พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1109 เฟิงเป่ยเฉินล้ม
ในห้องอีกห้องหนึ่ง หลังจากเหมียวอี้โยนพู่กัน แท่นฝนหมึกและกระดาษให้ ก็เตือนเพียงว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เจ้าฝึกได้เท่าไรก็เขียนออกมาเท่านั้น ถ้าเจ้าเขียนต่างจากอาจารย์ของเจ้า ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน”
หลี่โม่จินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “อาจารย์ข้าจะเขียนเหรอ?”
“ข้าว่าเจ้ารู้จักเฟิงเป่ยเฉินดีกว่าข้านะ เจ้าคิดว่าเขากระดูกแข็งขนาดไหนล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ
ความเงียบช่างมีค่าดั่งทองจริงๆ หลี่โม่จินไม่พูดอะไรมากแล้ว เริ่มฝนหมึกอย่างช้าๆ ยกพู่กันขึ้นมาเขียนของตัวเอง…
เหมียวอี้ถึงขั้นไม่ส่งคนไปเฝ้าเขา เหาะขึ้นมาเหยียบบนตึกที่สูงที่สุดของนภาอู๋เลี่ยง จ้องมองฉินซีและลูกสาวเดินเคียงข้างกันอยู่ในสวนดอกไม้ ไม่น่าเชื่อว่าฉินซีที่มีใบหน้าเย็นชามาตลอดจะเผยรอยยิ้มออกมาเป็นระยะ รอบข้างว่างเปล่าไร้คน ทั้งสองพูดคุยกันไม่หยุด
เขากำลังคิดว่าทำไมฉินซีถึงคลอดฉินเวยเวยไว้ให้หยางชิ่ง มีความเป็นไปได้ไม่น้อยว่าจะใช้วิธีนี้ล้างแค้นเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าฉินซีจะบอกความจริงกับฉินเวยเวยหรือไม่ ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหยางชิ่งจึงต้องเป็นพ่อบุญธรรมของฉินเวยเวย ถ้าให้ฉินเวยเวยรู้ว่าตัวเองเป็นลูกสาวนอกสมรส แล้วนางจะทนความรู้สึกได้อย่างไร!
ถ้าไม่ใช่เพราะโดนกดดันจนหมดทางเลือก เหมียวอี้ก็สงสัยว่าหยางชิ่งคงจะปิดบังเรื่องนี้กับตนตลอดไป
ขณะที่มองไปโดยรอบ ในใจเหมียวอี้ก็แอบคำนวณเวลาว่าปราชญ์อีกห้าคนจะมาถึงเมื่อไร คาดว่าหลังจากคนพวกนั้นของนภาอู๋เลี่ยงหนีไปแล้ว ข่าวที่อยู่รอบๆ ก็น่าจะมั่วรวมกันเป็นกลุ่ม หวังไม่ให้มีคนปล้นชิงตามไฟ ไปปล้นทรัพย์สินและสิ่งของในโลกมนุษย์
เขาไม่อยากเห็นทั้งแดนอู๋เลี่ยงเกิดความโกลาหล ชาวบ้านตกอยู่ในความทุกขเวทนา แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ก็คาดว่าต่อให้มีคนต้องการจะปล้น ก็คงจะลงมือกับบ้านที่ร่ำรวยพวกนั้น คงปล้นเอาอะไรจากมือชาวบ้านธรรมดาไม่ได้ ทั้งยังเสียเวลาด้วย
ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าท่านทูตแต่ละสายทราบข่าวแล้วจะมายอมจำนนหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ คาดว่าคงรอตัดสินใจอีกทีหลังจากเห็นสถานการณ์สุดท้าย ถ้าจะให้ยอมจำนน คาดว่าคงมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะไปขอพึ่งอีกห้าปราชญ์ ถ้าอยากจะทำให้แดนอู๋เลี่ยงสงบลง หลักๆ ก็ยังต้องรอผลลัพธ์ระหว่างเขากับปราชญ์อีกห้าคนก่อน
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม สงเวย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และหงเทียนก็มาพร้อมกัน พอทั้งสี่คนที่เหาะลงมากฟ้ารู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินแพ้แล้ว พวกเขาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก
ห้าคนพี่น้องพูคุยกันได้ไม่นาน ราชาปีศาจและแม่ทัพปีศาจกลุ่มหนึ่งของทะเลดาวนักษัตรก็ทยอยกันมาถึง ประมุขถิ่นทั้งสี่ทำตามเจตนาของเหมียวอี้ทันที วางกำลังพลไว้รอบๆ นภาอู๋เลี่ยงแล้ว รอการมาถึงของห้าปราชญ์อย่างเงียบๆ
ตรงนี้เพิ่งจะแบ่งวางกำลังพล เหมียวอี้ก็ตบเกราะรบที่สวมไว้บนร่างกายตลอด พร้อมพูดกับทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มว่า “สวมเกราะรบของพิภพใหญ่เอาไว้เถอะ”
ทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง ฝูชิงกล่าวอย่างลังเลว่า “เจ้าห้า แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? เกรงว่าต่อให้สวมเกราะรบ พวกเราก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกขาอยู่ดี”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ข้ามีแผนการของตัวเองแล้ว”
ในตอนนี้ ฉินเวยเวยกับฉินซีมาถึงแล้ว กลุ่มปีศาจเฒ่าจ้องที่ตัวของฉินซีแล้ว ไม่ได้จ้องเพราะความสวยของฉินซี แต่แปลกใจที่เหมียวอี้ไม่ได้ฆ่านางทิ้ง
สงเวยส่งสายตาแปลกๆ ให้ทุกคน หัวเราะแบบไมม่มีเสียง แล้วบอกว่า “เจ้าห้านี่เข้าใจเสพสุขนะ!”
เหมียวอี้กล่าวอย่างดูถูกว่า “ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดหรอก”
“ไม่ต้องพูดถึงความงามของผู้หญิงคนนี้เลย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเนื้อต้องห้ามส่วนตัวของเฟิงเป่ยเฉินได้ยังไง ถ้าเจ้าห้าไม่สนใจ งั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” สงเวยกล่าวกลั้วหัวเราะ
เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าขรึม “พี่ใหญ่ นางยอมแพ้ให้ข้าแล้ว ตอนนี้เป็นลูกน้องของข้าแล้ว”
“อ้อ!” สงเวยขานรับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายลึกซึ่ง ปีศาจเฒ่าทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่งแล้วยิ้ม ทุกคนทำท่าทางเหมือนรู้อยู่แก่ใจ ชัดเจนว่าเข้าใจว่าเหมียวอี้อยากจะเก็บไว้เป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเอง
ฝูชิงแอบเตือนเสียงเรียบ “เจ้าห้า น้องสะใภ้ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะรังแกกันได้ง่ายๆ นะ ต้องปลอบโยนดีๆ ล่ะ! ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องในบ้านวุ่นวายขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีมีใครจะช่วยได้ทั้งนั้น”
พอนึกถึงอวิ๋นจือชิวที่ค่อนข้างหยาบคาย พวกปีศาจเฒ่าที่เคยได้รับบทเรียนมาแล้วก็แอบหัวเราะพร้อม
เหมียวอี้กลอกตามองบน ถ้าพวกเขาอยากจะคิดเบี่ยงเบนไปทางนั้น เหมียวอี้ก็ช่วยไม่ได้ ประเด็นสำคัญคือเรื่องนี้ไม่มีทางอธิบายได้ ในใจก็ยิ้มเจื่อนเหมือนกัน เกิดเป็นผู้หญิงหากสวยเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่สูญสิ้นคนหนุนหลัง ก็กลายเป็นแค่เนื้อก้อนเดียวเท่านั้น ใครจะอยากจะคีบใส่ชามตัวเองไปลองชิมก็ได้ทั้งนั้น
ตอนที่ฉินเวยเวยมาคำนับพวกพี่ชาย ปีศาจเฒ่าทั้งสี่ก็ทำท่าทางเรียบร้อยจริงจังขึ้นมา ส่วนฉินซีก็ยืนดูอย่างสงบนิ่งอยู่ไกลๆ
บังเอิญว่าตอนนี้หลิงเทียนปรากฏตัวและพยักหน้าอยู่ไกลๆ เหมียวอี้สั่งอะไรพวกเขานิดหน่อยแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไปแล้ว
มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงส่วนที่หลี่โม่จินฝึก เหมียวอี้ได้มาไว้ในมือแล้ว ทั้งยังทำสำเนาไว้บนแผ่นหยกแล้วด้วย
พอมาถึงห้องหนังสือ ก็หยิบปึกกระดาษที่เฟิงเป่ยเฉินเขียนขึ้นมา ถึงแม้อีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัส แต่ตัวอักษรก็ยังสวยงามกว่าที่เหมียวอี้เขียนไม่รู้ตั้งกี่เท่า หลังจากอ่านไปนิดหน่อย ก็ถือปึกกระดาษไขว้หลัง แล้วจ้องมองเฟิงเป่ยเฉินที่ค่อนข้างเครียดกังวล “จะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง รอให้ได้จากเทพยากรณ์มาเปรียบเทียบก่อน ต้องมีตรงไหนเขียนผิด เวลาตายของเจ้าก็จะมาถึง”
“ไม่มีผิดพลาด! ไม่ผิดพลาดแน่นอน!” เฟิงเป่ยเฉินกล่าวอย่างนอบน้อม
เหมียวอี้หันตัวเดินมานั่งลงอีกด้าน พลิกดูแผ่นหยกที่คัดลอกมาจากมือหลี่โม่จิน แล้วเทียบกับที่เฟิงเป่ยเฉินเขียน
เมื่อเห็นเขาดูแผ่นหยก แล้วก็ดูสิ่งที่ตัวเองเขียน เฟิงเป่ยเฉินก็แอบตกใจ อย่าบอกนะว่าในมือเขามีอยู่ตั้งนานแล้ว เพียงจงใจจะหยั่งเชิงว่าตนซื่อสัตย์หรือไม่?
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวเองอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว
บางครั้งเหมียวอี้ก็มองเห็นปฏิกิริยาของเฟิงเป่ยเฉินอย่างเงียบๆ โดยบังเอิญเช่นกัน เห็นเพียงสีหน้าที่เฝ้าคอยและเครียดกังวล
หลังจากเทียบเนื้อหาที่หลี่โม่จินเขียนและเนื้อหาที่เฟิงเป่ยเฉินเขียนแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็พอจะมีข้อมูลคร่าวๆ เทียบมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่หลี่โม่จินฝึกกับของเฟิงเป่ยเฉินแล้ว พบว่าไม่มีผิดพลาด จะเห็นได้ว่าอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ ‘ซื่อสัตย์’มาก
ทว่าหลังจากเหมียวอี้เปรียบเทียบเสร็จแล้ว กลับกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “บังอาจหลอกลวงตบตา…หลิงเทียน ส่งเขาขึ้นไปเถอะ!”
เฟิงเป่ยเฉินอุทานอย่างตกใจมาก “เป็นไปไม่ได้ ไม่ผิดพลาด ไม่ผิดพลาดแน่นอน! ข้าจดจำมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไว้ในสมอง แม้แต่ตัวอักษรเดียวก็ไม่ผิด ฉบับที่อยู่ในมือเจ้าจะต้องมีปัญหาแน่นอน ให้ข้าดูฉบับที่อยู่ในมือเจ้าหน่อย!”
เหมียวอี้จ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าเล็กน้อย “ทำให้เขาหมดทุกข์ซะ!”
“ไอ้เหมียวจัญไร…” เสียงอุทานตกใจของเฟิงเป่ยเฉินพลันหยุดชะงัก ถลึงดวงตาเบิกกว้าง เลือดร้อนๆ พุ่งออกมาจากคอ ส่วนคอแทบจะถูกกรงเล็บของหลิงเทียนฉีกขาด จนกระทั่งตอนนี้ เฟิงเป่ยเฉินถึงได้เข้าใจว่าเหมียวอี้จงใจจะหาเรื่องฆ่าเขาอยู่แล้ว
แต่เขาไม่เชื่อ ก่อนที่จะแน่ใจได้เต็มที่ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม เขาจะฆ่าตนได้อย่างไร? อย่าบอกนะว่าในมือเขาจะมีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงจริงๆ? ถ้าหากมีจริงๆ แล้วก็อยากฆ่าตนอยู่แล้ว ก็ลงมือตรงๆ เลยก็ได้ ทำไมต้องให้ข้าเขียนด้วย ไม่สอดคล้องกับเหตุผล…
ความคิดสุดท้ายแวบผ่านเข้ามาในหัว พอคอเอียงลง ร่างที่ไม่สมประกอบก็ล้มนั่งลงบนที่นั่งเดิมของตัวเอง ตายตาไม่หลับ!
เหมียวอี้นำของที่อีกฝ่ายเขียนม้วนเก็บไว้ด้วยกัน จ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินครู่หนึ่ง แล้วหันตัวเอามือไขว้หลังเดินออกไป
เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม เดาว่าคนอย่างเฟิงเป่ยเฉินคงไม่กล้าให้ของปลอมอยู่แล้ว ถ้าสงสัยก็แค่ไปหาคนมาฝึกก็พอ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาภาคคน
จุดสำคัญก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ เกียรติอันสูงส่งสักนิดก็ไม่เอาแล้ว ถ้าเป็นคนประเภทสวีถังหรานก็ว่าไปอย่าง แต่เฟิงเป่ยเฉินดันมีจิตใจทะเยอทะยานถึงขีดสุด ถามหน่อยว่าต่อไปยังมีเรื่องอะไรบ้างที่เขาจะทำไม่ได้ เหมียวอี้ไม่กล้าเก็บเขาไว้ และไม่อยากเก็บเขาไว้ด้วย ให้เขาตายไวๆ ก็นับว่าหลงเหลือเกียรติไว้ให้เขาแล้ว
ที่จริงในสายตาเหมียวอี้ คนประเภทเฟิงเป่ยเฉินที่อยู่เหนือผู้คนมานานนับแสนปี วิธีการตายที่มีเกียรติที่สุดก็คือตายในสนามรบ ไม่ใช่ตายด้วยจิตใจที่ไร้ซึ่งความหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่อย่างนั้นคนในใต้หล้าจะรู้สึกอย่างไร ขนาดเหมียวอี้ยังทนมองไม่ไหว แต่เฟิงเป่ยเฉินดังยอมถ่วงเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป…
ศพของเฟิงเป่ยเฉินถูกหลิงเทียนลากออกมา ถูกนำมาโยนไว้ในลานบ้าน โยนอยู่ตรงเท้าของพวกสงเวย
พวกเขาจ้องศพเฟิงเป่ยเฉินแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลงอนิจจัง สงเวยถอนหายใจ “มีอำนาจล้มใต้หล้า เสพสุขจากเกียรติยศความร่ำรวยมาเต็มที่ ทั้งชีวิตนี้เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้นับว่าเสียชาติเกิด!”
ฉินซีเดินเข้ามาเงียบๆ แล้วบอกเหมียวอี้ว่า “คนตายแล้วบุญคุณความแค้นก็หมดไป ความขัดแย้งของพวกท่านก็หายไปแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องข่มเหงศพของเขาเช่นนี้ ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็เคยเป็นสามีภรรยากัน มอบศพของเขาให้ข้าเถอะ ถือว่าให้ข้าได้ตัดจบเรื่องนี้”
เหมียวอี้พยักหน้า “ช้าก่อน! รอให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาถึง หลังจากพวกเขาเห็นหมดแล้ว ท่านค่อยฝังศพให้!”
ฉินซียังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหมียวอี้หันตัวเดินจากไปแล้ว ไม่เหลือที่ว่างให้ปรึกษากันเลย
สงเวยหันกลับมาบอกว่า “แขวนธงไว้!”
นี่คือสิทธิ์ของผู้ชนะ และเป็นการประกาศว่าแดนอู๋เลี่ยงเปลี่ยนเจ้าของแล้ว
ผ่านไปไม่นาน เสาธงที่สูงตระหง่านก็ตั้งอยู่บนพื้นที่ว่างของนภาอู๋เลี่ยงอย่างโดดเด่นสะดุดตา ร่างของเฟิงเป่ยเฉินถูกแขวนปลิวสะบัดตามลมอยู่ข้างบน ดวงตาทั้งสองข้างยังคงเบิกโพลง
เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายปี คุ้นเคยกับทุกอย่างที่นภาอู๋เลี่ยง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะยังมองเห็นหรือไม่
เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งสือ นั่งบนตำแหน่งเดียวกับที่เฟิงเป่ยเฉินนั่งก่อนหน้านี้ บนโต๊ะยังมีรอยเลือด เหมียวอี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สีหน้าเรียบเฉย กำลังถือพู่กันคัดตัวอักษร ท่าทางเหมือนมีสมาธิจดจ่อ
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม หงเทียนก็วิ่งเข้ามา แล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “เจ้าห้า มู่ฝานจวินมาแล้ว!”
สายตาไปหยุดอยู่บนกระดาษที่ปูแผ่แล้วชะงัก ยังนึกว่าเขียนอะไรที่สำคัญ พอได้เห็นถึงรู้ว่าเขียนไปส่งเดชอย่างนั้นเอง นึกไม่ถึงว่าในเวลาแบบนี้เหมียวอี้จะมีกะจิตกะใจมาคัดตัวอักษร!
“แดนเซียนกับแดนพุทธะอยู่ใกล้ที่นี่ ข้ากำลังคิดอยู่ว่าในบรรดาพวกเขาสองคนใครจะมาถึงก่อน!” เหมียวอี้พูดจบแล้วหยุดเขียนพู่กัน วางพู่กันเอาไว้ส่งเดช แล้วบอกว่า “ไป! ไปดูหน่อย!”
พอมาถึงด้านนอกถึงได้พบว่ามู่ฝานจวินยังอยู่บนฟ้า กำลังลอยอยู่ข้างๆ เสาธงต้นนั้น มองดูศพของเฟิงเป่ยเฉินเงียบๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไร
เหมียวอี้ที่ปรากฏตัวในลานบ้านกุมหมัดคารวะแต่ไกลๆ “ท่านปราชญ์มาเยือนด้วยตัวเอง ขออภัยที่ข้าน้อยไม่ได้ไปต้อนรับใกล้ๆ!”
มู่ฝานจวินเอียงหน้ามองลงมา แล้วถลันตัวลงมา ย้ายสายตาจากเกราะรบบนตัวเหมียวอี้ไปยังพวกฝูชิงที่ยืนเรียงแถวอยู่ข้างหลัง
ทั้งสี่ล้วนสวมใส่เกราะรบผลึกแดง ล้วนเป็นชุดที่อวิ๋นจือชิวมอบให้ ถึงแม้จะสู้เกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงบนตัวเหมียวอี้ไม่ได้ แต่ของที่ไม่เคยเห็นที่พิภพเล็กมารวมตัวและโผล่อยู่ตรงหน้ามู่ฝานจวินแล้ว ยังทำให้มู่ฝานจวินตาเป็นประกาย
“พวกเจ้าร่วมมือกันฆ่าเฟิงเป่ยเฉินเหรอ?” มู่ฝานจวินถามอย่างเย็นเยียบ
เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ถ้าข้าจะฆ่าเขาก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่จำเป็นต้องให้พวกพี่ๆ มาร่วมมือกกันหรอก ถ้าร่วมมือกันจริงๆ ท่านปราชญ์คงไม่ได้มีโอกาสรับข่าวจากเฟิงเป่ยเฉินเหมือนกัน ข้าน้อยทำคนเดียว! ที่จริงข้าก็น้อยก็ไม่อยากจะฆ่าเขา แต่เขาดึงดันจะหาเรื่องข้าน้อยให้ได้ ตัวเองมารนหาที่ตายเอง เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่มีอะไรให้เกรงใจ!”
“ฆ่าเขาง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ?” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “ฟังจากความหมายในคำพูดของเจ้า เหมือนกำลังพูดสิ่งนี้ให้ข้าฟังนะ เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?”
เหมียวอี้กุมหมัดตอบ “มิบังอาจ! ต่อให้จะขู่ใครแต่ก็ไม่กล้าขู่ท่าน ท่านเองก็รู้สาเหตุ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ เยว่เหยายังอยู่ในมือท่าน
…………………………