พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1114 ชื่อเสียงฉาวโฉ่แล้ว
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แอบส่ายหน้าก็คือ พวกตาแก่รวมทั้งอวิ๋นอ้าวเทียนแสร้งทำท่าเหมือนไม่สนใจอะไรพลางเดินออกมาจากศาลา แล้วก็มองไปยังทิศทางที่อวิ๋นจือชิวจากไป เหมียวอี้รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขากำลังมีความคิดอะไร นั่นก็คืออยากจะมาดูว่าอวิ๋นจือชิวไปทางไหน อยากจะดูว่าจะเจอเบาะแสอะไรหรือเปล่า
“ไม่ต้องแล้ว ต่อให้พวกเจ้าตามก้นไป พวกเจ้าก็ไปพิภพใหญ่ไม่ได้หรอก” เหมียวอี้ยืนพูดถากถางอยู่บนบันไดศาลา
“อย่าบอกนะว่าวรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวสูงกว่าพวกเรา?” จีฮวนหันมาถาม
เหมียวอี้ขี้คร้านจะอธิบาย ถ้าไม่มีกระสวย อาศัยวรยุทธ์ของพวกเจ้าไปที่พิภพใหญ่ ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งแท้ๆ เขาถึงขั้นครุ่นคิดว่าครั้งหน้าจะให้ห้าปราชญ์ไปตายตรงประตูดวงดาวดีไหม แต่จนใจที่ห้าคนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ถ้ายังไม่ถึงพิภพใหญ่พวกเขาก็ไม่มีทางมอบเคล็ดวิชาให้แน่ ถ้าทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนตายแล้ว เขาก็ไม่สะดวกจะอธิบายกับทางอวิ๋นจือชิว คิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงช่างมัน
“ไปกลับเกรงว่าต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ทุกคนค่อยๆ รอไปเถอะ” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วจากไป
“เจ้าหนู เจ้าทำกับผู้อาวุโสแบบนี้เหรอ? ข้าจะอยู่ที่นี่สักเดือนหนึ่ง จ้ามีความเห็นแย้งหรือไง?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ตอนนี้รู้จักทำตัวเป็นผู้อาวุโสของข้าแล้วเหรอ? เวลาอยากแย่งของของข้าไม่เห็นเจ้าจะเกรงใจเลย?
“พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว จะได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร” ซือถูกเซี่ยวกล่าว
“พวกเราห้าคนจะช่วยปกป้องให้เจ้าเอง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับเกียรตินี้นะ” จีฮวนก็พยักหน้าเช่นกัน
เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ ปกป้องอะไรกัน ไม่ใช่ว่ากลัวเขาจะกลับคำพูด ก็เลยจะเฝ้าดูเขาไว้หรอกเหรอ จึงพูดดูถูกว่า “ถ้าพวกเจ้าพักที่นภาอู๋เลี่ยง คาดว่าเฟิงเป่ยเฉินคงจะตายตาไม่หลับ ทั้งห้าท่านรีบกลับไปไวๆ เถอะ”
“ถ้าเจ้าหนีไปจะทำยังไงล่ะ?” มู่ฝานจวินถามตรงๆ เสียเลย
“ถ้าข้าจะหนี ก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้ด้วยเหรอ? ช่างเถอะ ข้าไม่ถือสาพวกเจ้าเรื่องนี้หรอก ถ้าอยากจะอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่ทุกคนก็ต้องส่งคำสั่งกลับไปคนละฉบับ” เหมียวอี้พูดดูถูก
“คำสั่งอะไร?” มู่ฝานจวินถาม
จะเป็นคำสั่งอะไรได้ล่ะ เหมียวอี้ต้องการให้ทั้งห้าประกาศกับแต่ละแดนเองว่ายอมรับที่เหมียวอี้มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉิน
ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน ขอเพียงพาห้าปราชญ์ออกไปจากพิภพเล็กได้ ทั้งพิภพเล็กก็จะเป็นอาณาเขตของเขาแล้ว แต่เพื่อที่จะรับงานจากแดนอู๋เลี่ยงได้สะดวก เจาก็ไม่ถือสาที่จะรบกวนห้าคนนี้สักหน่อย
ทั้งห้าไม่ได้มีอะไรจะขัดเช่นกัน ถ้าพบว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล เรื่องแบบนี้ก็สามารถกลับคำได้ตลอดเวลา
ดังนั้นเมื่อได้คำสั่งห้าฉบับมาไว้ในมือ เหมียวอี้ก็สั่งให้แม่ทัพปีศาจห้าคนแยกย้ายกันนำคำสั่งไปส่งที่นภาจอมมารและที่อื่นๆ
ปิดบังเรื่องการตายของเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้แล้ว หลังจากผ่านไปไม่กี่วันข่าวก็เริ่มแพร่ออก เพียงแต่มีบางคนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย รอจนกระทั่งนภาจอมมาร แดนโพ้นสวรรค์ นภาหยินหยาง แดนสุขาวดีและนภาหมื่นปีศาจเริ่มแสดงท่าทีสนับสนุนเหมียวอี้ ทั้งพิภพเล็กก็สั่นสะเทือนไม่เบา!
กำลังพลสายมะโรงยังคงอยู่ระหว่างการรวมตัวกัน กลุ่มนักพรตที่ใหญ่ที่สุดก็คือนักพรตระดับพื้นบก กำลังพลของถ้ำและขุนเขารวมทั้งจวนต่างๆ ออกมาหมด บนถนนหนทางสายต่างๆ หรือไม่ก็บนทางลัดระหว่างภูเขาที่สามารถเดินได้ เสียงกีบเท้าอาชามังกรวิ่งตะบึงดังกุบกับ
สัตว์ปีกที่อยู่ระหว่างภูเขาบินแตกตื่น บางครั้งสองข้างทางของถนนใหญ่จะเห็นชาวบ้านมนุษย์ธรรมดากระโดดลงจากรถม้าลงมาหมอบกราบทำความเคารพท่านเซียน
หลังจากกลุ่มพลทหารม้ามองข้ามแล้ววิ่งผ่านไป บนตัวของชาวบ้านที่อยู่ริมทางก็มีฝุ่นเกาะหนึ่งชั้น
“พี่กงซุน ได้ยินว่าในนั้นท่านกับเหมียวอี้เป็นเพื่อนร่วมงานกันที่เขาเจิ้นไห่เหรอ!”
ประมุขขุนเขาสามคนนำกำลังพลสามสายวิ่งตะบึง มีหนึ่งคนในนั้นเอ่ยถาม ส่วนคนที่โดนถามก็คือกงซุนอวี่ ประมุขขุนเขาเจิ้นไห่
พวกเขาได้ข่าวระหว่างเดินทางว่าเหมียวอี้สังหารเฟิงเป่ยเฉินและกลายเป็นประมุขคนใหม่ของแดนอู๋เลี่ยงแล้ว
“เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว” กงซุนอวี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มซ่อนความขื่นขมอยู่บ้างนิดหน่อย
ความรู้สึกในตอนนี้มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ พลาดไปเพียงก้าวเดียว ก็อาจจะพลาดไปทั้งชีวิต คนที่ติดตามเหมียวอี้มาตลอดตั้งแต่ในปีนั้น ตอนนี้พวกเขามีฐานะเป็นอย่างไรล่ะ? ขนาดคนที่ติดตามหยางชิ่งกับฉินเวยเวยมาตลอดยังได้เป็นประมุขจวนกันหมดแล้วเลย แต่เขายังเป็นประมุขขุนเขาเจิ้นไห่ วรยุทธ์ก็ยังอยู่ระดับบงกชเขียวเช่นกัน
ตอนแรกเป็นเพราะเคยมีเรื่องกับเหมียวอี้ จึงไม่ได้ติดตามฉินเวยเวยไปทำงานกับเหมียวอี้ที่ได้คุมสองตำหนัก ใครจะคิดว่าตอนหลังหยางชิ่งจะได้กลายเป็นผู้การใหญ่ของสายมะโรง เท่ากับอ้อมไปอ้อมมาตัวเองก็ได้เป็นลูกน้องหยางชิ่งเหมือนเดิม เพียงแต่ความแตกต่างระหว่างกันห่างไกลเกินไปแล้ว
หลังจากนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ไปหาเจ้านายเก่าอย่างหยางชิ่งกับฉินเวยเวยอีก เขาอยากจะขอให้ช่วยดูแล แต่หลังจากฉินเวยเวยแต่งงานกับเหมียวอี้แล้ว หยางชิ่งก็ยืนอยู่ฝ่ายเหมียวอี้โดยสมบูรณ์ เป็นเพราะกงซุนอวี่เคยล่วงเกินเหมียวอี้ และเป็นเพราะในปีนั้นหยางชิ่งมีเจตนาจะให้กงซุนอวี่แต่งงานกับฉินเวยเวย หยางชิ่งไม่อยากให้กงซุนอวี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับฉินเวยเวยอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข่าวลือที่ไม่น่าฟังจนทำให้เหมียวอี้เข้าใจผิด หยางชิ่งจึงไม่ได้ใช้งานเขาอีก แต่เห็นแก่ไมตรีเก่าๆ หยางชิ่งก็ไม่ได้กลั่นแกล้งเขาเช่นกัน ให้เขาพยายามด้วยตัวเอง ถ้าเขาอยากจะออกจากสายมะโรง หยางชิ่งก็จะบอกกับกำลังพลเบื้องล่างให้ปล่อยเขาไป
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้แย่ ความสามารถก็ใช่ว่าจะสู้เหมียวอี้ไม่ได้ เพียงแต่ตัวเองดวงไม่ดีเท่าเหมียวอี้ก็เท่านั้นเอง กงซุนอวี่คิดแบบนี้มาตลอด แต่สิ่งที่ตัวเองรู้สึกก็คือสิ่งที่ตัวเองรู้สึก แต่ประเด็นสำคัญคือกงซุนอวี่ไม่รู้ว่าถ้าตัวเองออกจากสายมะโรงแล้วจะไปที่ไหนได้ อยู่ที่นี่อย่างน้อยก็ยังได้เป็นประมุขขุนเขา ก็เลยเป็นแบบนี้อยู่ตลอด
ตอนนี้เหมียวอี้อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ สามารถจินตนาการได้เลยวาพวกที่ติดตามทำงานกับเหมียวอี้มาตลอดจะมีอนาคตเป็นอย่างไร
ความอัดอั้นตันใจทำให้ทำให้กงซุนอวี่เก็บกดหนักมาก พลันเร่งความเร็วสัตว์พาหนะ พุ่งนำหน้าสองคนที่เดิมทีวิ่งเคียงกัน
สองคนที่อยู่บนสัตว์พาหนะสบตากันแวบหนึ่ง แล้วแอบถ่ายทอดเสียงหยอกล้อกัน
คนหนึ่งบอกว่า “ได้ยินว่าในปีนั้นเจ้าหมอนี่เคยไปมีเรื่องกับเหมียวอี้เหรอ?”
อีกคนบอกว่า “แค่นั้นซะที่ไหนล่ะ! คนเขารู้กันทั่วว่าเจ้านี่ตามจีบฉินเวยเวย อนุภรรยาของเหมียวอี้ ในปีนั้นขนาดข้าเป็นทหารเล็กๆ ยังเคยได้ยินเลย”
“น่าสนใจ! คางคกอยากกินเนื้อหงส์ เนื้อก็ไม่ได้กินแถมยังหาเรื่องใส่ตัวอีก ในปีนั้นพวกเดียวกันได้เลื่อนขั้นได้ร่ำรวย มีแค่ลูกน้องคนสนิทของหยางชิ่งอย่างเขาคนเดียวที่หยุดอยู่ที่นี่ แบบนี้เรียกว่าไม่ประเมินกำลังตัวเอง แต่เพิ่งได้ยินมาว่าฉินเวยเวยนั่นโดนเฟิงเป่ยเฉินจับไปขืนใจแล้ว ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า?”
“ไม่มีมูลหมาไม่ขี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง ถ้าไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะตามไปสู้ตายกับเฟิงเป่ยเฉินทำไม ไม่ต้องสนใจหรอก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้นอนกับผู้หญิงของเจ้าสักหน่อย อย่าพูดมากจะดีกว่า จะได้ไม่ซวยเพราะปาก”
อีกด้านหนึ่ง จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันสองสามีภรรยาขี่สัตว์พาหนะเคียงข้างกัน นำกำลังพลกลุ่มใหญ่ข้างหลังวิ่งตะบึงไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน เสียงกีบเท้าอาชามังกรดังราวกับฟ้าผ่า ราวกับจะเหยียบให้ภูเขาแม่น้ำพัง
“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ! ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันยังนั่งเรือเที่ยวด้วยกันอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวสหายเหมียวก็มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉิน กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์แล้ว จินตนาการไม่ออกจริงๆ” พอได้ยินข่าว จ้าวเฟยก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ เป็นเพราะข่าวนี้สั่นสะเทือนเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าหกปราชญ์ที่เป็นกฎเหล็กที่ควบคุมหกแดนจะถูกคนแทนที่แล้ว
“ในปีนั้นก็รู้สึกว่าเจ้านั่นมีจุดที่ไม่ธรรมดา ข้ายังอยากรับมาเป็นลูกน้องอยู่เลย ตอนนี้มาลองคิดดูแล้วก็น่าขำจริงๆ!” อูเมิ่งหลันถอนหายใจเช่นกัน แต่พอมองไปรอบๆ ก็ถ่ายทอดเสียงถามอีกว่า “เรื่องที่ฉินเวยเวยโดนเฟิงเป่ยเฉินย่ำยี เจ้าว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”
จ้าวเฟยกลอกตามองนาง “เจ้ากลายเป็นคนปากมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? นี่คือสิ่งที่พวกเราพูดได้เหรอ?”
อูเมิ่งหลันกลอกตามองเขา “ข้าก็คุยส่วนตัวกับเจ้าไม่ใช่รึไง ข้ารู้สึกว่าฉินเวยเวยนั่นก็ไม่เลวนะ ถ้าเหมียวอี้ทิ้งนางเพราะเรื่องนี้ แบนนั้นเหมียวอี้ก็ไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว ผู้ชายอย่างพวกเจ้าอยากจะให้ผู้หยิงรักษาความบริสุทธิ์ แต่ก็ปกป้องผู้หญิงของตัวเองไม่ได้อีก มีสิทธิ์อะไรมาผลักความรับผิดชอบทุกอย่างให้ผู้หญิงล่ะ?”
จ้าวเฟยเงยหน้ามองว่าสภาพอากาศเป็นเช่นไร เรื่องแบบนี้คุยกับผู้หญิงไปก็ไม่เข้าใจ ปล่อยให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็พอแล้วในหัวกำลังนึกถึงเหล่าหญิงงามที่ลูกน้องนำมาบรรณาการให้ เป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าหมดความรู้สึกต่อกัน แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะอยากลิ้มลองของใหม่ ไม่รู้ว่าถ้าตัวเองรับอนุภรรยาแบบเหมียวอี้อีกสักสองสามคน อูเมิ่งหลันจะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร จะรับหญิงงามพวกนั้นเข้าห้องดีมั้ยนะ? เขาคิดวนเวียนกับเรื่องนี้มาก!
ทั้งสายมะโรง นอกจากประมุขปราสาทสายต่างๆ ที่มารวมตัวกันที่ตำหนักเจิ้นกุ่ยปราสาทดำเนินธาราเพื่อรอฟังคำสั่ง พวกประมุขตำหนักที่เหลือก็กำลังอยู่กับกำลังพลที่ติดตามมา
ตำหนักเจิ้นกุ่ยของปราสาทดำเนินธาราถูกหยางชิ่งใช้งานชั่วคราว เมื่อได้ทราบข่าวว่าเหมียวอี้ได้แทนที่เฟิงเป่ยเฉินอย่างเป็นทางการ เดิมทีเป็นข่าวที่น่ายินดี แต่ใครจะคิดว่าข่าวเกี่ยวกับฉินเวยเวยที่ตามมาทีหลังจะทำให้เขาอารมณ์ดิ่งลงจนถึงจุดต่ำสุด
เขาหลบอยู่ในห้องหนึ่งวันโดยไม่ออกไปไหน โต๊ะก็พลิกล้มแล้วเช่นกัน ของก็พังเกลื่อนเต็มพื้น ชิงเหมยกับชิงจวี๋ก็สีหน้าแย่เช่นเดียวกัน เก็บข้าวของที่พังอยู่ในห้องเงียบๆ บางครั้งก็แอบมองหยางชิ่งที่กำลังเอามือไขว้หลังยืนเงียบไม่พูดอะไรอยู่ริมหน้าต่าง
สุดท้าย หยางชิ่งก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับฉินเวยเวย ถามนางว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อได้ยินฉินเวยเวยบอกว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น หยางชิ่งก็ถามอีกว่าเหมียวอี้มีท่าทีเป็นอย่างไร ฉินเวยเวยบอกว่าทุกอย่างปกติ ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้โล่งใจแล้ว
เพียงแต่เมื่อเก็บระฆังดาราเสร็จแล้ว เขาก็ทำสีหน้าดุร้ายทันที สั่งด้วยน้ำเสียงขรึมเข้มว่า “ชิงเหมย เจ้าไปเตรียมการเรื่องนี้ ให้คนแอบจับตาดูอย่างลับๆ ถ้ามีกำลังพลคนไหนในสายมะโรงกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ก็สังหารให้ข้าเลย! ไม่สนว่าจะเป็นใคร ข้าต้องการศีรษะหนึ่งพันใบ!”
ชิงจวี๋อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกังวล “นายท่าน เรื่องแบบนี้แพร่กระจายออกไปแล้ว ต่อให้ฆ่าก็เกรงว่าจะอุดปากฝูงชนไม่ได้อยู่ดี!”
หยางชิ่งตวาดเสียงเข้ม “อุดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าฆ่าหนึ่งคนเพื่อเตือนหนึ่งร้อยคนได้ได้ ไม่ทำให้ข่าวแพร่กระจายออกไปก็พอ ข้าไม่อาจทนดูข่าวนี้ลือกันสนั่นโดยไม่ทำอะไร ไปจัดการเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการหนึ่งพันหัวภายในสามวัน!”
“เจ้าค่ะ!” ชิงเหมยเห็นเขาโมโหแล้วจริงๆ จึงรีบเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ณ ตำหนักอู๋เลี่ยง เหมียวอี้ในเวลานี้กำลังรับการยอมจำนนจากท่านทูตสายต่างๆ ของแดนอู๋เลี่ยง เมื่อสถานการณ์ถูกกำหนด หลังจากห้าปราชญ์ประกาศสนับสนุนแล้ว ท่านทูตสายต่างๆ ก็วิ่งมาทันที
หลังจากได้พบหน้าทีละคนแล้ว เรื่องต่อไปจะจัดการอย่างไร เหมียวอี้ก็โยนงานนี้ให้พวกสงเวยปรึกษากับอวิ๋นจือชิวเพื่อจัดการ
ตรงนี้เพิ่งจะให้ท่านทูตคนหนึ่งถอยออกไป ฉินเวยเวยที่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีก็เข้ามาในโถงหลัก
เดิมทีนางยังไม่รู้ข่าวที่ลือกันข้างนอก คนที่อยู่ข้างกายไม่กล้าบอกนาง เป็นเพราะหยางชิ่งถามแบบนั้นนางถึงได้รู้ สิ่งนี้ทำให้นางหวาดกลัวถึงขีดสุด
เมื่อเห็นสีหน้านางผิดปกติ เหมียวอี้ก็ยืนขึ้นแล้วเข้ามาถาม “เวยเวย เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่สบายเหรอ?”
ฉินเวยเวยคุกเข่าต่อหน้าเขาทันที น้ำตาคลอเบ้าแล้ว พูดเสียงสั่นว่า “ระหว่างข้ากับเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้เกิดเรื่องน่าอับอายอะไรขึ้นเลยจริงๆ”
พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว รู้ว่านางได้ยินข่าวลือมาแล้ว จึงโน้มตัวประคองนางขึ้นมาด้วยตัวเอง “ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าระหว่างเจ้ากับเฟิงเป่ยเฉินไม่มีอะไร เฟิงเป่ยเฉินจงใจพูดซี้ซั้วให้ข้าโมโห ที่จริงฝ่ายข้ามีคนแอบจับตาดูทุกการกระทำของเฟิงเป่ยเฉินอยู่ตลอด ขนาดฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉินยังเป็นคนของข้าเลย เขาทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ข้ารู้ดีที่สุด ข้าย่อมเชื่อในความบริสุทธิ์ของเจ้าอยู่แล้ว ถ้าข้าไม่เชื่อ ข้าคงเลิกกับเจ้าไปแล้ว!”
ที่จริงคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำปลอบใจ หลังจากเฟิงเป่ยเฉินชิงตัวฉินเวยเวยหนีไป เขาจะไปจ้องดูทุกการกระทำของเฟิงเป่ยเฉินได้อย่างไร ถ้าจะพูดให้หยาบๆ หน่อยก็คือ ฉินซีย่อมต้องเข้าข้างลูกสาวตัวเองอยู่แล้ว สิ่งที่พูดออกมาย่อมเป็นสิ่งที่ปกป้องลูกสาวตัวเอง ดังนั้นคำพูดจึงอาจจะไม่น่าเชื่อถือ แต่อย่างน้อยเหมียวอี้ก็ยังเชื่อมั่นในตัวฉินเวยเวย ถ้ามีอะไรที่ผิดปกติจริงๆ เกรงว่าฉินเวยเวยคงจะมีปฏิกิริยาที่ไม่ปกติตั้งนานแล้ว
พอได้ยินว่าเหมียวอี้จับตาดูเฟิงเป่ยเฉินอยู่ตลอด พอได้รู้ว่าเหมียวอี้เองก็มีพยานบุคคล ไม่จำเป็นต้องให้ใครพิสูจน์ จะมีการพิสูจน์ของใครที่มีพลังยิ่งกว่าเหมียวอี้ล่ะ ในที่สุดหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจฉินเวยเวยก็ตกลงพื้นแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้นางกระโดดลงมหาสมุทรก็ล้างตัวเองให้สะอาดไม่ได้จริงๆ ชั่วขณะนั้นนางสุขใจที่ได้หลุดจากความเศร้า เข้าไปหมอบบนบ่าเหมียวอี้แล้วร้องไห้ฟูมฟายทันที ก่อนหน้านี้นางถึงขั้นเตรียมตัวจะตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ
ที่จริงเป็นเพราะเหมียวอี้ไหวตัวเร็ว วิธีการปลอบโยนค่อนข้างรวดเร็วราบรื่นและมีพลัง ไม่อย่างนั้นถ้าเหมียวอี้ทำท่าสงสัยแม้แต่นิดเดียว ฉินเวยเวยจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่นอน นี่คือความเศร้าสลดหลังจากแต่งงานแล้ว นางไม่ใช่ตัวเองคนเดิมอีกต่อไป ใช่ว่าทุกคนจะยืนหยัดเป็นตัวของตัวเองมาได้ตลอดเหมือนอวิ๋นจือชิว
ประเพณีนิยมของสังคมก็เป็นแบบนี้ โหดร้ายกับผู้หญิงมาก ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงถึงขั้นมีค่ากว่าชีวิตของผู้หญิงด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้ว่าทำไมหยางชิ่งถึงเดือดดาลขนาดนั้น!
…………………………