พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1090 เรือคว่ำในคลองแคบ
มองไม่ชัดว่ามีอะไรหลบอยู่ในหมอกเลือด แต่ไม่ต้องคิดเยอะเลย ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เหมียวอี้เดาออกแล้วว่าในนั้นมีผีอะไร จึงรีบเหาะถอยหลังอย่างรวดเร็ว พร้อมพลิกมือคว้าทวนเกล็ดย้อนที่ปักอยู่บนพื้น
การกระทำของเขาทำให้ดวงตาใหญ่เขียวขลับที่อยู่ข้างในเป็นประกาย วูบ! เงาดำที่เหมือนภูเขาข้างในหมอกเลือดโผล่ออกมาทันที
เป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาลูกเล็ก พุ่งออกมาด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด แค่คิดก็รู้ถึงอานุภาพของมันแล้ว ขาหน้าที่หยาบแข็งแรงเหมือนต้นไม้ใหญ่ดีดออกมาราวกับสายฟ้า ชนอย่างเหี้ยมโหดไปทางเหมียวอี้ที่เหาะหนีด้วยความเร็ว
ความเร็วในการหนีของเหมียวอี้ เมื่อเทียบกับเจ้าตัวที่กำลังจู่โจมเข้ามา ก็เรียกได้ว่ารุ่นใหญ่ปะทะรุ่นเล็ก ไม่มีทางหลบพ้นได้เลย
เหมียวอี้ที่ฉุกละหุกดูดทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือพยายามเร่งความเร็วสุดชีวิต ใช้สองมือจับทวนในแนวขวางเพื่อต้านทาน หมายจะต้านทานการโจมตีนี้
บึ้ม! เสียงดังอื้ออึงหนวกหู
ทวนเกล็ดย้อนที่กวาดในแนวขวางระเบิดแสงสีทองออกมา แต่กลับไม่มีทางต้านทานการโจมตีที่ดุดันได้ สะเทือนกลับมา สะเทือนจนสองมือของเหมียวอี้กางออก
ปั้ง! เสียงสะเทือนดังอีกครั้ง สะเทือนจนทวนเกล็ดย้อนเด้งใส่หน้าอกเหมียวอี้ พังกระเด็นแล้ว
บึ้ม! เกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ขนาดแผ่นดินยังสั่นสะเทือน เหมียวอี้ที่กระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้สะเทือนจนลอยออกไปราวกับผีพุ่งใต้ แสงสีทองบนเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์อับแสงลงในชั่วพริบตาเดียว กำแพงที่หนาแข็งแรงอีกด้านของเมืองโบราณฉางเฟิงพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่ปลิวเข้ามาชนจนดินหินปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า
แต่แบบนี้กลับไม่สามารถยับยั้งทิศทางการไปของเหมียวอี้ได้ เหมียวอี้เหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟ้า พุ่งชนจนกำแพงเมืองพัง ทำลายสิ่งปลูกสร้างหลายหลังในเมืองโบราณ เกิดรอยไถลลึกบนพื้น ไปหยุดอยู่ตรงกลางเมืองโบราณ แล้วก็ถูกบ้านหลังหนึ่งที่ถล่มลงมาฝังกลบ
ตั๊กแตนห้าตัวบินเข้ามาทันที บินวนอยู่บนฟ้าเหนือบ้านที่ฝังกลบเหมียวอี้ไว้
ตั๊กแตนทมิฬร่างยักษ์ตัวหนึ่งที่สีดำขลับทั้งตัว กระดองสีดำบนตัวสะท้อนเป็นมันวาวอยู่ภายใต้แสงจันทร์ มันเกาะอยู่บนพื้น ปรากฏตัวอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง ร่างกายยาวอย่างน้อยสิบกว่าจั้ง มันกำลังขยับปากแมลงที่มีฟันแหลมคม ดวงตาขนาดใหญ่สีเขียวขลับเปล่งประกาย ในปล้องขามีหนามที่เหมือนตะขอแหลมคม ใต้ท้องกว้างจนม้าเข้าไปวิ่งได้ หน้าตาดุร้ายน่ากลัว
เนื่องจากมันฝ่าออกมาอย่างกะทันหัน หมอกเลือดพิศวงที่อยู่ข้างหลังมันยังคงหมุนขึ้นหมุนลงอย่างรุนแรง
กรอบแกรบ! จู่ๆ อิฐหินที่ฝั่งกลบก็เปิดออก เหมียวอี้ที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดกระอักเลือดคำใหญ่ออกมาไม่หยุด ร่างกายพลิกไปพลิกมาอยู่ในหลุมอย่างยากลำบาก ตั๊กแตนห้าตัวเกาะอยู่ข้างกายเขาแล้ว
และเป็นเพราะเสียงถล่มของอิฐดิน ที่นอกเมืองโบราณ ตั๊กแตนทมิฬยักษ์ที่หยุดเกาะอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งส่ายหัวไปมา ดวงตายักษ์สีเขียวกะพริบแสงอีกครั้ง มันย่อเข่าที่พื้นเล็กน้อยและดีดตัวออกไป หายไปจากที่เดิมในชั่วพริบตาเดียว
โครมคราม! ในเมืองโบราณ บนเส้นทางเดิมที่เหมียวอี้สะเทือนกระเด็นออกมา บ้านเรือนฝั่งซ้ายและขวาที่ยังไม่ได้ถล่มลงมา เมื่อถูกตั๊กแตนทมิฬพุ่งโจมตี สิ่งของจำพวกหลังคาอิฐหินก็ระเบิดปลิวเต็มฟ้า ฝุ่นควันกระจายอย่างบ้าคลั่ง
ชั่วพริบตาเดียวตั๊กแตนทมิฬก็เกาะที่พื้น แล้วจ้องไปยังเหมียวอี้ที่อยู่บนพื้น มันง้างขาที่แหลมคมออกมาข้างหนึ่ง ต้องการจะโจมตีเขาให้ตาย
เหมียวอี้หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น เขาอาเจียนเป็นเลือดไม่หยุด ขณะมองดูร่างใหญ่มหึมาตรงหน้า ใบหน้าก็ฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด การโจมตีครั้งเดียวของตั๊กแตนทมิฬเกือบจะทำให้เขาร่างพัง เมื่อเผชิญกับตั๊กแตนทมิฬตัวที่อยู่ตรงหน้า อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่มีแรงที่จะโต้ตอบได้เลย ถ้าไม่ใช่เพรามีเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงต้านทานไว้ เขาก็คงกลายเป็นคนตายไปแล้ว
ขณะมองดูมันชูขาหน้าขนาดยักษ์อันแหลมคมขึ้นมา เขาก็ไม่มีความสามารถใดๆ ที่จะหลบหลีกได้อีก จู่ๆ เขาก็รู้สึกขำขึ้นมา ตอนนี้เล่นใหญ่เกินไปจริงๆ พอได้ไปพิภพใหญ่มารอบหนึ่ง เขาก็ดูถูกสิ่งที่อยู่ในพิภพเล็กนิดหน่อย ตอนนี้ได้ลิ้มรสความขื่นขมแล้ว นับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมแม้แต่หกปราชญ์ก็ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งง่ายๆ และเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องความน่าหวาดกลัวของตั๊กแตนทมิฬในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งมานานแล้วเช่นกัน แต่ยังกลับถ่อเอาชีวิตมาทิ้ง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ
แต่ก็นับว่าเขาจะได้ตายไปพร้อมกับความเข้าใจ การนำชีวิตมาแลกทำให้เขาได้เข้าใจแล้ว ว่าพลังของสัตว์ประหลาดชนิดนี้อยู่เหนือระดับบงกชทองไกลมาก ต่อให้เป็นพลังระดับบงกชทองขั้นเก้า แต่ก็ไม่สามารถโจมตีครั้งเดียวให้เขาตายได้ในขณะที่สวมเกราะผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงชุดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเขาเองจะต้านทานไม่ได้แม้แต่การโจมตีครั้งเดียวของตั๊กแตนทมิฬ พลังของสัตว์ประหลาดชนิดนี้ต้องน่ากลัวขนาดไหนกัน?
ทั้งชีวิตนี้นับว่าผ่านอุปสรรคความลำบากมาไม่น้อย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเรือจะมาคว่ำในคลองแคบ[1] ไม่น่าเชื่อว่าจะตายภายใต้ความประมาทเลินเล่อ แบบนี้ยุติธรรมมั้ย?
ขณะที่ในหัวมีความคิดเศร้าสลดพวกนี้แวบผ่านเข้ามา ใบหน้าเหมียวอี้ก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยต้อนรับความตาย
“หึ่งหึ่ง…”
ถึงแม้ตั๊กแตนห้าตัวจะตื่นตระหนกเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทระนงองอาจบนตัวของตั๊กแตนทมิฬ แต่ในเวลานี้กลับสู้ไม่คิดชีวิตแล้ว พวกมันส่งเสียงร้องพร้อมพุ่งเข้าไป ไปจับตั๊กแตนทมิฬเอาไว้อย่างสับสนวุ่นวาย แล้วกัดเคี้ยวจนเกิดเสียงและเกิดประกายไฟ กรงเล็บที่แหลมคมของพวกมันใช้ไม่ได้ผลกับกระดองของตั๊กแตนทมิฬเลย ทำให้มันบาดเจ็บไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียบร่างกายของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกขำด้วยซ้ำ
ตั๊กแตนห้าตัวเปลี่ยนเป็นพุ่งไปที่ดวงตาของตั๊กแตนทมิฬ โจมตีที่จุดอ่อนของมัน นั่นคือจุดที่อ่อนแอของตั๊กแตนแน่นอน
แต่พลังของพวกมันเมื่อเทียบกับตั๊กแตนทมิฬแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเลย หนวดสัมผัสสองเส้นบนหัวของตั๊กแตนทมิฬสะบัดวนติดต่อกันหลายครั้ง ราวกับเป็นแส้ยาวสีทองสองเส้น
เสียงสะเทือนดังแกร๊งๆ ติดต่อกันหลายครั้ง ฟาดตั๊กแตนห้าตัวกระเด็นออกไปทันที
ปรากฏว่าตั๊กแตนห้าตัวห้าวหาญไม่กลัวตาย บินพุ่งเข้ามาพัวพันกับตั๊กแตนทมิฬอีกครั้ง
ตั๊กแตนทมิฬร่างยักษ์บิดหัวรูปสามเหลี่ยมไปมา ดวงตาสีเขียวขลับกะพริบแสงขณะจ้องมองตั๊กแตนห้าตัวที่พุ่งเข้ามาโจมตีซ้ำ แล้วก็ก้มหน้ามองเหมียวอี้ที่นอนอยู่ในเศษอิฐเศษหิน เหมือนลังเลนิดหน่อย ขาหน้าอันแหลมคมที่กำลังยกขึ้นไม่ยอมจิ้มลงมาสักที
แกร๊งๆ! หนวดสัมผัสที่เหมือนแส้ยาวสีทองสองเส้นฟาดตั๊กแตนห้าตัวกระเด็นไปอีกครั้ง เคียวเกี่ยวข้าวที่ตั๊กแตนทมิฬชูขึ้นมาวางลงอย่างช้าๆ ร่างขนาดยักษ์ค่อยๆ หันเลี้ยว
เหมียวอี้งุนงง มองดูท้องของตั๊กแตนทมิฬยักษ์เลี้ยวผ่านยอดศีรษะตัวเองไป กังวลว่าจะโดนก้นของมันกระแทกตาย
วูบ! ฝุ่นควันกระพือขึ้นมาพักหนึ่ง กระแสลมพัดม้วน ตั๊กแตนทมิฬโผขึ้นฟ้า ชั่วพริบตาเดียวก็ไปเหยียบนอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งอีก แล้วเดินก้าวยาวช้าๆ เข้าไปในหมอกเลือดที่ไหลกลิ้งอย่างประหลาด มันไม่สามารถอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้นาน นี่เป็นเพราะตอนกลางคืนมันถึงออกมาได้
ตั๊กแตนห้าตัวกลับไม่ใจกว้างปล่อยไป ยังคงไล่ตามหลังตั๊กแตนทมิฬเข้าไปกัดกินอย่างบ้าคลั่ง กระทบจนเกิดประกายไฟออกมาเป็นระยะ
ตั๊กแตนทมิฬไม่ตอบสนองใดๆ กับสิ่งนี้ เพียงหันมามองตั๊กแตนทั้งห้าตัวแวบเดียว แววตาสีเขียวกลับกะพริบแสงพักหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปอีก มันยื่นหัวเข้าไปในหมอกเลือดประหลาด แล้วร่างยักษ์ก็ตามเข้าไปไปอย่างช้าๆ ย่างเก้าที่หนักอึ้งแบบนั้นเผยกลิ่นอายความเก่าแก่วังเวง
จนกระทั่งร่างมหึมานั่นเข้าไปในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง หลังจากมันหายมิดไปในหมอกหนาพร้อมเสียงดังวูบ ตั๊กแตนห้าตัวถึงได้บินขึ้นไปบนฟ้าพักหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนภาคภูมิใจ ราวกับพวกมันทำให้ตั๊กแตนทมิฬตกใจจนหนีไปหรือไม่ก็ไล่ไปได้แล้ว ตอนนี้พวกมันถึงได้บินกลับมา
ขณะมองดูตั๊กแตนห้าตัวที่กลับมาล้อมอยู่รอบกายตัวเอง การที่มันแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บแบบนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกำลังแสดงผลงาน เหมียวอี้ที่อาเจียนเลือดเป็นระยะไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขามองออกแล้ว มันชัดเจนเกินไป ตั๊กแตนทมิฬตัวนั้นไว้หน้าตั๊กแตนห้าตัวนี้ มันถึงได้ไว้ชีวิตเขา เดิมทีมันต้องการจะลงมือสังหารเขาแล้ว!
เขานึกว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว เมื่อครู่เตรียมตัวยอมรับความตายแล้วด้วยซ้ำ แต่ใครจะคิดว่าตั๊กแตนห้าตัวนี้จะช่วยเขาให้รอดพ้นเงื้อมมือตั๊กแตนทมิฬ
ดูจากร่างกายของตั๊กแตนทมิฬตัวนั้น มีขนาดไม่ต่างกับตัวที่เหล่าไป๋เรียกออกมาในปีนั้นสักเท่าไร เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตั๊กแตนห้าตัวของเขาเป็นลูกหลานของตั๊กแตนทมิฬตัวนี้รึเปล่า?
บนฟ้ากำลังมีเงาคนสามคนสำรวจตรวจตราไปทั่ว ความเคลื่อนไหวของที่นี่ค่อนข้างใกล้กับเมืองฉางเฟิง มนุษย์ธรรมดาอาจจะไม่ได้ยิน แต่ปิดบังนักพรตที่มีวรยุทธ์ระดับฉินเวยเวยไม่ได้ และเสียงการต่อสู้ของตรงนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตวรยุทธ์ต่ำจะทำได้ด้วย
เมื่อนึกเชื่อมโยงว่าเหมียวอี้ก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน นางจะพักอยู่กับที่ได้อย่างไร นำหงเหมียน ลู่หลิ่มสำรวจมาทางนี้ตลอดทาง
ระหว่างทางที่มา สิ่งที่หาพบก่อนกลับเป็นทวนด้ามหนึ่งที่ปักเอียงอยู่บนพื้นในจุดที่ห่างจากเมืองโบราณฉางเฟิงหลายร้อยจั้ง เป็นทวนเกล็ดย้อนที่พังกระเด็นออกมาหลังจากเหมียวอี้ใช้ต้านทานตั๊กแตนทมิฬ มันสะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์จนทำให้คนสังเกตเห็น พอฉินเวยเวยเหยียบลงพื้นไปหยิบขึ้นมาดู นางก็ระแวงกลัวทันที
เหมียวอี้ใช้อาวุธแบบไหน นางก็ย่อมรู้ชัดอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่เคยเห็นวัสดุที่ใช้ทำอาวุธชิ้นนี้มาก่อน แต่แค่เห็นทวนเกล็ดย้อนก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ใช้งานเฉพาะของเหมียวอี้ พิสูจน์การคาดเดาของนางแล้ว การต่อสู้เมื่อครู่นี้เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้แน่นอน
ขนาดอาวุธแบบนี้ยังโยนทิ้งได้ จะเห็นได้ว่าเหมียวอี้ประสบปัญหาแล้ว
หงเหมียน ลู่หลิ่วก็หวาดกลัวแล้วเช่นกัน ทั้งสองรู้จักรูปแบบอาวุธที่เหมียวอี้ใช้ ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ได้เป็นแค่เจ้านายของพวกนาง แต่ยังเป็นผู้ชายของพวกนางด้วย เมื่อกายเนื้อได้สัมผัสใกล้ชิดกันแล้ว ก็ไม่ใช่สิ่งความสัมพันธ์ของนายบ่าวแบบก่อนหน้านี้จะเทียบได้ หัวใจผูกติดกันแล้ว จะไม่ให้กระวนกระวายได้อย่างไร
สามคนที่อยู่บนท้องฟ้ารีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ เมืองโบราณฉางเฟิงที่ถูกทำลายพังดึงดูดความสนใจของพวกนางแล้ว เมื่อเหาะไปตามร่องรอยความเสียหายที่ราวกับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ก็เห็นเหมียวอี้ที่นอนอยู่ในซากหักพังกลางเมืองกำลังโดนตั๊กแตนห้าตัวล้อมอยู่
ทั้งสามไม่เคยเห็นตั๊กแตนของเหมียวอี้มาก่อน ทั้งยังอยู่ข้างแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งอีก ย่อมนึกเชื่อมโยงไปถึงตั๊กแตนทมิฬอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นตั๊กแตนธรรมดาที่ไหนจะตัวใหญ่เท่าวัว
เคยได้ยินถึงความร้ายกาจของตั๊กแตนทมิฬมานานแล้ว เมื่อเห็นแบบนี้ ทั้งสามก็นึกว่าเหมียวอี้ถูกตั๊กแตนห้าตัวนั้นทำร้าย พวกนางจึงสวมเกราะรบทันที เตรียมจะช่วยชีวิตเขา
ส่วนตั๊กแตนห้าตัวก็หันมามองพวกฉินเวยเวยด้วยเจตนาไม่ดี พวกมันเห็นเป็นศัตรูเช่นกัน เริ่มกระพือปีกบินขึ้นมา เตรียมตั้งท่าโจมตีแล้ว
เหมียวอี้ที่นอนอยู่บนพื้นดวงตาค่อนข้างไร้แวว เขาตกใจกับการเคลื่อนไหวของตั๊กแตน จึงดันทุรังรวบรวมพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองแวบหนึ่ง ถึงได้เห็นพวกฉินเวยเวยที่อยู่บนฟ้าอย่างชัดเจน
เหมียวอี้แอบร้องว่าแย่แล้ว พวกฉินเวยเวยใช่คู่ต่อสู้ของตั๊กแตนห้าตัวนี้เสียที่ไหนกัน จึงพยายามสุดชีวิตเพื่อยกฝ่ามือขึ้นข้างหนึ่ง แล้วพยายามร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอเปิดใช้งานกำไลเก็บสมบัติของตัวเอง ใช้พลังจิตเรียกตั๊กแตนห้าตัวนั้นกลับเข้ามา
ตั๊กแตนห้าตัวบินกลับมา แล้วเข้าไปอยู่ในกำไลเก็บสมบัติ มือที่ยกขึ้นเล็กน้อยของเหมียวอี้ก็ตกลงพื้นแล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ พวกฉินเวยเวยย่อมดูออกเช่นกันว่าตัวเองเข้าใจผิดไป รีบเหาะลงมาเหยียบพื้น
เมื่อเห็นสภาพยับเยินของเหมียวอี้ ฉินเวยเวยก็รีบคุกเข่าและประคองเหมียวอี้มาไวในอ้อมกอดตัวเอง พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบอาการเล็กน้อย ก็พบทันทีว่าเหมียวอี้ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสธรรมดา อวัยวะภายในถูกทำลาย ตับไตใส้พุงถูกตัดเป็นชิ้น แขนสองข้างที่อยู่ใต้เกราะรบก็ยิ่งเลือดเนื้อเละเทะปนกัน ปากอาเจียนเลือดออกมาไม่หยุด ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว กำลังอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอปกป้องชีพจร หอบหายใจไม่หยุด แม้แต่ความสามารถในการช่วยชีวิตตัวเองก็ไม่มีแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อครู่นี้เอาพลังจากไหนมาเปิดใช้งานกำไลเก็บสมบัติ
“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?” ฉินเวยเวยถามปนน้ำเสียงร้องไห้ แต่ก็นึกได้ว่าเหมียวอี้อ้าปากตอบไม่ไหว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถาม จึงสั่งหงเหมียน ลู่หลิ่วอย่างใจร้อนว่า “เร็วเข้า! สมุนไพรเซียนซิงหัว! เร็วๆๆ…”
หงเหมียน ลู่หลิ่วฉุกละหุกอยู่พักหนึ่ง รีบนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา แล้วนั่งย่อเขาคนละฝั่ง ร่ายอิทธิฤทธิ์เป่าหมอกดาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าไปในร่างกายเหมียวอี้
ผู้หญิงทั้งสามคนกำลังร้องไห้น้ำตาหยดแหมะๆ อยู่อย่างนั้น
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่มีแรงไอก็พ่นเลือดคั่งออกมาคำหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากได้แล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอว่า “ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน…หาที่ซ่อนตัว…”
ผู้หญิงทั้งสามคนรีบหามเขาออกไปจากตรงนั้นทันที
…………………………
[1] 阴沟里翻了船 เรือคว่ำในคลองแคบ หมายถึงตายน้ำตื้น คนที่พลาดท่าเสียทีเพราะเรื่องเล็กน้อย