พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1107 ยุคสมัยของเจ้าจบลงแล้ว!
เมื่อเห็นเหมียวอี้ขับเหยี่ยวม่วงไล่ตามมาข้างหลัง เฟิงเป่ยเฉินก็เรียกได้ว่าร้อนใจดั่งไฟเผา แต่กลับโดนตั๊กแตนห้าตัวนั้นตามติดเกาะแกะพัวพัน
ตั๊กแตนห้าตัวถึงแม้จะถ่วงให้เฟิงเป่ยเฉินเหาะช้าลงได้ แต่หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษก็ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเหมือนกัน พัวพันก็ส่วนพัวพัน แต่กลับไม่มีทางเข้าใกล้ตัวเฟิงเป่ยเฉินได้เลย กระแสลมที่หมุนวนอยู่รอบกายเฟิงเป่ยเฉินส่งผลกระทบต่อการบินของตั๊กแตนเยอะมาก ทุกครั้งที่แทรกซึมเข้าไปโจมตีและเฉียดผ่านเฟิงเป่ยเฉิน กลับถูกเฟิงเป่ยเฉินใช้กระบี่ฟันอย่างบ้าคลั่งด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะกระดองเกราะแข็งแรงทนทาน เกรงว่าคงจะเสียหายด้วยน้ำมือเฟิงเป่ยเฉินทั้งหมดไปตั้งนานแล้ว
บนร่างกายของตั๊กแตนห้าตัวในตอนนี้โดนเฟิงเป่ยเฉินฟันจนเป็นรอยหลายรอย
เหยี่ยวม่วงพุ่งเข้ามา จู่ๆ เหมียวอี้ก็กระโจนออกจากหลังของเขา พุ่งเร็วราวกับฝนดาวตก ทะยานขึ้นท้องฟ้าพร้อมสะบัดทวนออกมาหนึ่งครั้ง สังหารเข้าไปในวงล้อมโจมตีของตั๊กแตนโดยตรง
เฟิงเป่ยเฉินที่ตกตะลึงพรึงเพริดลนลานโบกกระบี่ฟัน ขณะเดี๋ยวกันก็โบกมือไม่หยุด กระแสลมที่รุนแรงพัดม้วนออกมาดันตั๊กแตนที่แทรกโจมตีให้ออกไป
แกร๊ง! เหมียวอี้วาดทวนตัดสลับกัน เป็นเหมือนอย่างเคย กระบี่วิเศษในมือเฟิงเป่ยเฉินโดนฟันขาดครึ่งในชั่วริบตาเดียว
เฟิงเป่ยเฉินทะยานขึ้นฟ้าแล้วหมุนตัว ยิงกระบี่ที่หักไปทางเหมียวอี้ ใช้สองมือวาดเป็นวงกลมออกมาทั้งวงใหญ่ทั้งวงเล็ก กระแสอากาศที่อยู่รอบข้างแทบจะก่อตัวเป็นรูปร่าง ทำให้หัวทวนแหลมคมที่เหมียวอี้แทงโจมตีเข้ามาเบี่ยงเบนไป ตั๊กแตนห้าตัวก็ถูกกระแสอากาศที่รุนแรงโจมตีจนลอยมั่วเป็นวงกลมเช่นกัน
อาศัยโอกาสนี้ เฟิงเป่ยเฉินปลีกตัวหนีไปได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าความเร็วในการบินของตั๊กแตนนั้นเร็วกว่าเขา พอเพิ่งจะฝ่าวงล้อมได้ ตั๊กแตนห้าตัวก็เข้ามาล้อมโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เฟิงเป่ยเฉินสองตาแทบจะถลนออกมา ในขณะที่โดนพัวพัน ก็รู้สึกว่าใกล้จะประสาทเสียแล้ว
เหมียวอี้ที่โจมตีเข้ามาอีกครั้งแทงทวนออกมาอีก เฟิงเป่ยเฉินใช้ฝ่ามือฟาดรับทวน ฝ่ามือหมุนวนต่อเนื่องกันราวกับวงล้อไฟ กระแสอากาศที่รุนแรงกวนให้หัวทวนอันแหลมคมของเหมียวอี้ที่แทงเข้ามาสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง
เหมียวอี้ไม่ใช้วิธีการเดิม เก็บทวนแล้วแทงอีกครั้ง เป็นตอนที่เฟิงเป่ยเฉินโบกแขนโน้มนำ บนหัวทวนแหลมคมพลันมีหมอกสีแดงพ่นออกมาราวกับผ้าไหม
ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นโจมตีเข้ามา ถึงแม้จะถูกเฟิงเป่ยเฉินใช้ฝ่ามือกวนให้กระจายไป แต่กลับพัดม้วนอยู่ทั่วทุกที่รอบกายเขาตามกระแสอากาศ
เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่กลับรู้สึกได้ถึงปราณชั่วร้ายที่อยู่ในนั้น รีบร้อนร่ายอิทธิฤทธิ์โบกแขนเสื้อไล่ออกไป
ช่องโหว่เปิดเผยออกมาทันที เหมียวอี้มีหรือที่จะพลาดโอกาสนี้ เงาทวนที่รวดเร็วดุดันพลันรวมกันเข้ามา มีเพียงเงาทวนที่กะพริบแสงเย็นหนึ่งสาย พุ่งออกไปแล้วก็หยุด
แกร๊ง! เกิดเสียงดังฟังชัด
เฟิงเป่ยเฉินคว้าด้ามทวนเอาไว้ แล้วเบิกตากว้างก้มมองที่ท้องตัวเองด้วยความตกใจ
หัวทวนแหลมคมแทงทะลุเกราะรบผลึกทองบริสุทธิ์บนร่างกายเขาแล้ว ปราณปีศาจโลหิตที่ไหลออกมาจากบนด้ามทวนกรอกเข้าไปในร่างกายเขา เฟิงเป่ยเฉินกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ชั่วพริบตาเดียวผิวกายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ราวกับถูกไฟลวกมา
โช้งเช้ง โช้งเช้ง ตั๊กแตนที่แทรกเข้ามาโจมตีขูดรอยลึกหลายรอยไว้บนเกราะรบด้านหลังของฟิงเป่ยเฉินทันที
เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวน ส่วนมืออีกข้างชูขึ้นเล็กน้อย หยุดยั้งตั๊กแตนไม่ให้โจมตีต่อ ตอนนี้เขากับเฟิงเป่ยเฉินกำลังเผชิญหน้าและคุมเชิงกันอยู่!
พวกหลี่โม่จินที่ตามมาไกลๆ รีบหยุดอยู่กับที่ เมื่อได้เห็นฉากนี้ก็พากันตะลึงค้างแล้ว!
ทันใดนั้น เหมียวอี้ก็พบความผิดปกติ พบว่าเฟิงเป่ยเฉินยกมุมปากยิ้มชั่วร้ายมาก เขาลองชักทวนในมือกลับมา แต่กลับพบว่าถูกเฟิงเป่ยเฉินกำไว้แน่นมาก อยากจะดึงกลับมาก็ดึงไม่ได้
เมื่อมองไปที่สีหน้าของเฟิงเป่ยเฉินอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าสีแดงฉานที่โดนปราณปีศาจโลหิตกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว เพลิงจิตพลันออกไปอย่างรวดเร็วตามช่องทางที่อยู่ภายในด้ามทวน
เป็นอย่างที่คาดไว้ ฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่าของเฟิงเป่ยเฉินตบเข้ามาหนึ่งครั้งอย่างกะทันหัน ฝ่ามือสีแดงปล่อยปราณปีศาจโลหิตที่รุนแรงออกมาหนึ่งกลุ่ม เงาฝ่ามือสีแดงที่ขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่าตบไปทางเหมียวอี้ด้วยความบ้าคลั่ง
เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว เหมียวอี้ที่ชักทวนกลับมาไม่ได้พลันตบฝ่ามือออกไปรับอย่างดุร้าย
บึ้ม! พลังฝ่ามือของทั้งสองชนกันและทลายลงกลางอากาศ เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่า พลังฝ่ามือของเฟิงเป่ยเฉินโผกลับ อานุภาพของฝ่ามือโลหิตตีฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้แล้ว โจมตีโดนร่างกายเหมียวอี้เข่าอย่างจัง ทำให้ร่างของเหมียวอี้โอนเอน
เหมียวอี้ที่โดนฝ่ามือโลหิตหน้าแดงฉานในชั่วพริบตาเดียว ราวกับโดนจิตมารเข้าแทรก เฟิงเป่ยเฉินเห็นภาพนี้แล้วหัวเราะเยาะ “หึหึ” เหยี่ยวม่วงที่บินร่อนอยู่บนท้องฟ้าตกใจทันที
แต่เสียงหัวเราะของเฟิงเป่ยเฉินพลันหยุดชะงัก เขาก้มมองหัวทวนที่เสียบอยู่ที่ท้องตัวเอง พอเงยหน้ามองเหมียวอี้อีกครั้ง ก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าหวาดผวาแล้ว เขาออกแรงโบกฝ่ามือติดต่อกันหลายครั้ง เหมือนอยากจะไล่ของที่อยู่ในร่างกายให้ออกมา
ส่วนเหมียวอี้ที่หน้าแดงฉานก็ใช้ฝ่ามือข้างเดียวตบลงไปหนึ่งที สีของเลือดชั่วร้ายบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตาเดียว สีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาแสยะหัวเราะพร้อมบอกว่า “ของที่ข้าควบคุมได้ จะทำให้ข้าบาดเจ็บได้อย่างไร! เฒ่าจัญไร หลานชายเจ้าก็ตายด้วยท่านี้แหละ ถ้าเก่งนักก็ขับสิ่งที่อยู่ในร่างกายอกมาสิ!”
พอพูดจบ มือก็ไหลไปข้างหน้าตามด้ามทวน พอคว้าเอาไว้ได้ ก็สะบัดร่างกายขึ้นมา เหาะขึ้นมาด้วยสองขาที่เหมือนไม้กลอง แล้วใช้ขารัวถีบติดต่อกันหลายครั้ง “แกร๊งๆ” ชั่วพริบตาเดียวก็ถีบบนเกราะรบที่หน้าอกของเฟิงเป่ยเฉินไปสิบกว่าครั้งติดต่อกัน
“อั้ก…” เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ในที่สุดก็ปล่อยมือแล้ว ตอนที่หัวทวนชักออกมาจากท้อง ก็มีเลือดกระจายออกมาด้วย ทั้งตัวกระเด็นถอยหลังออกไป แล้วก็ดันทุรังโบกแขนสองข้างพยุงร่างให้นิ่งอยู่บนฟ้าที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ร่างที่ลอยอยู่บนฟ้าค่อนข้างโอนเอน เอามือกุมท้องพลางถลึงตามองเหมียวอี้ ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เสียงมังกรคำรามดังขึ้น เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้าโบกทวนชี้ไปทางเฟิงเป่ยเฉิน ใช้ทวนถามว่า ยังกล้าสู้อีกมั้ย!
เฟิงเป่ยเฉินยังจะมีแรงเหลือให้ต่อสู้เสียที่ไหนกัน ความทรมานที่อยู่ในท้องตอนนี้ คนนอกไม่มีทางจินตนาการได้ ร่างกายยิ่งโอนเอนสั่นไหวหนักขึ้นเรื่อยๆ!
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ในใจเหมียวอี้ก็ยังแอบทึ่ง
วันนี้นับว่าเขาได้ทำความรู้จักกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินใหม่อีกครั้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตาแก่เวรนี่จะไม่กลัวปราณปีศาจโลหิต ปราณปีศาจโลหิตที่ตนกรอกเข้าไปในร่างกายเขา คาดไม่ถึงว่าว่าจะถูกเขาแปลงให้กลายเป็นฝ่ามือโลหิตแล้วตบออกมา
“ไว้ชีวิตข้า…ไว้ชีวิตข้าสักครั้ง…ข้าจะให้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกับเจ้า…” เฟิงเป่ยเฉินส่งเสียงร้องขณะหายใจถี่กระชั้น ไม่ได้ชอบหนีอย่างเดียว เห็นได้ชัดว่ากระดูกไม่แข็งด้วย
“เฒ่าจัญไร เจ้าครอบครองแดนอู๋เลี่ยงมาแสนกว่าปี นับว่าเสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยมาเต็มที่แล้ว วันนี้…ยุคสมัยของเจ้าจบลงแล้ว! “เหมียวอี้กล่าวอย่างทะนงองอาจ แล้วถลันตัวเข้าไป ใช้ทวนเกล็ดย้อนในมือฟันตรงเข้าไป ปั้ง! ทวนกระแทกที่บ่าของเฟิงเป่ยเฉินพอดี
“พลั่ก!” เฟิงเป่ยเฉินกระอักเลือดสดอีกคำท่ามกลางเสียงกระดูกแตก ร่างดิ่งตกลงมาจากฟ้าสูง กระแทกพื้นเสียงดังโครม เกิดเป็นหลุมลึกที่มีฝุ่นควันปลิวขึ้นมา
ตรงที่ไกลๆ ฉินซีที่ได้เห็นฉากนี้ทำสีหน้าสับสน ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากับเฟิงเป่ยเฉินมาหลายปี
บนใบหน้าของหลี่โม่จินและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความหวาดผวา!
ขนาดปราชญ์เต๋ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไอ้เหมียวจัญไร แล้วพวเรายังจะสู้ทำบ้าอะไรอีกล่ะ!
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่เหาะมาจากนภาอู๋เลี่ยงได้เห็นสถานการณ์นี้ ก็หนีกระเจิดกระเจิงไปทั่วสารทิศทันที หลี่โม่จินกับเหมียวจวินอี๋สบตากันแวบหนึ่งก่อนจะเลี้ยวหนี ตอนที่เหมียวจวินอี๋หนีก็ไม่ลืมที่จะจูงมือลูกสาวตัวเอง ส่วนโม่หมิงก็แค่เอ่ยปากเรียกส่งเดชคำเดียว
กัวเหรินกวงกับหัวอวี้ที่อยู่ข้างหลังก็เลี้ยวหนีทันทีเช่นกัน ที่ว่ากันว่า ‘ต้นไม้ล้มลิงหนีกระเจิง’ ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!
เหมียวอี้หันกลับมามองด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง กวาดสายตามองกลุ่มคนที่แตกซ่าน คนมากมายขนาดนี้หนีไปทั่วสารทิศ เขาเองก็จับไม่ไหวเหมือนกัน เพียงแต่พวกลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉิน มีหรือที่จะเขาจะปล่อยไป!
ตั๊กแตนห้าตัวไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว มีสองตัวไล่ตามหลี่โม่จิน ส่วนอีกสามตัวก็แบ่งกันไล่ตามเหมียวจวินอี๋และลูกสาว กัวเหรินกวงและหัวอวี้
เหยี่ยวม่วงที่บินร่อนอยู่บนท้องฟ้ากลายร่างเป็นคนแล้ว ลิงเทียนเรียกได้ว่าเงยหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงร้อง ระบายอารมณ์สะใจออกมา โดนหกปราชญ์ข่มมานานขนาดนี้ เมื่อได้เห็นจุดจบในวันนี้ของเฟิงเป่ยเฉินด้วยตัวเอง ในใจก็เรียกได้ว่าสะใจมาก
เหมียวอี้ถลันตัวลงมาที่พื้น โบกมือไล่ฝุ่นควันที่ตลบอบอวล หัวทวนแหลมคมยื่นออกมา เขี่ยใบหน้าเปื้อนเลือดของเฟิงเป่ยเฉินที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง
เหมียวอี้ลงมือผนึกวรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินก่อน กลัวว่าตาแก่เวรนี่จะเล่นไม่ซื่อ จากนั้นโยนเชือกมัดเซียนออกมามัด พอโบกนิ้วกระตุ้นหนึ่งที กระบี่เล็กเพลิงจิตเล่มหนึ่งถึงได้ลอยออกมาจากบาดแผลของเฟิงเป่ยเฉิน
ไม่ได้ฆ่าเขา มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่เป็นภาคคนยังอยู่ในมือเขา
หลังจากรูดของมีค่าบนตัวเฟิงเป่ยไปหมดแล้ว ถึงได้เก็บคนเอาไว้ จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไปรวมตัวกับหลิงเทียน และไม่นานก็ตามทันหลี่โม่จินที่ถูกตั๊กแตนสองตัวตามพัวพัน
เหมียวอี้โบกทวนชี้ “จะสู้หรือจะยอม!”
เมื่อเผชิญกับพลังอำนาจที่เหมียวอี้โจมตีชนะเฟิงเป่ยเฉิน หลี่โม่จินก็ทำได้เพียงพ่นคำพูดออกมาอย่างลังเลว่า “ยอมแพ้!”
พอเหมียวอี้โบกมือ ตั๊กแตนสองตัวก็บินกลับเข้ามาทันที หลี่โม่จินวางอาวุธแล้ว หลิงเทียนถลันตัวเข้าไปผนึกวรยุทธ์ของเขา รูดของบนตัวเขาจนหมดสิ้น แล้วเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์
ทั้งสองเปลี่ยนไปสู้กับคนต่อไป หลังจากตามทันแล้ว เหมียวอี้ก็ดบกทวนตะคอกถาม “จะสู้หรือจะยอม!”
“ยอม! ยอม! ยอม!” เหมียวจวินอี๋ตะโกนเสียงดังสามครั้ง แต่กลับกางแขนสองข้างบังป้องโม่จวินหลัน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูกสาวข้า ปล่อยนางไป!”
ตอนนี้โม่หมิงก็เหาะเข้ามาแล้วเช่นกัน มาถามว่า “เหมียวอี้ ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้เรื่องจริงรึเปล่า?”
เหมียวจวินอี๋ได้ยินแล้วหวาดระแวงกลัว รู้ว่าโม่หมิงกำลังถามอะไร โม่จวินหลันก็มองเหมียวอี้อย่างค่อนข้างหวาดกลัวเช่นกัน
เหมียวอี้เอียงหน้ามอง จ้องโม่หมิงที่เป็นชายชราผมหงอกขาวเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “โกหก ข้าจงใจทำให้เฟิงเป่ยเฉินโมโห!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวจวินอี๋ก็มองไปทางเหมียวอี้ด้วยแววตาซาบซึ้ง
โม่หมิงกลับมีอารมณ์ฮึกเหิม กางแขนสองข้างขวางตรงหน้าสองแม่ลูก แล้วถามเสียงกังว่า “เหมียวอี้ เฟิงเป่ยเฉินแพ้ให้เจ้าแล้ว ทำไมต้องฆ่าทิ้งให้หมด?”
หลิงเทียนได้ยินแล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองมา ขณะกำลังจะลงมือ ก็คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยื่นทวนมาขวางเขาไว้ ย้ายสายตาจากใบหน้าโม่หมิงไปที่ใบหน้าโม่จวินหลัน แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าสามคนไปเถอะ!”
“พวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ของเฟิงเป่ยเฉินนะ ถ้าปล่อยพวกเขาไป แล้ววันไหนถ้าถูกแว้งกัดขึ้นมาล่ะ?” หลิงเทียนตกใจมาก
เหมียวอี้ไม่สนใจ โบกมือตะคอกว่า “ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนไป รีบไสหัวไป!”
โม่หมิงกุมหมัดคารวะ เหมียวจวินอี๋กลับโค้งเอวค้างไว้ แววตาที่มองเหมียวอี้ได้อธิบายทุกอย่างไว้หมดแล้ว
สามคนพ่อแม่ลูกรีบจากไปอย่างรวดเร็ว…
กัวเหรินกวงกับหัวอวี้น่าอนาถมาก รอจนกระทั่งเหมียวอี้กับหลิงเทียนตามมาถึง ตั๊กแตนก็กำลังไต่กัดกินศพของทั้งสองแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ของนภาอู๋เลี่ยงก็หนีไปหมดแล้ว เหมียวอี้กับหลิงเทียนลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือนภาอู๋เลี่ยง ในทิวทัศน์อุทยานด้านล่างที่ราวกับแดนเซียนไม่เห็นมีเงาใครสักคน
แต่ก็ไม่ได้หนีไปหมดหรอก ยังเหลืออยู่อีกคน ฉินซีเหาะเข้ามาเพียงลำพัง มายืนอยู่ตรงข้ามเหมียวอี้
หลิงเทียนกล่าวกลั้วหัวเราะเบาๆ ข้างหูเหมียวอี้ “คุณชายห้า ท่านมีวาสนานะ เมียของเฟิงเป่ยเฉินงามเลิศล้ำแบบหาพบได้ยากในโลกมนุษย์จริงๆ นางเป็นฝ่ายมาหาถึงที่แล้ว!”
เหมียวอี้กลอกตามองเขา
ฉินซีทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดดูหมิ่นของหลิงเทียน นางกล่าวอย่างสุขุมใจเย็นว่า “เฟิงเป่ยเฉินพูดจาเหลวไหลทัง้นั้น นอกจากตบหน้านางหนึ่งฉาด เขาก็ไม่ได้แตะต้องนางเลย เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจ”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เฟิงเป่ยเฉินรอดชีวิต ท่านจะทำอย่างไร?”
พอได้ยินบทสนทนานี้ หลิงเทียนที่กำลังประหลาดใจก็พบว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว
…………………………