พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1117 รังเกียจแทบแย่
ข่าวที่เหมือนจะใช่แต่ความจริงไม่ใช่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปสืบมาอย่างไร คาดว่าขนาดเหมียวอี้ได้ยินแล้วยังต้องงง ขนาดขาของโค่วเหวินหลานเขายังเกาะได้ไม่แน่นด้วยซ้ำ แล้วจะไปเกาะขาของอ๋องสวรรค์โค่วเมื่อไรกัน?
แต่จะว่าไปแล้ว อวิ๋นจือชิวให้เวลาพวกเขาสืบข่าวเพียงสามวันเท่านั้น ภายในสามวันจะสืบอะไรได้ล่ะ? พวกเขาไม่คุ้นเคยกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของที่นั่น ข่าวที่ได้ฟังมาก็เป็นสิ่งที่พูดตามๆ กันมาเช่นกัน คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีภูมิหลังอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายจะมาพูดเรื่องราวเบื้องลึกเกี่ยวกับคนระดับสูงของตำหนักสวรรค์ให้คนนอกอย่างพวกเขาฟังได้อย่างไร คนส่วนใหญ่ที่อยู่ระดับล่างลงมาต่างก็คิดว่าเหมียวอี้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่วทั้งนั้น
ตอนยังไม่ได้ฟังก็ไม่รู้ แต่พอได้ฟังว่าเหมียวอี้ได้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่ว ทั้งยังได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ ซือถูเซี่ยวก็กลืนน้ำลายทันที โดยทั่วไปมีเพียงนักพรตระดับบงกชรุ้งเท่านั้นถึงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบของตำหนักสวรรค์ แต่เหมียวอี้ได้เป็นแล้วงั้นเหรอ?
ตอนที่ยังรู้รายละเอียดของเหตุการณ์ ก็ยังยโสโอหังมองไม่เห็นหัวใคร แต่หลังจากได้รู้ถึงโครงสร้างของพิภพใหญ่คร่าวๆ ถึงได้พบว่าหนึ่งในหกปราชญ์ของพิภพเล็กอย่างตนมีอยู่ถมเถไป ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรทั้งนั้น ราชันสวรรค์กับอ๋องสวรรค์เป็นตัวละครแบบไหนล่ะ ขนาดนักพรตบงกชรุ้งยังเพียงพอที่จะทำให้เขาเคารพเลื่อมใส มิหนำซ้ำยังเป็นราชันสวรรค์กับอ๋องสวรรค์ นั่นคือตัวละครระดับบนสุดในบรรดานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเชียวนะ จามทีเดียวก็ทำให้พวกเจ้าตายได้แล้ว
ซือถูเซี่ยวไม่มีทางบรรยายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้ จึงกล่าวถามช้าๆ ว่า “เรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราได้ไปสืบมาบ้างหรือเปล่า?”
“พอพูดถึงเรื่องนี้ ศิษย์ก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่เลย!” หวังเต้าหลินทำท่าทางตกใจหวาดผวา “อาจารย์! เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเรามีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดาที่พิภพใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของหกปราชญ์จะเป็นหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่”
“หกเคล็ดวิชาพิเศษ?” ซือถูเซี่ยวสีหน้าท่าทางฮึกเหิม ถามว่า “อาจจะถูกจัดให้เป็นเคล็ดวิชาระดับบนๆ ของพิภพใหญ่เลยหรือเปล่า?”
“เป็นเคล็ดวิชาระดับบนๆ ได้อยู่แล้ว หกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของหกมหาราชัน ผู้ซึ่งเคยปกครองพิภพใหญ่ แต่หกมหาราชันถูกราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะโค่นล้มไปแล้ว คนที่มีความเกี่ยวข้องกับหกมหาราชันล้วนถูกยัดข้อหาโจรกบฏ ถูกมองเป็นกากเดนที่ยังไม่ถูกกำจัด!” หวังเต้าหลินยิ้มขื่นขม “เหมียวอี้พูดไม่ผิด เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราไม่สะดวกจะเผยแพร่ที่พิภพใหญ่จริงๆ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นโจรกบฏทันที จะโดนตำหนักสวรรค์ส่งทหารมาล้อมปราบ!”
“โจรกบฏ…” ซือถูเซี่ยวงงเป็นไก่ตาแตก ตัวเองยังไม่เคยไปที่พิภพใหญ่เลย และเพิ่งจะรู้ด้วยว่ามีตัวละครอย่างหกมหาราชัน ใครจะคิดว่าจะกลายเป็นโจรกบฏของพิภพใหญ่โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แบบนี้จะไปเรียกร้องความยุติธรรมที่ไหนได้ล่ะ? ถ้าอย่างนั้นพิภพใหญ่ที่เคยใฝ่ฝันมาตลอด จะไปหรือไม่ไปดีล่ะ? ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงไม่สนใจเคล็ดวิชาของเขา ให้เขากอดไว้เล่นเอง เพราะลองดีกับเคล็ดวิชาของพวกเขาไม่ไหวจริงๆ ด้วย…
ในห้องพักของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน
หลังจากได้ฟังลูกศิษย์ตัวเองเล่าจบแล้ว มู่ฝานจวินก็ถามอย่างประหลาดใจสงสัยว่า “ถ้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าเหมียวอี้มีอำนาจที่พิภพใหญ่ไม่น้อยเลยจริงๆ เหรอ?”
จงเจิ้นพยักหน้า “เป็นแบบนั้นจริงๆ ขอรับ ทุกคนยอมรับกันโดยทั่วไป ตลาดสวรรค์เป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของพิภพใหญ่ และเป็นแหล่งที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สุดด้วย ถ้าเป็นคนที่ไม่มีภูมิหลัง คิดอยากจะเป็นผู้บัญชาการสักเขตก็ยังยากเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บัญชาการใหญ่ที่คอยบัญชาการทั้งตลาดสวรรค์! เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ทางนั้นเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง พิภพใหญ่ในตอนนี้ยังคงพูดคุยถึงประเด็นนี้ไม่หยุด คนที่สัญจรไปมาที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนต่างก็กำลังพูดคุยกันเรื่องเหมียวอี้”
“หมายความว่าอย่างไร?” มู่ฝานจวินรีบถาม
จงเจิ้นเล่าว่า “ว่ากันว่าพวกผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์อยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการสี่เขตเมืองของตลาดสวรรค์ จึงส่งคนมาหาเหมียวอี้เพื่อขอให้อำนวยความสะดวก แต่เหมียวอี้ไม่ไว้หน้า ผลปรากฏว่ากลุ่มผู้จัดการร้านค้าของตลาดสวรรค์อาศัยว่าตัวเองมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์คอยหนุนหลัง อยากจะร่วมมือกันกดดันให้เหมียวอี้ลงจากตำแหน่ง แต่ใครจะคิด เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือสั่งลูกน้องให้ปิดทางเข้าออกตลาดสวรรค์เลย ปิดประตูตีหมา ส่งทหารไปจับตัวคนพวกนั้นมาเสียเลย กวาดล้างร้านค้าของผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์หลายร้อยร้าน ค้นยึดร้านและจับตัวคน ทาสของผู้มีอำนาจที่ตำหนักสวรรค์ห้าพันกว่าคนถูกเหมียวอี้บังคับให้มานั่งคุกเข่ารวมกันท่ามกลางฝูงชน ยังไม่จบแค่นั้น พอเหมียวอี้เอ่ยสั่งแค่คำเดียว ก็ตัดหัวคนไปสามพันกว่าคนต่อหน้าฝูงชน สังหารจนเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ! ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเหมียวอี้ต้องซวยแน่ๆ ใครจะคิดว่าหลังจากจบเรื่องเหมียวอี้จะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าไม่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง เหมียวอี้จะกล้าเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ของทั้งตำหนักสวรรค์ได้อย่างไร? จะเห็นได้ว่าข่าวที่ได้ยินมาเป็นความจริง เหมียวอี้มีอำนาจและภูมิหลังที่พิภพใหญ่ไม่น้อยเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่กล้าทำอย่างนี้แน่นอน!”
มู่ฝานจวินได้ยินแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง ศีรษะทาสประจำตระกูลผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์สามพันกว่าคนงั้นเหรอ? นางเองก็เป็นคนที่ปกครองอาณาเขตเช่นกัน แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้สร้างปัญหาใหญ่โตขนาดไหนในโครงสร้างอย่างตำหนักสวรรค์ ขนาดทำแบบนี้ยังไม่เป็นอะไรเลยเหรอ?
ตอนนี้นางนับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ถึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ตอนนี้เจ้าตัวเห็นพวกเขาเป็นเพียงกากเดนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะในมือบีบตัวประกันเอาไว้ ดีไม่ดีเหมียวอี้อาจจะนำคนมากำจัดพวกเขาตั้งนานแล้วก็ได้ คิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกหวาดผวาในใจ
หลังจากครุ่นคิด มู่ฝานจวินก็ถามว่า “ในเมื่อเหมียวอี้สามารถใช้หุ้นส่วนหนึ่งของร้านค้ามาแลกกับตำแหน่งทางการ ถ้าพวกเราลงทุนสักหน่อน จะสามารถใช้วิธีการเดียวกันหาเส้นสายที่พิภพใหญ่ได้หรือเปล่า?”
“…” หลังจากจงเจิ้นอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนทันที “ท่านอาจารย์ ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าหุ้นของร้านค้าที่เหมียวอี้ทุ่มออกไปมีมูลค่าเท่าไร ต่อให้ขายทั้งพิภพเล็ก พวกเราก็ยังห่างไกลมากอยู่ดี ศิษย์ได้ไปเดินซื้อของอยู่ที่นั่นถึงได้พบว่าตัวเองยากจนจริงๆ ไม่ได้ยากจนธรรมดา แต่ยากจนมาก สินค้าที่ดีๆ หน่อยศิษย์ก็ซื้อไม่ไหวเลย ว่ากันว่าตอนนั้นเหมียวอี้ก็โดนกดดันจนหมดทางเลือกเช่นกัน ถึงได้ปล่อยหุ้นส่วนนั้นไป หมดหนทางแล้วจึงทำแบบนี้เพื่อปกป้องชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะหุ้นมีราคาแพงมาก มีหรือที่จะได้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่ว ตอนนี้ร้านขายของชำซื่อตรงนับว่าค้าขายทำกำไรที่พิภพใหญ่ได้แล้ว แม้แต่ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ก็ยังอิจฉาตาร้อน ที่เหมียวอี้สามารถมีวันนี้ได้ ก็เรียกได้ว่าลงทุนไปเยอะมากจริงๆ กว่าเขาจะปักหลักที่พิภพใหญ่ได้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แต่เขาก็คลี่คลายสถานการณ์จนได้ จะว่าไปแล้วศิษย์ก็ยังนับถือเลย เจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ มีจิตใจแห่งการต่อสู้ฝ่าฟัน! ด้วยเงื่อนไขของพวกเราในตอนนี้ ถ้าอยากจะลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่ได้ในทันทีที่ไป ก็เกรงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้เหมียวอี้มีโอกาสที่ดีแต่ก็ต้องลำบากอยู่หลายร้อยปี เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราไปแล้วจะไม่ลำบากก่อนสักระยะ”
มู่ฝานจวินพูดไม่ออกแล้ว บอกไม่ถูกว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร…
ทางด้านตำหนักหลัง ท่านขุนนางเหมียวเกิดปัญหาแล้ว อวิ๋นจือชิวไม่เชื่อเลยว่าเขากินปูนร้อนท้องเพราะปวดใจที่นางวิ่งเต้นทำงาน นอนด้วยกันมาตั้งกี่ปีแล้ว คำพูดประเภทนี้มีหรือที่จะตบตานางได้?
ภายใต้การถูกกดดันซ้ำๆ เหมียวอี้ทำได้เพียงเล่าเรื่องที่หงเฉินมาหาเขาให้ฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าในปีนั้นตัวเองสัญญาไว้ว่าจะแต่งงานกับหงเฉิน จะพูดสิ่งนี้ออกมาไม่ได้ ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ว่าก่อนแต่งงานกับนางเคยไปพูดแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นไว้ ผู้หญิงคนนี้จะต้องกระโดดมากัดเขาตายแน่นอน
หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็สงบลงแล้ว นางทิ้งเหมียวอี้เอาไว้ แล้วขมวดคิ้วเดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้เดินตามหลังนางอย่างระมัดระวัง ในบ้านมีอนุภรรยาสามคนแล้ว มีหญิงรับใช้ร่วมห้องเป็นโขยง ถ้ายังจะแต่งงานรับเข้ามาอีก ต่อให้เขาจะหน้าด้านกว่านี้แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี เรื่องแบบนี้จะทำให้อวิ๋นจือชิวทนความรู้สึกได้อย่างไ?
เขาอยากจะให้หงเฉินไปคุยเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิวเองมากกว่า เขาไม่อยากจะเอ่ยปาก ที่สำคัญคือพูดไม่ออก แต่ตอนนี้ถูกกดันให้พูดออกมาแล้ว
เมื่อหยุดอยู่ข้างกระถางต้นไม้ที่เคยผ่านการตัดแต่ง อวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาถามว่า “เจ้าตอบตกลงไปแล้วเหรอ?”
เหมียวอี้ยกมือสองข้าง “ข้าจะตอบตกลงได้ยังไง ถ้าตอบตกลงไปแล้วข้าจะยังปิดบังไม่บอกเจ้าได้เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว พลางแสยะยิ้มถามว่า “ถ้าไม่ได้ตอบตกลงแล้วเจ้าจะกินปูนร้อนท้องทำไม? เกรงว่าเจ้าเองก็อยากจะตอบตกลงเหมือนกันน่ะสิ?”
เหมียวอี้ยืดอกทันที กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้มีความคิดนี้เลยจริงๆ!”
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกว่า “ถ้าข้าไม่ตอบตกลงเจ้าเรื่องนี้ หากเจ้าสามของเจ้ามีอันเป็นไปขึ้นมา เจ้าจะไม่แค้นข้าไปทั้งชาติเลยเหรอ?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าข้าตอบตกลงเรื่องนี้ไม่ได้ ข้าจะหาทางสู้กับมู่ฝานจวินเอง” เหมียวอี้ปฏิเสธ
“พอเถอะ!” อวิ๋นจือชิวหันหน้ามา จากนั้นเดินส่ายเอวไปข้างหน้า หันหลังบอกเขาว่า “จะแต่งก็แต่งไปเถอะ เดี๋ยวไปคุยกับมู่ฝานจวิน ขอเพียงเจ้าพูดโน้มน้าวมู่ฝานจวินได้ ข้าก็ไม่มีความเห็นอะไร อย่างไรเสีย เมื่อแต่งเข้ามาเจ้าก็ต้องหาทางเลี้ยงนางเองอยู่แล้ว”
เอ๋! หงเฉินเดาถูกแล้วจริงๆ เหรอ? เหมียวอี้รีบเดินตาม ถามยืนยันให้แน่ใจ “เจ้าตอบตกลงแล้วจริงๆ เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวหยุดฝีเท้า หันขวับมาจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ สายตานั้นราวกับจะกินคน เรื่องนี้นางสามารถตอบตกลงได้ แต่ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเขาทำจนติดเป็นนิสัยจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องแต่งงานรับผู้หญิงเข้าบ้านอีกกี่รอบ
เหมียวอี้ตกใจมาก ตกใจจนทำสีหน้าไม่ถูกและถอยหลังอย่างช้าๆ รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว
“ยังมาบอกอีกเหรอว่าเจ้าไม่อยาก?” อวิ๋นจือชิวร้องโวยวายทันที ราวกับเป็นผู้หญิงบ้า เท้าที่อยู่ใต้กระโปรงลอยออกมาก่อน แต่เหมียวอี้ไหวตัวได้เร็ว เบี่ยงตัวหลบแล้ว
การหลบครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาแล้ว!
“น่าเกลียดไร้ยางอาย กินอยู่ในชามยังมองไปในหม้อ ไปหาคนนั้นทีไปหาคนนี้ที ย่ำยีดอกไม้ไปทั่ว เจ้ายังกล้าหลบอีกเหรอ?” อวิ๋นจือชิวใช้ความรุนแรงทันที นางร้องโวยวาย โผเข้าไปดึงเหมียวอี้มาซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย
ท่านขุนนางเหมียวหลบไม่ไหวแล้ว เหตุผลก็ที่มีก็ฟังไม่ขึ้น ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะตอบโต้ นั่งยองๆ เอามือกุมศีรษะ ปล่อยให้ฮูหยินจับเขามาระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่ง เรีบกได้ว่าโดนซ้อมไปยกหนึ่ง!
และในตอนนี้ มู่ฝานจวิน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวและจีฮวนก็มาอยู่ข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
สำหรับห้าปราชญ์ ข่าวที่ลูกศิษย์ทั้งห้านำกลับมาจากพิภพใหญ่ทำให้พวกเขาตกตะลึงเกินไปจริงๆ พิภพใหญ่ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนั่นยังคงลึกลับมากสำหรับพวกเขา ลูกศิษย์ทั้งห้าไปอยู่เพียงห้าวัน ข่าวที่สืบมาได้ก็เท่านั้นเอง แต่เห็นจุดเดียวก็ทำให้เห็นภาพรวม จะเห็นได้ว่าพิภพใหญ่ยังมีหลายสิ่งที่รอให้พวกเขาไปค้นหา
สิ่งที่ทำให้ห้าปราชญ์เซ็งที่สุดก็คือเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเอง ขนาดยังไม่เคยไปพิภพใหญ่ เพิ่งจะได้ข่าวมานิดหน่อยก็กลายเป็นโจรกบฏของตำหนักสวรรค์แล้ว ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้!
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนได้กินอะไรบางอย่างแล้วกลืนลงท้องได้แค่แมลงวันตัวเดียว ทั้งห้าคนอยากจะซ้อมเหมียวอี้จริงๆ เจ้าเวรนั่นกลัวพวกเขาไม่ได้ตายดี จงใจให้พวกเขาไปสืบเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นใครจะถ่อไปสืบข่าวถามเรื่องนี้ล่ะ ถ้าไม่ถามคงไม่รู้ พอถามแล้วเหมียวอี้ก็ทำให้พวกเขารังเกียจแทบแย่
เปรียบเทียบเหมือนเวลาตัวเองหิวแทบตาย แล้วจู่ๆ ก็มีอาหารเลิศรสโต๊ะหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา ขณะกำลังจะโผเข้าไปเขมือบ พ่อครัวคนหนึ่งที่แซ่เหมียวก็เดินเอ้อระเหยมาบอกพวกเขาว่า ในอาหารมียาพิษ จะทำให้คนที่กินตายได้ ถ้าอยากจะกินก็ต้องพิจารณาให้ดี!
จะไปหรือจะไม่ไปดี ทั้งห้ากำลังคิดวนเวียนสับสน!
…………………………