พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1119 ต้องกำจัดทิ้ง
เขามีท่าทีไม่สงบแล้ว อวิ๋นจือชิวมองไปที่มู่ฝานจวินด้วยรอยยิ้ม แสดงออกว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว
คำตอบของมู่ฝานจวินเรียบง่ายมาก “นางหนู อาศัยภูมิหลังชาติกำเนิดอย่างเจ้า ไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตามคนอื่นอย่างนี้ ผู้หญิงได้รับความไม่ยุติธรรมจนกลายเป็นอย่างเจ้า ช่างใช้ได้จริงๆ!” นางเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน นางไม่เชื่อเลยว่าอวิ๋นจือชิวจะยินยอมจากใจจริงให้สามีของตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอีก
อวิ๋นจือชิวสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ทว่าคำพูดนี้กลับทำให้เหมียวอี้ไม่สบายใจ ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต่อให้อวิ๋นจือชิวแต่งงานกับผู้ชายเพิ่มอีกสักคน เขาก็รับไม่ไหวเหมือนกัน มิหนำซ้ำเขายังแต่งงานรับอนุภรรยาเข้าบ้านติดต่อกันหลายครั้งแบบนี้อีก
มีอยู่จุดหนึ่งที่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็ด่าไว้ไม่ผิด ที่นางตีก็ไม่ผิด ถ้าจะบอกว่าความงามของเทพธิดาหงเฉินไม่ทำให้เขาใจสั่นเลย นั่นก็แสดงว่าพูดโกหกแล้ว ผู้ชายที่สามารถไม่ใจสั่นเลยสักนิดเมื่อเผชิญหน้ากับสาวงาม แสดงว่าจะต้องป่วยแน่นอน เขาย่อมเป็นผู้ชายปกติอยู่แล้ว
เมื่อเห็นแบบนี้ มู่ฝานจวินจึงไม่พัวพันอยู่กับคำถามนี้อีก บอกเหมียวอี้ว่า “เพื่ออนาคตของเจ้า นางหนูอวิ๋นตอบตกลงอย่างไม่เสียดายว่าจะมาเป็นตัวประกันให้ข้าที่แดนโพ้นสวรรค์ กาแต่งงานกับเมียแบบนี้คือวาสนาของเจ้า ต่อไปก็ทำตัวดีกับนางหนูอวิ๋นหน่อยแล้วกัน อย่าทำให้คนในบ้านผิดหวัง!”
“เป็นตัวประกัน?” เหมียวอี้พึมพำอย่างไม่เข้าใจ แล้วหันไปมองอวิ๋นจือชิวด้วยแววตาสงสัย
อวิ๋นจือชิวงงไปชั่วขณะ และถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจเช่นกันว่า “เหตุใดปราชญ์เซียนจึงพูดแบบนี้? ข้าไปตอบตกลงเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ของท่านตั้งแต่เมื่อไร?”
มู่ฝานจวินที่พูดส่งเดชเพื่อชี้แนะเหมียวอี้ พอได้ยินแบบนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน ขมวดคิ้วถามว่า “ก่อนหน้านี้ที่หยางชิ่งถือจดหมายของเจ้ามาเจรจาที่แดนโพ้นสวรรค์ เพื่อที่จะแลกกับการสนับสนุนจากข้า หยางชิ่งบอกว่าเจ้ายินดีมาเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ อย่าบอกนะว่าไม่จริง?”
“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถามอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วครู่ หลังจากดวงตาวูบไหว ก็ตอบมู่ฝานจวินด้วยรอยยิ้มว่า “ก็เป็นเรื่องจริง เพียงแต่วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน ท่านไม่ได้รักษาสัญญา ข้าก็ย่อมไม่ต้องทำตามสัญญา”
“เชอะ!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม แล้วกลับมาสู่ประเด็นหลัก “เรื่องสู่ขอแต่งงานข้าจะพิจารณาอีกที หลังจากนี้ครึ่งวันจะให้คำตอบพวกเจ้า!” พูดแบบนี้เท่ากับเป็นการส่งแขกแล้ว
“ได้!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาดึงแขนเสื้อเหมียวอี้ “อะไรที่เป็นของเจ้าก็หนีไปไม่พ้น ถ้าไม่ใช่เจ้าใครก็เอาไปไม่ได้ ถ้าไม่ใจร้อน เจ้ากลับไปกับข้าก่อนแล้วกัน”
คำพูดแบบนี้ ทำให้เหมียวอี้อับอายในใจ สองสามีภรรยาเดินจากไปด้วยกันแล้ว
หลังจากมองส่งทั้งสองหายไป มู่ฝานจวินที่เอามือไขว้หลังก็หลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเรียกเสียงเรียบว่า “หงเฉิน!”
หงเฉินที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาเบาๆ “ศิษย์อยู่นี่ค่ะ!”
“สิ่งที่สองสามีภรรยานั่นพูด เจ้าคงจะได้ยินหมดแล้วนะ?” มู่ฝานจวินหันตัวไปมองนาง
หงเฉินเหมือนลูกคลื่นที่สงบ ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ได้ยินแล้วค่ะ”
มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ลูกศิษย์ของข้าต่อให้แต่งงานกับบ้านไหน ก็มีแต่ต้องเป็นภรรยาเอกนายหญิงของบ้านเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าอยากจะรับลูกศิษย์ข้าไปเป็นอนุภรรยา กำเริบเสิบสานจริงๆ! แต่จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงเมื่อเติบใหญ่ก็รั้งไว้ไม่อยู่ เวลาแต่งงานก็ควรต้องแต่ง ทั้งชีวิตนี้ถ้าไม่ได้ลิ้มลองรสชาติที่ผู้หญิงควรได้ลอง ก็อาจจะเสียชาติเกิดเหมือนกัน หากเจ้าเต็มใจแต่งงานกับเขา อาจารย์ก็จะไม่ห้าม มีแต่จะอวยพรให้ แล้วก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมด้วย จะจัดงานให้เจ้าอย่างมีหน้ามีตา!”
หงเฉินส่ายหน้าเบาๆ “ศิษย์ไม่อยากแต่งงานค่ะ!”
นี่ไม่ใช่คำโกหก เป็นสิ่งที่นางพูดจากใจจริงเช่นกัน ถึงแม้ลับหลังจะเคยแอบติดต่อกับเหมียวอี้ และเป็นฝ่ายแสดงออกว่าเต็มใจแต่งงานกับเขา แต่ใจจริงของนางไม่ได้อยากแต่งงานเลย
มู่ฝานจวินย่อมรู้จักนิสัยศิษย์ของตัวเองอยู่แล้ว หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็เป็นฝ่ายยื่นมือออกมาจับฝ่ามือข้างหนึ่งของหงเฉินเอาไว้อย่างที่ไม่เคยทำบ่อยๆ ทำสีหน้าเมตตา จูงมือหงเฉินเดินช้าๆ ไปข้างหน้าตามทางเดินยาวใต้ชายคา พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “นางหนูเอ๊ย! เราเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กันมานานมาก แต่ไม่เคยสงบจิตสงบใจคุยกันดีๆ เลย เราสองคนมาคุยกันด้วยความจริงใจดีกว่า”
หงเฉินที่ถูกจูงมือเดินช้าๆ ด้วยกันค่อนข้างใจลอยเคลิบเคลิ้ม ชั่วพริบตานี้ นางราวกับได้ย้อนกลับไปช่วงเวลาในวัยเด็ก ในตอนนั้นอาจารย์อ่อนโยนต่อนางมาก มักจะจูงมือเล็กๆ ของนางพลางกล่าวให้กำลังใจอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ เพียงแต่หลังจากเติบโตขึ้น ก็เหมือนจะเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปถูกปฏิบัติด้วยอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเด็กน้อยอีก นานมากแล้วที่อาจารย์ไม่ได้พูดกับนางอย่างอ่อนโยนแบบนี้ ฉากนี้ทำให้นางคัดจมูกเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ามองใบหน้าด้านข้างของมู่ฝานจวิน
“นางหนู! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเราห้าปราชญ์จึงล้อมอยู่ข้างกายเหมียวอี้ตลอด?”
“ศิษย์ไม่ทราบค่ะ!”
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องพิภพใหญ่ใช่มั้ย? ข้าจะพูดเรื่องเกี่ยวกับพิภพใหญ่ให้เจ้าฟังแล้วกัน พิภพใหญ่มีอยู่จริงๆ ข้าส่งจงเจิ้นศิษย์พี่ของเจ้าไปมารอบหนึ่งแล้ว ศิษย์พี่เจ้าได้ข้อมูลกลับมาไม่น้อย ตอนนี้เหมียวอี้ค่อนข้างมีอำนาจที่พิภพใหญ่…”
เล่าสถานการณ์ของพิภพใหญ่ รวมทั้งตำแหน่งของเหมียวอี้ที่พิภพใหญ่ในปัจจุบันออกไม่หยุด เทพธิดาหงเฉินฟังจนตกตะลึงไม่หยุด!
หลังจากบอกให้รู้โดยไม่ปิดบัง อาจารย์และลูกศิษย์ก็หยุดอยู่ข้างๆ แปลงปลูกดอกไม้ที่ยกพื้นสูง มู่ฝานจวินหันมาเผชิญหน้ากับหงเฉิน แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ข้ารู้ถึงความคิดจิตใจของเจ้า เจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสบสุข แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจนะ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าไม่มีรากฐานที่มั่นคง แล้วจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อย่างไร ถ้าอยากจะอยู่อย่างสงบ ก็ต้องมีคุณสมบัติที่จะอยู่อย่างสงบ ถ้าวันไหนสำนักไร้ที่ยืน ประสบหายนะ เจ้าจะโชคดีรอดพ้นไปได้เหรอ? คนเราเกิดมา มีหลายเรื่องที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ อาจารย์ก็อยากจะเป็นอิสระเหมือนกัน แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ? ถ้าข้าทิ้งพวกเขาโดยไม่สนใจ ก็จะมีคนมาหาเรื่องพวกเขาทันที เพื่อที่จะให้พวกเจ้าได้หลบเลี่ยงปัญหา อาจารย์ก็ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้า มีเพียงการยืนให้สูงขึ้น ปีกแข็งแกร่งขึ้น ถึงจะปกป้องพวกเจ้าได้ คนเราเกิดมาจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ ต้องแบกรับความรับผิดชอบบางอย่างเสมอ! เจ้ายังจำเหตุการณ์หลังจากคนในครอบครัวเจ้าประสบภัยได้หรือไม่? ในด้านศีลธรรมศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง นำคนบุกสังหารไปที่ทะเลทรายม่านเมฆาด้วยตัวเอง ล้างแค้นให้เจ้า เรื่องนี้เจ้ายังจำได้มั้ย?”
หงเฉินพยักหน้าเบาๆ “ศิษย์จำได้ค่ะ!”
“ถ้าวันใดที่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้ายินดีจะช่วยหรือไม่?” มู่ฝานจวินถาม
“ศิษย์ยินดีช่วยค่ะ” หงเฉินพยักหน้า
มู่ฝานจวินตบฝ่ามือนางไว้ระหว่างฝ่ามือตัวเอง กล่าวเสียงต่ำว่า “ขนาดของพิภพเล็กเล็กเกินไปแล้ว ทรัพยากรมีจำกัด ถ้าอยากให้ศิษย์พี่กับศิษย์น้องของเจ้ามีความก้าวหน้าและอนาคตมากกว่านี้ การไปพิภพใหญ่คือสิ่งที่ต้องทำ! แต่ว่า พวกเราเล็กน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพิภพใหญ่ ถ้าอยากจะลงหลักปักฐานในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เกรงว่าความลำบากอันตรายจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตด้วยซ้ำ แต่เหมียวอี้กลับสร้างความมั่นคงที่พิภพใหญ่ได้แล้ว และมีตำแหน่งที่มีอำนาจด้วย ถ้าสามารถได้รับการสนับสนุนจากเขา ก็จะช่วยลดความยุ่งยากให้พวกเราได้ไม่น้อยแน่นอน อย่างน้อยทำให้เขาไม่มาหาเรื่องพวกเราก็ยังดี ตอนนี้เขาชอบเจ้าพอดี ให้เจ้าเป็นอนุภรรยาถือว่าไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้า แต่สำหรับสำนักกลับมีแต่ผลดีไม่มีผลร้าย เจ้ายินดีจะรับความไม่ยุติธรรมนี้หรือเปล่า?”
หงเฉินเงียบไปนานมาก เดิมทีนี่คือผลลัพธ์ที่นางหวังตอนไปหาเหมียวอี้ แต่ตอนนี้หลังจากเข้าใจสาเหตุแล้ว กลับทำให้นางปวดใจ แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าให้มู่ฝานจวินที่กำลังทำสายตาเฝ้าคอย “ทุกอย่างแล้วแต่อาจารย์จะจัดเตรียมค่ะ!”
“ดี! นับว่าความรักที่อาจารย์มีให้เจ้าไม่ได้สูญเปล่า!” มู่ฝานจวินมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลง “หลังจากแต่งงานกับเขาแล้ว ก็พยายามจับตาดูเขาไว้ มีข่าวอะไรก็ให้แจ้งอาจารย์ทันที ถ้าฝั่งอาจารย์เกิดเรื่องขึ้น ก็ต้องการให้เจ้าพยายามต้อนรับขับสู้อยู่ข้างกายเขาด้วย อาศัยที่เขาชื่นชอบในรูปโฉมของเจ้า นี่ก็คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดที่จะทำให้เจ้าได้อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ จำไว้นะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการลงหลักปักฐานของสำนักเราเมื่อก้าวเข้าสู่พิภพใหญ่ เจ้าต้องพยายามสุดแรงกายแรงใจ!”
“ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้าเงียบๆ
อีกด้านหนึ่ง หลังจากกลับถึงตำหนักนอนและเชิญให้ฮูหยินนั่งลงแล้ว เหมียวอี้ก็ยกน้ำชามายื่นถึงมืออวิ๋นจือชิวด้วยตัวเอง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าตอบตกลงจะไปเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงมาก่อย?”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วทำสีหน้าครุ่นคิดมาตลอดทาง หลังจากจิบน้ำชาจนชุ่มคอแล้ว ก็จ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ข้าไม่รู้เรื่องเป็นตัวประกันอะไรนั่นเลย”
เหมียวอี้นั่งลงข้างกายนาง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “แล้วตอนที่มู่ฝานจวินเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ เจ้าจะยอมรับทำไมว่ามีเรื่องนี้?”
อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วแสยะยิ้ม “เจ้ายังดูไม่ออกรึไง? มีคนอยากจะกำจัดข้าไงล่ะ จะได้สนับสนุนให้ฉินเวยเวยอยู่ในตำแหน่งภรรยาเอก! ผู้การใหญ่หยางช่างเจ้าแผนการจริงๆ วางแผนได้ชั่วร้ายมาก วางกับดักซ้อนหลายชั้น โชคดีที่มีหลายเรื่องที่เขายังไม่รู้ เมื่อมีข้อมูลข่าวสารไม่พอ ก็วางแผนได้ไม่สมบูรณ์แบบหรอก เขาไม่รู้ว่าเยว่เหยาเป็นน้องสาวเจ้า ไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินจะมีหรือไม่มีข้าเป็นตัวประกันก็ได้ ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องที่พิภพใหญ่ บวกกับที่เจ้าเป็นคนไม่ทำอะไรตามกฎและขั้นตอน ไม่อย่างนั้นอาศัยวิธีการของเขา…เฮอะๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะการสู่ขอแต่งงานทำให้มู่ฝานจวินบังเอิญพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพอดี เกรงว่าพวกเราคงจะถูกปิดบังไปทั้งชีวิต!”
เหมียวอี้ตกใจทันที ถามว่า “มันเรื่องอะไรกันแน่?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวก็ค่อนข้างขวยอายและอึดอัดเช่นกัน ถึงอย่างไรตอนแรกก็ปิดบังเหมียวอี้และทำเรื่องนี้โดยพลการ เมื่อถูกถามตอนนี้ จะปิดบังต่อไปก็คงไม่ค่อยเหมาะแล้ว ทำได้เพียงค่อยๆ เล่าเรื่องที่ตัวเองถูกคำพูดแค่คำสองคำของหยางชิ่งยุงยงจนให้ความร่วมมือ
เมื่อฟังจบ เชื่อมต่อคำพูดของมู่ฝานจวินกับอวิ๋นจือชิวเมื่อครู่นี้ เมื่อได้มองเห็นหมากทั้งกระดานถึงได้เข้าใจ เหมียวอี้ตกใจจนเหงื่อแตก ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าสุนัขหยางชิ่งจะวางแผนกับพวกเขาสองสามีภรรยาแล้ว
เหมียวอี้ลุกพรวดทันที ชี้หน้าอวิ๋นจือชิวพร้อมตำหนิอย่างโมโหว่า “เจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าหยางชิ่งเป็นคนยังไง? การไปเล่นกลอุบายกับเขาไม่ต่างอะไรกับการวางแผนเอาหนังเสือ เมื่อเจอกับคนแบบนี้มีแต่ต้องใช้กำลังข่มขู่เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรคุยกับเขาเลย ต้องบังคับให้เขาทำตามจุดประสงค์ของเจ้า ไม่ใช้ปล่อยให้เขาจูงจมูกพาเจ้าไปถึงจุดประสงของเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตายวันไหนก็ยังไม่รู้เลย!”
อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นอย่างช้าๆ กอดแขนเขาเอาไว้ “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ตกลงมั้ย?”
เหมียวอี้สะบัดแขนนางออก แล้วตำหนิอย่างโมโห “อย่ามาใช้มุกนี้กับข้า! ตอนนี้ข้านับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ เจ้าสามถึงโดนมู่ฝานจวินขัง ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเจ้านี่เอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสาม ข้าจะหย่ากับนางมารร้ายอย่างเจ้าเลย!”
อวิ๋นจือชิวท่าทีอ่อนลงเยอะมาก เบะปากพูดว่า “ข้ากำลังชดเชยให้เจ้าสามไม่ใช่รึไง ไม่อย่างนั้นข้าไม่ตอบตกลงให้เจ้าแต่งงานรับเทพธิดาหงเฉินเข้าบ้านหรอก”
“เจ้า…” เมื่อถูกอุดปากด้วยเหตุผลนี้ เหมียวอี้ก็โวยวายไม่ออก โบกมือเล็งจะตบไปบนใบหน้าอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวหลับตา ไม่หลบ!
เมื่อมือกำลังจะถึงใบหน้านาง เหมียวอี้ก็หยุดมือค้างไว้ ทำใจตบไม่ลง
อวิ๋นจือชิวลืมตาข้างหนึ่งแอบมองเล็กน้อย เมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ยิ้มทันที นางเอียงหน้าเบะปาก แล้วจูบลงบนฝ่ามือของเขาหนึ่งที
“เมื่อไม่มีกฎของบ้าน เจ้าก็คิดจะสลับตำแหน่งแล้ว!” เหมียวอี้พูดอย่างเดือดดาล จับแขนอวิ๋นจือชิวแล้วกดนางให้คว่ำลงบนโต๊ะ ‘เพี้ยะๆ’ เขาจับนางกระดกก้นแล้วตีอย่างรุนแรง เรียกได้ว่าลงมือหนักมาก ตีจนอวิ๋นจือชิวแยกเขี้ยวยิงฟันกัดริมฝีปาก
รู้ว่าความผูกพันระหว่างพี่น้องในช่วงชีวิตที่ลำบากยากเข็ญคือจุดอ่อนที่ผู้ชายคนนี้ลบออกจากใจไม่ได้ รู้ว่าไปลูบเกล็ดมังกรของผู้ชายคนนี้เข้าแล้ว รู้ว่าทำผิดไปแล้ว อวิ๋นจือชิวไม่กล้าเถียงอะไร กัดฟันนอนหมอบโดยไม่กล้าขยับ ยอมทนรับหลายสิบฝ่ามือแต่โดยดี เรียกได้ว่าโดนตีจนก้นบวมแล้วจริงๆ
หลังจากระบายอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ปล่อยนาง แล้วพลันหันขวับไปมองนอกประตู พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย “เริ่มเกิดความคิดชั่วร้ายจะแว้งกัดเจ้าของ เก็บคนอย่างหยางชิ่งไว้ไม่ได้แล้ว ต้องกำจัดทิ้ง!”
…………………………