พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1112 กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ
ผลประโยชน์อะไร? ทั้งห้าสบตากันเงียบๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะให้ผลประโยชน์อะไรเขาได้
“เจ้าอยากได้ผลประโยชน์อะไร?” ซือถูเซี่ยวถาม
สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่ตัวเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเสนอเงื่อนไขอะไร อวิ๋นจือชิวกลับอกสั่นขวัญแขวน แอบเดาได้แล้วว่าผู้บัญชาการใหญ่เหมียวจะขออะไร
เหมียวอี้ขมวดคิ้วครุ่คิดครู่หนึ่ง แล้วยืนขึ้นส่ายหน้าช้าๆ “ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าพวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรข้าได้ ถ้าพูดถึงทรัพยากรฝึกตน ต่อให้พวกท่านนำของมารวมกันก็ยังไม่อยูในสายตาข้าเลย แค่หาส่งเดชที่พิภพใหญ่ก็ได้เยอะกว่าที่มีอยู่ในมือพวกท่านแล้ว เงินทองหรือสาวงามข้ามีไม่ขาด ถ้าพูดถึงฐานะตำแหน่ง ถ้าอยู่ที่พิภพใหญ่พวกท่านไม่มีสิทธิ์แม่แต่จะถือรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าพวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรข้าได้ พวกท่านว่ามาเถอะ พวกท่านยังมีอะไรที่สามารถนำออกมาได้บ้าง?”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทั้งห้าก็อยากจะเล่นงานเขาให้ตาย สาวกในใต้หล้าล้วนเงยหน้ามองพวกเขา ตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าดูถูกในสายตาเจ้าบ้านี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่คู่ควรที่จะถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ มีหลักการอย่างนี้ที่ไหนกัน!
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าสิ่งที่เจ้าหนุ่มนี่พูดคือความจริง เจ้าตัวก็ไม่ต้องชายตาแลของที่อยู่ในมือพวกเขาเลยจริงๆ
“ถ้าหากไปได้ ก็จะยกอาณาเขตของพิภพเล็กนี้ให้เจ้า” มู่ฝานจวินกล่าว
จีฮวนขานรับ “อืม” คนอื่นๆ ก็ใช้วิธีตอลตกลงที่ต่างกัน รู้สึกว่าแบบนี้ก็ได้
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “พูดจาน่าฟังจริงๆ ถ้าพวกท่านไปที่พิภพใหญ่ได้ ก็ย่อมไม่สนใจอาณาเขตของพิภพเล็กอยู่แล้ว ทรัพยากรฝึกตนที่อยู่ที่นั่นแทบตะไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่พวกท่านมีความสามารถ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตนเลย ใครจะยังสนใจอาณาเขตของพิภพเล็กล่ะ ทุกคนคุยเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรปลอมๆ อีก”
อวิ๋นอ้าวเทียนข่มไฟโกรธไว้ไม่ไหวแล้ว “อย่ามาอ้อมค้อมตรงนี้ ในเมื่อเจ้ายอมเจรจา ก็แสดงว่าต้องมีของที่อยากได้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็บอกมาตรงๆ!”
ไม่โมโหคงไม่ได้แล้ว หลานสาวสุดที่รักก็ยกให้แต่งงานกับเขาไปแล้ว เขายังจะมาเสนอเงื่อนไขแบบนี้อีก พูดจบก็กวาดตามองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง อวิ๋นจือชิวแอบเดาะลิ้น รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
“พวกท่านมีอะไรที่ล้ำค่าที่สุด ข้าก็อยากได้อันนั้นแหละ” เหมียวอี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมามาก
“ชีวิตของพวกเรามีค่าที่สุด มีความสามารถที่จะเอาไปมั้ย?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอย่างเย็นเยียบ
“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอแห้งๆ ไม่คุ้นชินกับการเจรจาต่อรองราคากับท่านนี้จริงๆ
ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่เข้าใจความคิดของเขา ดึงแขนเขาไว้ “เจ้าพูดกับท่านปู่แบบนี้ได้ยังไง ถอยสักก้าวให้ท่านทำตามใจชอบสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
เหมียวอี้ใจตรงกับนาง หันกลับมาถามนางว่า “เช่นนั้นฮูหยินต้องการอะไรล่ะ?”
“เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ข้าฝึกยังไม่สมบูรณ์ ไม่สู้ขอร้องให้ท่านปู่มอบให้ข้าก็พอแล้ว” อวิ๋นจือชิวตอบ
เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็เหมือนมีดอกไม้เบ่งบานแล้วเขากำลังครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองพูดเจตนาออกมาตรงๆ ก็อาจจะชัดเจนเกินไปหน่อยหรือเปล่า อวิ๋นจือชิวช่วยเชื่อมประสานให้เขาแล้ว
อวิ๋นอ้าวเทียนกลับถลึงตาจ้องอวิ๋นจือชิว พบว่าตัวเองช่างมีหลานสาวที่ดีจริงๆ หลังจากแต่งงานออกไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะวางแผนอยากได้ทุนเดิมสำหรับตั้งตัวของตระกูลอวิ๋น
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกล่าวดูถูก “จะอยากได้ของแบบนั้นไปทำไม? เจ้าอยู่ที่พิภพใหญ่ก็ใช้ว่าจะไม่รู้ ที่จริงเคล็ดวิชาของพวกเข้าล้วนมาจากพิภพใหญ่ เคล็ดวิชาทั้งหกแบ่งเป็นภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน มีทั้งหมดสามภาค ทั้งหมดมีครบอยู่ที่พิภพใหญ่ พวกเขาได้ไปแค่ระดับแรกสุดก็คือภาคคน เดี๋ยวกลับไปรอข้าหาให้ครบก่อน ข้าจะมอบภาคที่สมบูรณ์ให้เจ้า สินค้าที่บกพร่องจะเอามันไปทำไม”
เขารู้ได้อย่างไรว่าเคล็ดวิชาฝึกตนแบ่งเป็นภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน? ห้าปราชญ์เรียกได้ว่าใจเต้นรัวทันที ทั้งหมดเบิกตากว้างแล้ว
พิภพใหญ่มีเคล็ดวิชาฝึกตนแบบสมบูรณ์เหรอ? ในจุดนี้พวกเขาทั้งเชื่อทั้งสงสัย เพราะเคล็ดวิชาของพวกเขามาจากเรือมังกรอเวจี และเรือมังกรอเวจีก็มาจากพิภพใหญ่ ถ้าจะบอกว่าพิภพใหญ่มีเคล็ดวิชาของพวกเขาอยู่ ก็ไม่ได้แปลกพอให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ
อวิ๋นจือชิวเขย่าแขนเหมียวอี้ กล่าวอย่างออดอ้อนเล็กน้อยว่า “เจ้ายังหาได้ไม่ครบไม่ใช่เหรอ ใครจะไปรู้ล่ะว่าวันได้ปีไหนจะหาพบ ท่านปู่ข้าก็ไม่ใช่คนนอก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นหลานสาวของตระกูลอวิ๋น ท่านสามี ต่อให้ไม่ไว้หน้าคนอื่นแต่ก็ไว้หน้าข้าหน่อยเถอะนะ?”
“เฮอะ! อย่ามาออดอ้อนออเซาะที่นี่!” อวิ๋นอ้าวเทียนทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ พ่นสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “น้องชิว! เจ้าเป็นคนอย่างไรปู่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว รู้จักดีมาก อย่ามาเล่นละครต่อหน้าข้า! เหมียวอี้ เรื่องที่เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราแบ่งเป็นสามภาค เฟิงเป่ยเฉินได้พูดเอาไว้ก่อนตายใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ยกมือให้อวิ๋นจือชิว “ฮูหยิน เจ้าเห็นแล้วนี่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้านะ แต่ท่านปู่ของเจ้าไม่เชื่อเลย”
อวิ๋นจือชิวหันตัวมาหาอวิ๋นอ้าวเทียนแล้วถอนหายใจ “ท่านปู่คะ ท่านกำลังทำไม่ยุติธรรมพวกเราจริงๆ นะ ฉบับสมบูรณ์ของเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกท่านอยู่ที่พิภพใหญ่จริงๆ ท่านสามีกำลังช่วยค้นหาให้ข้าตลอด จนกระทั่งตอนนี้ ก็ช่วยข้าหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานได้แค่ภาคดินเท่านั้น ยังตามหาภาคคนกับภาคฟ้าอยู่ ภาคคนอยู่ในมือเจ้าพอดีไม่ใช่เหรอ ถ้าได้มาตรงๆ เจ้าจะได้ไม่เปลืองแรงไม่ใช่หรือไง”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วแอบรู้สึกขำ พบว่าฮูหยินของตัวเองไม่ใช่เล่นๆ เลย ถ้าบอกไปตรงๆ ว่าในมือมีภาคดินมาแลกแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะแย่งไปหรือไม่ ดีไม่ดีอาจจะเล่นไม่ซื่อกับภาคคนด้วย พอเปลี่ยนวิธีการแบบนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถหาเคล็ดวิชาทั้งหกที่พิภพใหญ่ได้ ต่อไปก็คงจะเป็นอวิ๋นอ้าวเทียนที่ใจร้อนอยากจะมาแลกแล้ว
เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้าเจ้ามาขอร้องถึงที่ ดีไม่ดีอีกฝ่ายจะวางมาดใส่ แต่เวลาที่อีกฝ่ายมาขอร้องเอง แบบนั้นทุกอย่างก็คุยง่ายแล้ว
มู่ฝานจวินและอีกสามคนตกตะลึง อวิ๋นอ้าวเทียนฝึกแค่ภาคคนก็เก่งจะแย่อยู่แล้ว อวิ๋นจือชิวหาภาคดินเจอแล้วงั้นเหรอ?
ต่อมาอวิ๋นอ้าวเทียนเริ่มสงบเยือกเย็นแล้ว เพื่อเคล็ดวิชาส่วนหลัง เขาเฝ้าใฝ่ฝันมาหลายปีแล้ว เขากัดฟัน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ตึงเหมือนโดนตะคริวกินว่า “น้องชิว เจ้าองก็รู้นิสัยเจ้าอารมณ์ของปู่ เจ้าอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาหลอกตบตาปู่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่นับเจ้าเป็นหลานสาว!”
อวิ๋นจือชิวทำท่าทางเหมือนจนใจมาก ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านปู่คะ! ถ้าท่านไม่เชื่อ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เอาอย่างนี้มั้ยคะ ท่านฝึกเคล็ดวิชาภาคคนไปแล้ว ข้าจะท่องภาคดินที่ต่อจากนั้นให้ท่านฟังสักหน่อย จะเชื่อมต่อกันได้หรือไม่ เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็คงจะรู้ว่าจริงว่าจริงหรือปลอม”
“ท่อง!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวอย่างใจร้อน
อวิ๋นจือชิวเริ่มใช้วิธีการถ่ายทอดเสียงให้ฟังทันที นางจดจำเคล็ดวิชาภาคดินได้ตั้งนานแล้ว จึงท่องออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว
ความจริงเท็จของเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่อวิ๋นอ้าวเทียนเท่านั้นที่อยากจะรู้ให้ชัดเจน มู่ฝานจวินและคนอื่นๆ ก็อยากจะรู้เช่นกัน แต่ละคนจึงจ้องมองปฏิกิริยาของอวิ๋นอ้าวเทียน
เห็นเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนขมวดคิ้วทำท่าตั้งใจฟังในตอนแรก จากนั้นก็ทำสีหน้าร่าเริงปลอดโปร่ง และบางครั้งดวงตาก็ฉายแววดีใจแทบบ้า สุดท้ายก็หลับตาลง สีหน้าท่าทางเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากตัวอวิ๋นจือชิว ก็รู้ว่านางกำลังถ่ายทอดเสียง มู่ฝานจวินและอีกสามคนรู้สึกคันไม้คันมือเหมือนโดนเท้าแมวเกาสะกิด พวกเขาเข้าใจอวิ๋นอ้าวเทียนดีเกินไปแล้ว รู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนมีนิสัยเหมือนชื่อ เป็นผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรีในระดับหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหยียดหยามการโกหกแสดงละคร เขาไม่มีทางแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้เหมือนขนาดนี้แน่นอน หมายความว่าเป็นไปได้เก้าในสิบว่าสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดเป็นความจริง
ชั่วพริบตานี้ ทั้งสี่คนแอบสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ถ้าให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้วิชามารภาคดินไป จะไม่แย่หรอกเหรอ?
ชั่วอึดใจนี้ ในใจทั้งสี่แอบเกิดความคิดสังหาร แต่พอมองดูรอบๆ แล้วเห็นพวกสงเวยที่สวมเกราะรบ ทั้งยังมีสิ่งที่เหมียวอี้พูดไว้ก่อหนน้านี้ด้วย หากพลาดพลั้งขึ้นมา หากเจอคนพวกนี้ร่วมมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนโจมตีกลับขึ้นมา คนที่ดวงซวยก็อาจจะกลายเป็นพวกเขาเอง
เหมียวอี้กวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง พอจะเดาเจตนาของพวกเขาออกอยู่บ้าง
“ทำไมไม่ท่องแล้วล่ะ ต่อสิ!”
อวิ๋นจือชิวที่กำลังท่องเคล็ดวิชาพลันหยุดกะทันหัน อวิ๋นอ้าวเทียนที่ได้สติกลับมาพูดเร่งทันที
อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ท่านปู่คะ ท่องนิดหน่อยให้ท่านรู้ว่าจริงหรือปลอมก็พอแล้ว”
อวิ๋นอ้าวเทียนราวกับโดนตะคริวกินใบหน้า ไม่หน้าเชื่อว่าบนตัวจะมีปราณมารลอยขึ้นมา เกิดอารมณ์วู่วามอยากจะลงมือ เลิกคิ้วกล่าวว่า “นางหนู ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความยุติธรรมนะ!”
นี่เป็นการเตือนอวิ๋นจือชิวว่าอย่าลืมตระกูลของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะไม่เกรงใจ
เหมียวอี้ยื่นมือดึงตัวอวิ๋นจือชิวมาไว้ข้างหลังตัวเอง แล้วแสยะยิ้ม “อวิ๋นอ้าวเทียน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านจะฆ่าพวกเราได้หรือเปล่า จะบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อน ตอนออกจากตำหนักสวรรค์มาข้าก็เตรียมแผนสำรองไว้เหมือนกัน ถ้าข้าไม่ได้กลับไปตามกำหนดเวลา ทางตำหนักสวรรค์ก็จะสืบหาทันที จะตามหาที่นี่เจอจากเบาะแสของข้า ถ้าวุ่นวายจนทำให้คนของตำหนักสวรรค์มาถึงที่นี่ พวกท่านก็เป็นแค่มดในสายตาพวกเขาเท่านั้น การกำจัดพวกท่านทำได้โดยไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ ถ้าอยากได้เคล็ดวิชาส่วนหลังจริงๆ ก็ไปหาเอาเองที่พิภพใหญ่ อย่ามาเล่นไม่ซื่อกับพวกเรา พวกท่านเล่นไม่ไหวหรอก!”
“ปีศาจเฒ่า แย่งของจากหลานสาวตัวเองนับว่ามีความสามารถอะไร” มู่ฝานจวินกล่าว
“อวิ๋นอ้าวเทียน สืบเรื่องพิภพใหญ่ให้แน่ชัดก่อนเถอะ” ซือถูเซี่ยวกล่าวเสียงเย็น
“ประเสริฐแท้!”
“ใช่แล้ว!”
ฉางเหลยและจีฮวนแสดงท่าทีแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้เคล็ดวิชาส่วนหลังไปเร็วขนาดนี้
“เฮอะ!” อวิ๋นอ้าวเทียนพ่นเสียงใส่ สายตาจ้องไปที่เหมียวอี้ “ตกลง! แต่ต้องรอให้คนของข้าไปพิภพใหญ่เพื่อยืนยันก่อน รอให้ข้าไปที่พิภพใหญ่ด้วยตัวเอง ค่อยมอบของให้เจ้า”
“ไม่ไว้หน้าท่านปู่ไม่ได้หรอก ในเมื่อท่านปู่พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่ทำให้น้องชิวลำบากใจเหมือนกัน!” เหมียวอี้พยักหน้าตอบตกลง เขากลัวเสียที่ไหนล่ะ ถ้ามาถึงอาณาเขตตัวเองแล้วลองไม่มอบให้สิ
เสร็จแล้วก็หันไปมองพวกมู่ฝานจวินอีก แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “พวกท่านเองก็เลิกคิดอะไรบ้าๆ อย่างเช่นฆ่ากันเองในหมู่คณะ ที่พิภพใหญ่มีสถานที่มากมายที่คล้ายกับพิภพเล็ก อย่าเรื่องโง่ๆ อย่างเช่นแข่งขันกันระหว่างหกปราชญ์ หลังจากไปแล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าตัวเองน่ะเล็กน้อยแค่ไหน ระหว่างพวกท่านไม่มีอะไรให้แข่งกันโดเด่นเลย ถึงตอนนั้นต่อให้สั่งให้พวกท่านจะแข่งขันกัน พวกท่านก็อาจจะไม่มีกะจิตกะใจจะแข่งด้วยซ้ำ อย่าพูดจาเหลวไหล ฮูหยินของข้าต้องการเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่เป็นภาคคน อวิ๋นอ้าวเทียนก็ตอบตกลงแล้ว พวกท่านล่ะ? มีอะไรที่พอจะนำออกมาได้บ้าง?”
มู่ฝานจวินและคนที่เหลือพูดไม่ออกมาก เงินทอง อำนาจ อิทธิพลและอาณาเขตเจ้าก็ไม่เอา แล้วพวกเราจะให้อะไรเจ้าได้ล่ะ?
“ข้าทำเหมือนอวิ๋นอ้าวเทียนก็ได้ จัดการเหมือนที่เจ้าตกลงกับเขา ถึงตอนนั้นจะมอบเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่เป็นภาคคนให้เจ้า” ซือถูเซี่ยวกล่าว
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ทำแล้ว “ข้ายอมรับนะว่าถ้าอยู่ที่พิภพใหญ่ เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกท่านนับว่าไม่เลว แต่ข้าไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาฝึกตนมากมายขนาดนั้น เอามากินแทนข้าวไม่ได้เลย อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าปาดคอตัวเองให้กลายเป็นนักพรตผีเพื่อฝึกวิชาของท่าน? เคล็ดวิชาเส็งเคร็งนั่นน่ะ ท่านเก็บไว้ใช้เองเถอะ ข้าไม่สนใจ!”
ซือถูเซี่ยวพูดไม่ออกแล้ว ของที่ข้าเห็นว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด เจ้ายังไม่ชายตาแลเลย จึงกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “เจ้าเองก็บอกแล้วว่าเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ เคล็ดวิชาฝึกตนของข้านับว่าไม่เลว เอาไปแลกกับทรัพยากรฝึกตนก็พอได้อยู่หรอกมั้ง?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนอยากขำ “ซือถูเซี่ยว พวกเจ้าก็ไม่เคยได้เห็นโลกภายนอกเหมือนกันนะเนี่ย เลยคิดว่าเคล็ดวิชาของตัวเองล้ำค่า เดี๋ยวตอนหลัง ให้คนของเจ้าไปสืบข่าวที่พิภพใหญ่สักหน่อย ดูว่าใครจะกล้านำเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเจ้าไปแลกทรัพยากรฝึกตนได้บ้าง ข้าไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้นแหละถึงจะทำ ถ้าเจ้ากล้าเอาออกมาโอ้อวด ข้าจะตัดหัวเอาให้เจ้าไปเล่นได้ตามสบายเลย อวิ๋นอ้าวเทียนเป็นท่านปู่ เป็นคนในครอบครัว ข้าเห็นแก่หน้าฮูหยินถึงได้ตอบตกลง ข้าไม่ได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายกับเจ้า เจ้านับว่าแก่กว่ากี่ปี? เคล็ดวิชาเส็งเคร็งนั่นเจ้าเอาไว้เล่นเองเถอะ ข้าไม่สนใจหรอก!”
…………………………