พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1100 ดาวอัปมงคลของสำนักงามวิจิตร
ไม่ได้มีแค่คนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่ถูกเสียงระเบิดนี้ทำให้ตกใจ บนท้องฟ้าที่อยู่รอบๆ ล้วนมีคนเหาะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บ้างก็พุ่งตรงเข้ามาทางนี้
ในพลับพลาหลันถิงที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีคนหลายคนเหาะขึ้นฟ้าแล้วมองมาทางนี้เช่นกัน เป็นเหมียวจวินอี๋รวมทั้งผู้ติดตาม ทั้งยังมีโม่จวินหลันกับสามีด้วย
ตอนพวกเขายังไม่ปรากฏตัวก็ไม่เป็นไร แต่พอปรากฏตัวขึ้นมา พวกเหมียวอี้ก็รู้สึกบันเทิงแล้ว เขากำลังกลัวว่าจะหาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่าเสียงระเบิดรั้งเดียวจะทำให้เป้าหมายตกใจจนออกมาโดยตรง ไม่เปลืองแรงแล้ว ดีมาก!
“บังอาจ!”
เมื่อเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา เหมียวจวินอี๋ก็เรียกได้ว่าตะโกนอย่างแข็งกร้าว แสดงความน่าเกรงขามของลูกศิษย์ปราชญ์เต๋าออกมาจนหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นเหมียวอี้มุ่งหน้าเข้ามาด้วยความเร็ซ เหมียวจวินอี๋ก็ตัดสินได้ว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายไม่ต่ำ พลิกฝ่ามือนำกระบี่ใบมีดกว้างที่คล้ายกับของเฟิงเป่ยเฉินมาไว้ในมือ แล้วถลันตัวเข้ามาดักตรงหน้า
เหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาสะบัดทวนออกมาในชั่วพริบตาเดียว
พอลงมือสู้ก็รู้ถึงระดับลึกตื้น เหมียวจวินอี๋แอบร้องว่าแย่แล้ว ต้องโทษตัวเองที่ประมาท ไม่ควรใช้พลังต่อสู้ แต่ควรจะใช้ของวิเศษกวนใจอีกฝ่าย แล้วรอให้ทุกคนร่วมมือกันป้องกันศัตรู
ทว่ามาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ขนาดอาจารย์ของนางยังต้านทานไม่ไหว แล้วความสามารถอย่างนางจะสู้ได้อย่างไร
ทวนพุ่งเข้ามาตรงๆ อย่างไม่ผิดพลาด เกิดเสียงดังชัดใส กระบี่ยาวโดนทำลายหักจนเกิดเสียงดัง หัวทวนที่แหลมคมโจมตีต่อไปพร้อมเสียงมังกรคำราม เหมียวจวินอี๋ตกใจมาก ตกใจในความคมแหลมของทวนอีกฝ่าย และตกตะลึงกับวรยุทธ์ออกอีกฝ่ายด้วย ไม่รู้ว่าใครกันที่วรยุทธ์สูงถึงขนาดนี้แต่ยังถ่อมาทำลับๆ ล่อๆ ที่นี่
สะบัดแขนเสื้อสองข้างติดต่อกันหลายครั้ง หมุนตัวขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลบออกไป
เหมียวอี้ฟาดทวนเข้ามาในแนวขวาง ตุ้บ! ด้ามทวนกระแทกโดนแผ่นหลังของเหมียวจวินอี๋
“อั้ก!” พ่นเลือดสดออกมาคำหนึ่ง เหมียวจวินอี๋โดนกระแทกจนกระเด็นออกไป เรียกได้ว่าพอเจอหน้ากันก็บาดเจ็บสาหัสทันที
วรยุทธ์สู้เหมียวอี้ไม่ได้ ฝีมือก็สู้เหมียวอี้ไมได้ ทั้งสองไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันเลย ศึกนี้ไม่มีทางต่อสู้กันได้
เหมียวอี้รีบถลันตัวตามไป แล้วบีบคอเหมียวจวินอี๋หิ้วขึ้นมา ราวกับอินทรีเฒ่าขยุ้มนกน้อย
หญิงรับใช้ทั้งสองของเหมียวจวินอี๋พุ่งเข้ามาแย่งตัว เหมียวอี้ใช้มือข้างเดียวถือทวนแทงไปทางซ้ายและขวา สังหารจนเกิดละอองเลือดสองกลุ่มพร้อมกับเสียงกรีดร้องสองครั้ง ผู้ไม่เกี่ยวข้องที่เสนอหน้าออกมา ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ พวกนางจะต้านทานเหมียวอี้ในตอนนี้ได้อย่างไร
เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวน ใช้มืออีกข้างถือคน แล้วก็พุ่งไปหาโม่จวินหลัน
เมื่อเห็นมารดาได้รับบาดเจ็บ โม่จวินหลันก็ถือกระบี่พุ่งเข้ามาแล้ว
เซี่ยงไป่ถิงที่ถือทวนไว้ในมือกลับสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เดิมทีก็อยากจะพุ่งเข้าไปแสดงความสามารถสักหน่อย ไปช่วยเหมียวจวินอี๋อีกแรง ปรากฏว่าเห็นเหมียวจวินอี๋ต้านทานไม่ไหวแม้กระทั่งการโจมตีครั้งเดียวของเหมียวอี้ แล้วก็เห็นเหมียวอี้สังหารหญิงรับใช้สองคนของเหมียวจวินอี๋ที่วรยุทธ์สูงกว่าเขา แล้ววเขาจะกล้าก้าวมาข้างหน้าได้อย่างไร
ขระที่ตกใจจนลุกลี้ลุกลนถอยหลัง ก็ตะโกนเสียงดังว่า “หลันหลัน ใช้กำลังปะทะตรงๆ ไม่ได้!”
เห็นมารดาตกอยู่ในมืออีกฝ่ายทันทีที่พบหน้ากัน ชีวิตถูกบีบอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว โม่จวินหลันลูบหน้าปะจมูก ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าเป็นใครมาทำกำเริบเสิบสานที่นี่!”
เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะสะบัดเก็บทวนเกล็ดย้อนในมือ แล้วเด้งกรงเล็บไปที่นางอีก
โม่จวินหลันตกใจมาก ขณะที่ถอยหลังก็ฟันกระบี่ออกมาโดยจิตใต้สำนึก ปรากฏว่ากระบี่ยาวค้างอยู่กลางอากาศ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเหมียวอี้ใช้มือเปล่าบีบตัวกระบี่ไว้ ตัวเองอยากจะชักกลับมาก็ชักไม่ได้ ถึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตัวเองเกินไปมาก
เหมียวอี้ที่บีบตัวกระบี่เอาไว้ถือโอกาสส่งออกไป โม่จวินหลันจับกระบี่วิเศษไม่อยู่มือทันที ด้ามกระบี่กระแทกย้อนกลับมาชนหน้าอกหนาง
“อั้ก!” โม่จวินหลันกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง เงยหน้าขึ้นฟ้ากระเด็นถอยหลัง
เหมียวจวินอี๋ที่โดนบีบอยู่ในมือเหมียวอี้มองดูลูกสาวได้รับบาดเจ็บ แต่ตัวเองกลับกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ เรียกได้ว่าโมโหจนดวงตาแทบถลนออกมา จากนั้นก็ได้แต่ดูมือมารอีกข้างของเหมียวอี้ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว ยื่นไปบีบคอลูกสาวตัวเองเอาไว้
เหมียวอี้ลงมือจับตัวทั้งแม่ทั้งลูกสาวติดต่อกัน เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น รวดเร็วเป็นที่สุด
จนกระทั่งคนที่อยู่รอบข้างตามมาทัน สองแม่ลูกก็ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว อย่าว่าแต่ลูบหน้าปะจมูก ศักยภาพของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ คนทั่วไปไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก
เหมียวอี้หิ้วคนทั้งสองไปเหยียบลงบนหลังคาของพลับพลาหลันถิง จากนั้นกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ ไม่ได้รีบจากไปในทันที
ตอนนี้ทั้งสำนักงามวิจิตรมีเสียงระฆังเตือนภัยส่งเสียงลากยาว ยอดฝีมือของสำนักงามวิจิตรได้ยินกันหมด กำลังพาหันเหาะมาทางนี้ โม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทั้งพลับพลาหลันถิงเรียกได้ว่าถูกล้อมเอาไว้แล้ว ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ถือของวิเศษหน้าตาประหลาดหายากไว้ในมือและกำลังจ้องมองอย่างดุร้าย เหมียวอี้ที่บีบคอผู้หญิงสองคนยืนอยู่บนหลังคาย่อมสงบเยือกเย็น มองกลุ่มคนราวกับมองสิ่งของ ตอนนี้เขาไม่เห็นสำนักงามวิจิตรอยู่ในสายตาเลย
โม่หมิงเหยียบลงบนหลังคาที่อยู่ติดกัน เห็นภรรยากับลูกสาวมีรอยเลือดที่มุมปาก ปิ่นปลิวผมกระจาย สภาพสะบักสะบอมมาก เรียกได้ว่าใบหน้าแฝงความเศร้าโศกปนโมโห
เซี่ยงไป่ถิงถือดาบเหาะไปเหยียบข้างกายเขาแล้วกล่าวปนเสียงสะอื้นว่า “ศิษย์ไร้ความสามารถ!”
โม่หมิงยื่นมือผลักเขาไปอีกด้านเสียเลย แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ข้าทำดีต่อผู้อื่นมาตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยล่วงเกินใครง่ายๆ ท่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดต้องจับตัวลูกเมียข้าไป?”
ลูกเมียของเจ้าเหรอ? ยังไม่รู้อีกว่าเป็นลูกเมียของใคร! เหมียวอี้แสยะยิ้ม มองดูหน้าตาของโม่จวินหลันให้ละเอียด พบว่าไม่เหมือนโม่หมิงเลยจริงๆ แต่มีเงาของเฟิงเป่ยเฉินอยู่หลายส่วน การสวมหมวกเขียว[1]ใบนี้ ถ้าให้โม่หมิงรู้ความจริง ถ้ารู้ว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่เลี้ยงถนอมมาหลายปีเป็นลูกสาวคนอื่น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโมโหจนตายหรือเปล่า
เขาเหลือบตาขึ้นมองโม่หมิง ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้หน้ากากบนใบหน้าสะเทือนปลิวออกไป เผยโฉมหน้าที่แท้จริง
“ไอ้เหมียวจัญไร!”
ในกลุ่มคนมีเสียงร้องอุทานทันที เหมียวอี้ไม่ได้โผล่หน้ามาที่สำนักงามวิจิตรเป็นครั้งแรก มีคนไม่น้อยจำเขาได้ เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเหมียวอี้จะมีศักยภาพถึงขั้นนี้ ขนาดเหมียวจวินอี๋ยังไร้กำลังจะโต้ตอบ
“เหมียวอี้!” โม่หมิงอุทานอย่างตกใจ “จื่อหยางให้เจ้ามาเหรอ?”
ตอนแรกทุกคนต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้ชิงตัวเยารั่วเซียนไปจากสำนักงามวิจิตร สุดท้ายก็หายตัวไปอย่างประหลาดตอนที่อยู่ในมือเหมียวอี้ มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าเยารั่วเซียนยังอยู่ในมือเหมียวอี้ ตอนนี้จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถ่อมาจับตัวเหมียวจวินอี๋กับโม่จวินหลัน ทำให้โม่หมิงอดไม่ได้ที่จะสงสัยเรื่องนี้
ดวงตาเซี่ยงไป่ถิงกลับฉายแววระแวงสงสัย เรื่องที่ลูกศิษย์ของเขาสะกดรอยตามเหมียวอี้ เขานั้นรู้อยู่แก่ใจ
“จื่อหยางเหล่าหยางอะไรกัน” เหมียวอี้หลุดหัวเราะ แล้วประกาศด้วยน้ำใสใจจริงว่า “บอกเฟิงเป่ยเฉินด้วย ว่าลูกศิษย์ของเขาตกอยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าขนของข้าเส้นผมหายไปแม้แต่เส้นเดียว ข้าจะทำให้เขาได้เห็นดีแน่!”
พูดจบก็ไม่เปลืองคำพูดอะไรอีก เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุย และไม่ได้เตรียมจะมาเปิดฉากสังหารด้วย หิวผู้หญิงทั้งสองคนเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
ในมือเขามีตัวประกัน ไม่มีใครกล้าลงมือขัดขวาง แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามไป แต่นอกจากเหมียวจวินอี๋ ที่สำนักงามวิจิตรก็ไม่มีนักพรตบงกชทองคนอื่นแล้ว ที่เหลือเป็นนักพรตทั่วไป ถึงแม้ในมือเหมียวอี้จะถือคนสองคนอยู่ แต่พวกเขาก็ตามเหมียวอี้ไม่ทัน ไม่นานก็ได้แต่มองเหมียวอี้หายลับไปในท้องฟ้าตาปริบๆ หมดหนทางที่จะทำอะไรแล้ว
ลูกศิษย์ของสำนักงามวิจิตรไม่น้อยที่ทอดถอนใจ ขอแค่ไอ้เหมียวจัญไรคนนี้มาที่สำนักงามวิจิตร สำนักงามวิจิตรก็จะต้องเกิดเรื่องขึ้น ช่างเป็นดาวอัปมงคลของสำนักงามวิจิตรจริงๆ…
จนกระทั่งออกห่างสำนักงามวิจิตรมาไกลแล้ว แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา เหมียวอี้ถึงได้แฝงตัวเข้าไปในป่าภูเขาแห่งหนึ่ง ผนึกวรยุทธ์ของทั้งสองแล้วโยนเข้ากระเป๋าสัตว์
เหมียวอี้หันมองภูเขาเขียวที่อยู่รอบๆ แล้วนั่งยองๆ วักน้ำล้างหน้าริมลำธาร ลุกขึ้นนำระฆังดาราออกมาติดต่อฉินซี
ฉินซีในเวลานี้ยังคงอยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่น พอระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติขยับ นางก็มองไปยังเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังออกแรงทำงานไม้แวบหนึ่ง แล้วยื่นมือไปรับเปลือกไม้ที่ถูกฟันปลิวเข้ามา ถือโอกาสกำไว้ในมือ แล้วหันตัวเหาะออกไป บทจะไปก็ไป ไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ
เฟิงเป่ยเฉินหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย นิสัยประหลาดของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาพูดไม่ออกเหมือนกัน
เมื่อกลับถึงห้องสมาธิที่ตัวเองใช้ฝึกตนในตำหนักอู๋เลี่ยง ฉินซีก็หยิบระฆังดาราออกมาตอบ : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ถามว่า : เหมียวจวินอี๋กับโม่จวินหลันอยู่ในมือข้าแล้ว เวยเวยเป็นอย่างไรบ้าง?
ฉินซี : ตอนนี้นางยังไม่เป็นอะไร เฟิงเป่ยเฉินกลัวว่าเจ้าจะมาหาได้ทุกเมื่อ กำลังรีบทำอาวุธชิ้นหนึ่งไว้ต้านทานทวนวิเศษของเจ้า ตอนนี้ยังไม่มีเวลาสนใจนาง
เหมียวอี้แปลกใจทันที ที่พิภพเล็กยังมีอาวุธอะไรที่สามารถต้านทานทวนวิเศษผลึกแดงบริสุทธิ์ของตนได้อีก? จึงซักไซ้ถามทันทีว่า : อาวุธอะไร?
ฉินซีเล่าสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินกำลังฟังให้ทำทันที
เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจอยู่บ้าง ยังมีไม้ประเภทนี้อยู่ด้วยเหรอ ขนาดไฟก็ยังยากที่จะรับมือกับมันไหว ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นครั้งนี้ตนก็ลำบากแล้ว
ฉินซี : ข้าหยิบไม้นั่นมาด้วยนิดหน่อย เดี๋ยวจะใช้อินทรีเทพส่งไปให้ เจ้าก็ปล้นอินทรีเทพเทพไว้ตามทิศทางที่ระบุ ดูว่าสามารถหาวิธีการแก้ไขได้รึเปล่า ถ้าหาทางแก้ไขไม่ได้ เจ้าก็อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ข้าจะคอยดูอยู่ที่นี่ เวยเวยคงจะยังไม่เป็นอะไร…
แดนโพ้นสวรรค์ นอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า หยางชิ่งกำลังยืนรออยู่ใต้บันไดสูง ขณะเดียวกันก็มองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่แดนโพ้นสวรรค์
ผ่านไปไม่นาน บ่าวหญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่นอกตำหนัก แล้วกล่าวเสียงดังว่า “หยางชิ่ง ท่านปราชญ์เรียกพบ”
หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ แล้วรีบก้าวเท้าขึ้นบันไดไป พอเดินมาถึงหน้าประตูตำหนัก ก็เห็นมู่ฝานจวินที่นั่งสง่าอยู่ในตำหนักลืมตาเล็กน้อย นางกำลังจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ ลักษณะท่าทางแบบนั้นทำให้คนรู้สึกกดดันจริงๆ
หยางชิ่งรีบเดินเข้ามาคำนับในตำหนัก “ข้าน้อยคำนับท่านปราชญ์”
มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องสูงกล่าวถามอย่างเย็นเยียบว่า “อวิ๋นจือชิวมีธุระอะไรต้องให้เจ้ามาพบข้า?”
หยางชิ่งหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาทันที แล้วใช้สองมือชูขึ้นเหนือศีรษะมอบให้
มู่ฝานจวินขยุ้มมือข้างที่วางบนหัวเข่า ดูดแผ่นหยกมาไว้ในฝ่ามือโดยตรง พอร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านเนื้อหาข้างใน ดวงตาหงส์ทั้งคู่ก็เบิกโพลงทันที
อวิ๋นจือชิวเป็นคนเขียนเนื้อหาในแผ่นหยกด้วยตัวเอง เนื้อหาหลักคือยืนยันว่านางส่งหยางชิ่งมาจริงๆ เนื้อหาหลักในนั้นบรรยายเรื่องที่เหมียวอี้กับฉินเวยเวยไปล่องเรือเที่ยวข้างนอกแล้วโดนเฟิงเป่ยเฉินลอบโจมตี
ความรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดในใจมู่ฝานจวินยากจะอธิบายออกมาได้ ไม่ใช่เพราะเฟิงเป่ยเฉินมาลอบโจมตีถึงแดนเซียน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะมีศักยภาพถึงขั้นโจมตีให้เฟิงเป่ยเฉินถอยได้
นางกดแผ่นหยกในมือ จ้องมองลงมาที่หยางชิ่งพร้อมถามว่า “อวิ๋นจือชิวทำไมไม่มาพูดด้วยตัวเอง ทำไมต้องให้เจ้ามาเจรจา?”
หยางชิ่งกุมหมัดตอบอย่างเปิดเผยว่า “ตอบท่านปราชญ์ เฟิงเป่ยเฉินรังแกกันเกินไปแล้ว ท่านทูตเดือดดาลมาก รวบรวมกำลังพลหนึ่งล้านของสายมะโรงแล้ว พร้อมทั้งเรียกรวมกลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรด้วย เตรียมจะนำทัพไปโจมตีแดนอู๋เลี่ยง ถอนรากถอนโคนอำนาจของเฟิงเป่ยเฉินให้หมดสิ้น เพื่อที่จะขอการสนับสนุนจากอวิ๋นอ้าวเทียน ท่านทูตไปที่นภาจอมมารแล้ว เวลากระชั้นชิดมาก ลำบากที่ไม่มีวิชาแยกร่าง จึงสั่งให้ข้าน้อยรับอำนาจแทน มาอธิบายกับท่านปราชญ์ขอรับ”
มู่ฝานจวินดวงตาวูบไหว นำข้อมูลที่อยู่ในคำพูดกับสถานการณ์ที่จะตามมาหลังจากเกิดเรื่องมาครุ่นคิดในสมองแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นก็แสยะยิ้มไม่หยุด “กล้าใช้วิธีลงมือทำก่อนแล้วค่อยรายงายกับข้าเหรอ คิดว่าข้าทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้รึอย่างไร? เจ้าใจกล้าไม่เบา คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”
หยางชิ่งรีบตอบว่า “ข้าน้อยหวาดกลัว ก่อนจะมาท่านทูตก็ย้ำกับข้าซ้ำๆ ว่าต้องเคารพให้เกียรติท่านปราชญ์ ขออาศัยแค่กำลังพลของสายมะโรงสายเดียว ต่อให้โจมตีแดนอู๋เลี่ยงได้ ก็ยังคงเป็นท่านปราชญ์เท่านั้นที่เป็นผู้นำสูงสุด”
…………………………
[1] 戴绿帽子 สวมหมวกเขียว อุปมาถึงผู้ชายที่โดนภรรยานอกใจ