้ก็ให้รางวัลพวกนางเป็นยาแก่นเซียนคนละหนึ่งล้านเม็ด
หลังจากได้ทำหน้าที่ของผู้หญิงและลิ้มรสชาติความเป็นหญิงอย่างแท้จริง ความเขินอายก็ติดอยู่บนใบหน้าหงเหมียนกับลู่หลิ่วหลายวัน บ่อยครั้งที่มองเหมียวอี้ด้วยแววตาออกอ้อน ทำให้ฉินเวยเวยพูดล้อพวกนางได้สะดวก ทำเอาพวกนางอับอายแทบแย่
บนแม่น้ำสายนี้ เหมียวอี้สลับเดินไปเดินมาระหว่างห้องของหนึ่งนายหญิงกับสองบ่าวรับใช้ กำเริบเสิบสานมาก ยามไม่มีการควบคุมจากอวิ๋นจือชิวนั้นช่างสบายอกสบายใจจริงๆ เป็นเวลาแห่งความสำราญของเขาอย่างแท้จริง
ไม่เร่งรีบและไม่เชื่องช้า หลังจากเรือแล่นไปได้หนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็มาถึงปากแม่น้ำที่จะออกทะเลแล้ว
หงเหมียน ลู่หลิ่วยืนต้อนรับแขกอยู่ที่หัวเรือ เมื่อคนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงปากแม่น้ำเห็นทั้งสอง ก็เข้าใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงมาถึงแล้ว จึงพากันเหาะมาเหยียบลงบนเรือ
จ้าวเฟย อูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ย เถาชิงหลี กู่ซานเจิ้ง ถานเล่า เย่ซิน กลุ่มสหายเก่ามาถึงครอบแล้ว พอฉินเวยเวยที่อยู่บนตึกเรือม้วนม่านไม่ไผ่โผลหน้าออกมา ทุกคนก็คำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “คำนับท่านผู้แทน!”
สำหรับพวกเขา ฉินเวยเวยในตอนนี้มีฐานะไม่ธรรมดาแล้ว ไม่ใช่คนที่พวกเขาอยากจะพบในยามปกติแล้วจะพบได้ มีเพียงเถาชิงหลีที่ได้เจอปีละครั้งตอส่งส่วยประจำปี
ฉินเวยเวยก็แสดงพลังอำนาจออกมาแล้วเช่นกันวางตัวอยู่เหนือผู้อื่น ยกมือเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่ต้องมากพิธี!”
ไม่นานเหมียวอี้ก็ปรากฏตัวข้างหลังนาง ยืนพิงระเบียงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เตรียมสุราอาหารไว้รอต้อนรับทุกคนนานแล้ว ยังไม่รีบขึ้นมาอีก”
ตอนแรกทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ เพราะหยางชิ่งเก็บความลับดีมาก ไม่ได้เปิดเผยล่วงหน้าว่าให้พวกเขามาพบเหมียวอี้
ผ่านไปประเดี๋ยวเดี๋ยว พวกเขาก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ สหายคนนี้ฝ่าฟันไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญตลอดทาง ชื่อเสียงโด่งดังสะเทือนใต้หล้า ปรากฏว่าพอแต่งเมียมาก็ทำเสียเรื่องหมดแล้ว ถูกเมียปล้นอำนาจไปโดยตรง ขนาดอนุภรรยาก็ยังมีตำแหน่งสูงกว่าเขาเลย ดังนั้นจึงหายหน้าหายตาไปหลายปี ไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนตัวที่ไหน นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันที่นี่
ถ้ามีแต่ฉินเวยเวยอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ยังประหม่านิดหน่อย แต่พอเหมียวอี้ปรากฏตัว พวกเขาก็ผ่อนคลายทันที ต่อให้ฉินเวยเวยจะมีตำแหน่งสูงกว่า แต่ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ก็ยังเป็นเพียงอนุภรรยาของเหมียวอี้ ตรงนี้เหมียวอี้ยังมีอำนาจตัดสินใจ กอปรกับเป็นสหายกันมาหลายปี แต่ละคนถึงถลันตัวขึ้นไปบนตึกเรือทันที
ที่นั่งถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้กับฉินเวยเวยนั่งเคียงกันตรงหัวโต๊ะ ส่วนสหายเก่าคนอื่นๆ แยกนั่งเป็นสองฝั่ง พูดคุยหัวเราะและชนจอกสุรากันไม่หยุด
ฉินเวยเวยได้แต่นั่งข้างกายเหมียวอี้เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย นางรู้ว่าถ้าตัวเองพูดอะไรออกมา คนพวกนี้ก็จะอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติ ในตอนนี้เหมียวอี้เป็นเจ้าภาพหลัก นางเพียงได้นั่งอยู่ข้างกายเหมียวอี้เงียบๆ ก็พอใจแล้ว เพียงยิ้มบางๆ ขณะที่ฟังทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน คอยถือกาสุรารินให้เหมียวอี้เป็นระยะ ที่จริงนางไม่ได้สนใจเรื่องอำนาจพวกนี้
คนอื่นๆ แอบวิจารณ์ฉินเวยเวยในใจ การที่นางได้แต่งงานกับเหมียวอี้แบบนี้ ก็เหมือนนกนางแอ่นที่พอบินขึ้นกิ่งไม้ก็ได้กลายเป็นหงส์
ลมทะเลพัดเย็น เรือลอยออกจากแม่น้ำ แล่นอยู่บนมหาสมุทรสีมรกต ตอนที่เรือแล่นไปข้างหน้าและอยู่ห่างจากชายฝั่งไม่ไกล เหมียวอี้ก็ยกจอกสุราชนกับถานเล่าและเย่ซิน แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองคนเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
จ้าวเฟยส่ายหน้า ซือคงอู๋เว่ยหัวเราะแห้งๆ ส่วนกู่ซานเจิ้งก็ดื่มสุราเงียบๆ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว บนใบหน้าของเขาก็ยังทำให้คนมองไม่ออกเหมือนเดิมว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
เย่ซินค่อนข้างกระอักกระอ่วน
เมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ทกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ ถานเล่ายิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “จะเป็นยังไงได้ล่ะ? ก็ได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าเจอใครมาตลอด น่าหงุดหงิดจริงๆ เดิมทียังคิดจะขอให้เจ้ามาช่วย แต่เจ้ากันทำตัวลึกลับเหมือนมังกรที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ครั้งนี้ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เจ้าจะไม่สนใจใยดีไม่ได้นะ! ชีวิตการแต่งงานของสหายฝากไว้ที่ตัวเจ้าแล้ว”
“ก็ได้! เรื่องนี้ให้หยางชิ่งจัดการเหมาะสมที่สุด” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วหันกลับมามองฉินเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ “เดี๋ยวกลับไปเจ้าคุยกับผู้การหยางสักหน่อยสิ ให้เขาเป็นคนกลางคุยกับเจ้าสำนักดิรัจฉานหลวงกับพรรคดรุณีหยกให้สักหน่อย เรื่องนี้ต่อให้สองสำนักจะไม่ยินยอมแต่ก็ต้องยินยอม”
สำหรับเขาในตอนนี้ เรื่องนี้ไม่นับว่าใหญ่โตอะไร ทั้งสองสำนักไม่กล้าไม่ไหวหน้า ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์ของสองสำนักก็ยากที่จะมีที่ยืนในสายมะโรง
“ได้!” ฉินเวยเวยรับปากด้วยรอยยิ้ม
“ดูท่าจะได้ดื่มสุรามงคลของพวกเจ้าสองคนซะแล้วสิ!” ซือคงอู๋เว่ยตบโต๊ะพลางหัวเราะเสียงดัง
ถานเล่ากับเย่ซินสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววดีใจ ขอเพียงยอดเขาหยกนครหลวงออกหน้า เรื่องนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน ทั้งสองยืนขึ้นกุมหมัดขอบคุณพร้อมกัน
เรือโหลวฉวนขี่ลมฝ่าคลื่นอยู่บนทะเล ตรงชายฝั่งทะเลไกลๆ มีแนวเทือกเขาหนาตา ท่ามกลางเสียงคลื่นลม ทุกคนดื่มสุราและพูดคุยหัวเราะกันไม่หยุด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสหายเก่าได้มาพบกันอีกรอบ อย่างน้อยการที่เหมียวอี้พาอนุภรรยามาที่นี่ด้วย ก็ถือว่าเป็นการรับประกันอนาคตสำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมดีใจ เพราะดูเหมือนอนุภรรยาคนนี้จะเชื่อฟังเหมียวอี้มาก ในภายหลังคงไม่ทำให้พวกเขาลำบากแน่
บนใบหน้าเหมียวอี้มีรอยยิ้ม แต่ในใจกลับทอดถอนใจ เมื่อครู่ตอนที่สหายพวกนี้มาถึงเขาก็สังเกตเห็นแล้ว แต่ละคนยังมีวรยุทธ์บงกชแดงอยู่เลย เทียบกับหลายปีก่อนถือว่าวรยุทธ์ยังไม่คืบหน้าเท่าไร ยังใช้ให้ทำงานสำคัญอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงให้เป็นแรงสนับสนุนช่วยเหลือตนไปแล้ว
ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะมอบยาแก่นเซียนให้ทุกคนเพื่อเร่งเพิ่มวรยุทธ์ ถ้ายังไม่ถึงเวลา เขาก็จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ง่ายๆ
ตั้งแต่กลางคืนจนฟ้าสาง พวกเหมียวอี้และคนอื่นๆ ต้องนั่งเรือไปทางใต้ต่อ พวกจ้าวเฟยที่ได้มารวมตัวกันจึงกล่าวอำลา แล้วแต่ละคนก็เหาะขึ้นฟ้าจากไป โดยที่เหมียวอี้ยืนมองส่งอยู่บนเรือ
หลังจากมองส่งคนกลุ่มนั้นกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็หันมากวักมือให้ฉินเวยเวย นางโบกแขนสื้อกวาดร่ายอิทธิฤทธิ์ย้ายเก้าอี้นอนไปไว้ที่หัวเรือทันที
“บอกหงเหมียน ลู่หลิ่ว ข้าจะกลับเมืองฉางเฟิงบ้านเกิดสักครั้ง” เหมียวอี้บอกนางพลางเอนกายลง
ไปเมืองฉางเฟิงคือข้ออ้าง เขาอยากจะไปเห็นความจริงที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เขาอยากรู้ว่าตอนนี้ตัวเองสามารถเข้าไปที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้หรือไม่ ภาพสตรีทะยานฟ้าบนหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น ทั้งยังมีกู่ฉินหลังใหญ่นั่นด้วย ไม่รู้ว่าซ่อนความลี้ลับอะไรเอาไว้ ถึงอย่างไรประสบการณ์ก่อนหน้านี้ก็ได้บอกเขา ถ้าสถานที่เก็บภาพสตรีทะยานฟ้านั่นมีความแปลกประหลาด
…………………………