พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1098 เฟิงเป่ยเฉินที่ตัดต้นไม้
ในเมื่อต้องการจะทำ อวิ๋นจือชิวก็มีแผนการของตัวเองเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องจะให้บอกหยางชิ่งเสียทั้งหมดไม่ได้
หลังจากมาถึงพิภพเล็ก อวิ๋นจือชิวก็เรียกฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ออกมาจากกระเป๋าสัตว์ และยังไม่ได้แยกทางกับทั้งสอง แต่พาทั้งสองเหาะตรงกลับมาที่ยอดเขาหยกนครหลวง
หลังจากวางแผนลับกับหยางชิ่งแล้ว หยางชิ่งก็กล่าวขอตัวออกจากยอดเขาหยกนครหลวง ไปทำหน้าที่นักวิ่งเต้นที่แดนโพ้นสวรรค์เพียงลำพัง
“ไม่น่าเชื่อว่าจะไปขอพบมู่ฝานจวินที่แดนโพ้นสวรรค์คนเดียว สงสัยเฟิงเป่ยเฉินจะยั่วให้หยางชิ่งโมโหแล้วจริงๆ หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ในโลกนี้ช่างน่าสงสาร”
ใต้ตึกปราสาททอง ขณะที่อวิ๋นจือชิวมองส่งจนหยางชิ่งหายลับไปกับเส้นขอบฟ้า ตอนนี้นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เหมียวอี้บอก ว่าฉินเวยเวยเป็นลูกสาวแท้ๆ ของหยางชิ่งและฉินซี นางก็ยังรู้สึกคาดคิดไม่ถึงอยู่บ้าง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเหาะไปยังเรือนเดี่ยวสำหรับรับรองแขกทันที
เมื่อเห็นฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังพักผ่อน อวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ปิดบัง บอกไป “นายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินประมือกัน เฟิงเป่ยเฉินแพ้ถอยไป แต่จับตัวฉินเวยเวยไปด้วย”
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด ฝูชิงพยักหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่กับเจ้าสี่กำลังระดมนักพรตระดับบงกชทองทั้งหมดของทะเลดาวนักษัตร เจ้าห้าโมโหมาก ต้องการจะโจมตีนภาอู๋เลี่ยงให้ราบ พี่ใหญ่กับเจ้าสี่บอกเรื่องนี้กับพวกเราแล้ว”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “โจมตีนภาอู๋เลี่ยงให้ราบแล้วยังไงล่ะ? ตีงูไม่ตายก็จะมีปัญหาตามมาไม่จบสิ้น ไม่ว่านายท่านจะจัดการเฟิงเป่ยเฉินได้หรือไม่ ข้าก็ไม่อยากให้เฟิงเป่ยเฉินมีโอกาสฟื้นคืนกลับมา ถ้าจะทำก็ต้องถอนรากถอนโคนของเฟิงเป่ยเฉินให้หมด ข้าจะบอกพี่ชายทั้งสองให้รู้ ว่าข้ากำลังจะออกคำสั่งระดมทัพใหญ่หนึ่งล้านของสายมะโรง บัญชาการกองทัพให้บุกโจมตีแดนอู๋เลี่ยง แต่จนใจที่กำลังพลสายมะโรงของข้าอ่อนด้อยกว่ากำลังพลสิบสองสายของแดนอู๋เลี่ยง ดังนั้นจึงอยากขอให้พี่ชายทั้งสองติดต่อกับทางทะเลดาวนักษัตรเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่นักพรตบงกชทองเท่านั้น แต่ให้ระดมกำลังพลทั้งหมดของทะเลดาวนักษัตรไปสนับสนุน ตีขนายไปสองข้าง ขุดรากถอนโคนอำนาจของเฟิงเป่ยเฉินให้หมด”
ทั้งสองได้ยินแล้วตกใจ ฝูชิงขมวดคิ้วตอบว่า “น้องสะใภ้ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยเจ้านะ ถ้าทะเลดาวนักษัตรมีการเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่สะเทือนถึงจีฮวนคนเดียว แต่เกรงว่าจะสะเทือนถึงอีกห้าปราชญ์ด้ววยเหมือนกัน ถ้าพวกเขาร่วมมือกันขึ้นมา ก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย พวกลูกน้องติดตามพวกเรามาหลายปี พวกเราไม่อาจมองข้ามความเป็นความตายของพวกเขาได้”
อวิ๋นจือชิวโบกมือ “น้องสาวไม่ใช่คนประมาทขนาดนั้น น้องสาวไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจหรอก เดี๋ยวข้าจะไปโน้มน้าวท่านปู่ข้าที่นภาจอมมาร มู่ฝานจวินก็จะยืนอยู่ฝ่ายนี้เหมือนกัน บวกกับที่นายท่านมีพลังมากพอที่จะต่อต้านเฟิงเป่ยเฉิน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวจะต้องไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดชแน่”
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เงียบงัน…
“หลันโฮ่ว รวบรวมกำลังพลของเมืองหลวงและกำลังพลใต้สังกัดทั้งหมด เหลือส่วนน้อยไว้เฝ้าที่นี่ก็พอ ส่วนที่เหลือเจ้าเป็นคนบัญชาการทั้งหมด ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ย ปราสาทดำเนินธารา”
“เหยียนซิว ถือคำสั่งของข้าไป ไปที่ปราสาทดำเนินเซียนเดี๋ยวนี้ สั่งให้ประมุขปราสาทดำเนินเซียนรวบรวมกำลังพลทั้งหมดของปราสาทดำเนินเซียน และเรียกรวมนักพรตทุกสำนักในอาณาเขตด้วย ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ยปราสาทดำเนินธาราเดี๋ยวนี้ เจ้าเฝ้าติดตามดูกองทัพ”
“หยางเจาชิง ถือคำสั่งของข้าไป ไปที่ปราสาทดำเนินนภาเดี๋ยวนี้ สั่งให้ประมุขปราสาทดำเนินนภารวบรวมกำลังพลทั้งหมดของปราสาทดำเนินนภา เรียกรวมนักพรตทุกสำนักในอาณาเขตด้วย ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ยปราสาทดำเนินธาราเดี๋ยวนี้ เจ้าเฝ้าติดตามดูกองทัพ”
“เฉิงเย่าเวย ถือคำสั่งของข้าไปที่ปราสาทดำเนินปฐพีเดี๋ยวนี้…”
ในปราสาททอง อวิ๋นจือชิวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย กำลังนั่งสง่าอยู่บนบัลลังก์ คำสั่งทั้งหมดสิบสามฉบับ ลอยไปถึงมือคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างทีละฉบับ
หลันโฮ่วและคนอื่นๆ ที่ได้รับคำสั่งประหลาดใจไม่หยุด แบบนี้ก็เท่ากับจะเคลื่อนทัพใหญ่หนึ่งล้านทั้งหมดของสายมะโรงไปยังอาณาเขตตำหนักเจิ้นกุ่ยของปราสาทดำเนินธาราน่ะสิ คิดจะทำอะไรกันแน่? สถานที่นั้นอยู่ใกล้แดนอู๋เลี่ยง จะให้โจมตีแดนอู๋เลี่ยงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่าบอกนะว่าจะฮุบอาณาเขตใกล้เคียงอีกสายหนึ่ง?
อวิ๋นจือชิวไม่ได้อธิบายเจตนาของตัวเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด หลังจากรอให้ทั้งสิบสามคนรับคำสั่งและออกไปปฏิบัติตามแล้ว นางก็ออกมาจากปราสาททองเช่นกัน ร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บค่ายกลแปดทิศที่วางไว้ ก่อนจะนำเก็บติดตัวแล้วเหาะขึ้นฟ้าไปเพียงลำพัง…
ส่วนเหมียวอี้ในเวลานี้ก็ไม่ได้รับข่าวจากทางทะเลดาวนักษัตรอย่างเดียว แต่ได้รับรายงานลับจากเหยียนซิวกับหยางเจาชิงด้วย รายงานเกี่ยวกับสิ่งที่อวิ๋นจือชิวเตรียมการ
เหมียวอี้ติดต่ออวิ๋นจือชิวทันที : เจ้าเรียกรวมกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรกับสายมะโรงเพราะเตรียมจะโจมตีแดนอู๋เลี่ยงเหรอ?
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ระหว่างทางไปนภาจอมมาร ตอบกลับมาว่า : ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็ขุดรากถอนโคนเฟิงเป่ยเฉินไปเสียเลยสิ
เหมียวอี้ : ทำแบบนี้ได้ก็ย่อมดีอยู่แล้ว แต่มู่ฝานจวินจะตอบตกลงได้ยังไง? เกรงว่ายังไม่ทันจะรวบรวมกำลังพลได้เต็มที่ นางก็จะส่งคนมาแทรกแซงแล้วน่ะสิ แล้วอีกสี่ปราชญ์ก็คงไม่นั่งดูเฉยๆ เหมือนกัน
อวิ๋นจือชิว : เจ้าไม่ต้องห่วง หยางชิ่งไปโน้มน้าวมู่ฝานจวินที่แดนโพ้นสวรรค์แล้ว เจ้าก็รู้จักคนอย่างหยางชิ่ง ถ้าไม่มั่นใจก็คงไม่ทำ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตไปส่งให้ถึงมือมู่ฝานจวิน แล้วข้าก็กำลังไปที่นภาจอมมาร จะไปโน้มน้าวให้ท่านปู่อยู่ฝ่ายพวกเรา ขอเพียงมีสองแดนไม่เคลื่อนไหว อีกสามแดนก็จะไม่บุ่มบ่ามทำอะไรเหมือนกัน
เหมียวอี้แสดงความสงสัย : ยังไม่ต้องพูดถึงหยางชิ่ง ปู่ของเจ้าเป็นคนที่จะทิ้งผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋นเพราะความรู้สึกที่มีต่อหลานสาวคนเดียวเหรอ?
อวิ๋นจือชิว : เจ้าก็ระวังตัวเองไว้เถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงฝั่งข้าหรอก ข้าจะทำเรื่องที่ส่งผลเสียกับเจ้าเชียวเหรอ? รักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ให้ความร่วมมือกับการปฏิบัติการ!
ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เอ่ยเรื่องที่จะให้เหมียวอี้มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินเลย เยว่เหยาน้องสาวคนนั้นก็นับว่าเป็นจุดอ่อนของเขาเหมือนกัน เขาไม่มีทางให้เยว่เหยาเสี่ยงอันตรายใดๆ ไม่อย่างนั้นอาศัยศักยภาพของเขาในตอนนี้ มู่ฝานจวินก็ควบคุมเขาไม่ได้ตั้งนานแล้ว ถ้าบอกความจริงขึ้นมา ท่านสามีคนนี้ของนางจะต้องไม่ตอบตกลงแน่นอน
สิ่งที่นางกังวลตอนนี้ก็คือ หลังจากจบเรื่องแล้วควรจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี
เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาสามารถหยุดยั้งไม่ให้อวิ๋นจือชิวระดมกำลังพลของทะเลดาวนักษัตร แต่หยุดยั้งไม่ให้อวิ๋นจือชิวกะดมกำลังพลของสายมะโรงไม่ได้ ถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็เป้นท่านทูตของสายมะโรง
มาคิดมากตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือจะไปจับตัวโม่จวินหลันมาแลกกับฉินเวยเวยอย่างไร ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาคิดอย่างอื่น ก็อย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เขาเองก็ไม่คิดว่าอวิ๋นจือชิวจะทำอะไรที่ส่งผลเสียกับเขา
ขณะที่ครุ่นคิด เหมียวอี้ก็เหาะไปเหยียบบนยอดเขาแห่งหนึ่ง โบกมือเรียกฉินซีออกมา แล้วถามว่า “ผู้อาวุโส ตรงนี้ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกลแล้ว ผู้น้อยขอส่งตรงนี้”
ฉินซีที่ถอนหายใจเบาๆ ทอดสายตาไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็มาหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าเองก็รักษาตัวด้วย!”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วถามอีกว่า “ผู้อาวุโสจดจำวิธีการติดต่อได้หรือยัง?”
เขามอบระฆังดาราอันหนึ่งให้ฉินซี แล้วสร้างวิธีการติดต่อระหว่างกันขึ้นมา จะได้รู้สถานการณ์ของฉินเวยเวยได้สะดวก
“ระหว่างทางข้าได้จดจำไว้แล้ว!” ฉินซีกล่าวยืนยัน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
ขณะมองดูอีกฝ่ายหายลับไปในท้องฟ้า เหมียวอี้ก็ลูบหน้ากากบนใบหน้าตัวเอง ก่อนจะหลบเข้าไปในป่าภูเขา รีบมุ่งหน้าไปทางสำนักงามวิจิตร…
ตำหนักอู๋เลี่ยง หลังจากฉินซีลอยเข้าตำหนักหลังอย่างไม่รีบร้อน พอเหยียบลงพื้นก็มีหญิงรับใช้ที่สวมชุดสีฟ้าคู่หนึ่งเข้ามาคำนับ “ฮูหยิน!”
ฉินซีมองซ้ายมองขวา แล้วถามเสียงเรียบว่า “ท่านปราชญ์กลับมารึยัง?”
หญิงรับใช้หันตัวชี้ไปยังยอดเขาไกลๆ ของนภาอู๋เลี่ยง “กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านปราชญ์ไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่นแล้ว”
ฉินซีหันกลับมามองยอดเขาสูงตระหง่านที่มีหิมะทับถมหลายชั้น แล้วถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านปราชญ์ไปทำอะไรที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น?”
หญิงรับใช้ส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ท่านปราชญ์สั่งไว้ก่อนจะไปที่นั่น ว่าถ้าฮูหยินมาแล้ว ก็ให้บ่าวไปแจ้งให้ทันเวลา บ่าวจะไปแจ้งเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะไปหาเขาอยู่พอดี” ฉินซีหันตัวกำลังจะเหาะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอก้าวขาแล้ว นางก็ชะงักเล็กน้อย หันกลับมาถามว่า “นอกจากไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น หลังจากกลับมาแล้วท่านปราชญ์ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า?”
หญิงรับใช้ส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ เพียงปล่อยอินทรีเทพจำนวนหนึ่งออกไป จากนั้นก็ไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น”
ฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ถลันตัวจากไปทันที
ณ ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ที่จริงก็เป็นแค่ภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง บนยอดเขาไม่ได้มีของอะไร ลมหนาวพัดหวีดหวิว
ฉินซีที่เหาะมาถึงยอดเขากำลังครุ่นคิดว่าเฟิงเป่ยเฉินมาทำอะไรที่นี่ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นต้นไม้โบราณต้นเดียวที่อยู่บนยอดเขาถูกตัดล้มลงมาแล้ว และเฟิงเป่ยเฉินก็ทำท่าเหมือนช่างไม้ กำลังถือกระบี่ตัดเล็มต้นไม้โบราณที่ล้มลงมา เหมือนจะเปลืองแรงนิดหน่อย
นี่ไม่เหมือนงานที่ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะทำเลยจริงๆ
พอนางปรากฏตัว เฟิงเป่ยเฉินก็หันขวับ เมื่อเห็นนางเหาะมา เขาก็อึ้งอยู่บ้าง ถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมเจ้ากลับมาถึงเร็วขนาดนี้?”
ฉินซีเพิ่งวรยุทธ์ระดับบงกชม่วง แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็กลับถึงนภาอู๋เลี่ยงแล้ว เขาย่อมแปลกใจ
ฉินซีเตรียมคำตอบไว้นานแล้ว “ระหว่างทางได้พบกับคนคนหนึ่ง จึงได้อาศัยบารมีท่าน ข้าบอกว่าไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักข้า ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นท่านคุยกับเขา ท่าทางสุภาพเกรงใจ ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าท่านออกไปครั้งนี้เพื่อเข่นฆ่า กลัวว่าจะมีอันตราย จึงถือโอกาสให้เขามาส่งข้าสักครั้ง”
เฟิงเป่ยเฉินตอบ “อ้อ” แล้วถามอีกว่า “คนคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”
ฉินซีตอบอย่างเยือกเย็นว่า “สหายของท่านข้าจำได้ไม่หมดหรอก และไม่สนใจจะจำด้วย ถ้าครั้งหน้าเจอข้าจะชี้บอกท่าน”
เฟิงเป่ยเฉินส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปพูดแบบนี้เขาก็คงไม่เชื่อ แต่ด้วยนิสัยของผู้หญิงคนนี้ ไม่อยากจะสนใจใคร ถ้านางจำทุกคนได้ชัดเจน ก็เกรงว่าจะทำให้เขาสงสัยด้วยซ้ำ
สายตาของฉินซีกลับไปอยู่บนต้นไม้โบราณที่เขากำลังตัดเล็ม
ต้นไม้ต้นนี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ไม่รู้ว่าเติบโตมาแล้วกี่ปี ว่ากันว่ามันอยู่ตรงนี้มาตลอดก่อนที่เฟิงเป่ยเฉินจะครอบครองที่นี่ เพียงแต่มีขนาดเท่าต้นไม้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ไม่รู้ว่าใช้เวลากี่ปีถึงจะสูงขึ้นสักนิดนึ่ง เหมือนจะไม่มีวันเติบโตเลยตลอดไป ทั้งลำต้นเป็นสีขาว แม้แต่ใบก็เป็นสีขาวเหมือนกัน เติบโตอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ
แต่ตอนนี้ถูกเฟิงเป่ยเฉินกำลังตัดโค่นมัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีรอยเลือดซึมออกมาเป็นเส้นๆ ต้นไม้สีขาวที่ปนกับของเหลวสีแดงให้ความรู้สึกน่าสยดสยองนิดหน่อย เพียงแต่มีกลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย
หลังจากฉินซีมองมันสองครั้ง ก็แอบแปลกใจในการกระทำของเฟิงเป่ยเฉิน ภายนอกยังคงถามอย่างสงบเยือกเย็น “บนภูเขานี้มีต้นไม้ต้นนี้แค่ต้นเดียว เริ่มมีสติปัญญาแล้ว เกรงว่าใกล้จะกลายเป็นปีศาจแล้ว อยู่ดีๆ ท่านไปตัดมันทิ้งทำไม”
เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะเบาๆ ยื่นกระบี่ให้นาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตัดมันสักครั้งสิ”
ฉินซีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ยังคงรับกระบี่มาไว้ในมือ แล้วตัดลงไปหนึ่งที่ “ตุ้บ” มีเสียงดังทึบหนึ่งครั้ง ส่วนที่โดนคมกระบี่ฟันยุบลงไปครึ่งหนึ่ง แต่กลับฟันเข้าไปได้ยาก
เฟิงเป่ยเฉินเอามือไขว้หลังยืนอยู่ข้างๆ แล้วหรี่ตายิ้มพร้อมถามว่า “เข้าใจรึยัง?”
ฉินซียังคงไม่เข้าใจ ถามว่า “ไม่เข้าใจ”
เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าหัวเราะลั่นทันที จากนั้นก็หยิบกระบี่กลับมาจากมือนาง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ฟันลงไปเช่นกัน เหตุการณ์คล้ายๆ กับฉินซี เพียงแต่จมลึกกว่าฉินซีเล็กน้อย เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “ต้นไม้นี้ไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้ประเภทไหน อย่าว่าแต่เจ้าที่ฟันไม่ขาด ต่อให้ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ใช้กำลังทั้งหมดก็ฟันมันไม่ขาดเช่นกัน นี่ก็คือจุดที่แปลกประหลาดของต้นไม้ต้นนี้ เจ้าว่ามันทนทานหรือไม่ ขนาดมนุษย์ธรรมดายังสามารถใช้มีดหั่นมันอย่างช้าๆ แต่กลับเหนียวทนที่สุด ลักษณะพิเศษที่เฉื่อยชาตายด้านของมัน ก็เหมือนกับการใช้ดาบฟันหินสักก้อนให้ขาดได้ง่ายๆ แต่ถ้าอยากจะใช้ดาบฟันเตียงนวมให้ขาดกลับเป็นเรื่องยาก ตอนนี้เจ้าเข้าใจข้อดีของมันหรือยัง?”
…………………………