พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1122 ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว
แดนโพ้นสวรรค์ บนยอดเขาที่สูงชะโงกจนแทบเอื้อมคว้าได้มีศาลาอยู่หลังหนึ่ง บนนั้นเขียนว่า “เฟิงหัว”
จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวเป็นหญิงรับใช้ของมู่ฝานจวิน กำลังจัดสุราอาหารอยู่ในศาลา ทั้งสองไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงมีอารมณ์สุนทรีจะดื่มสุราชมทิวทัศน์ตรงนี้
ทั้งสองไม่ได้เป็นหญิงรับใช้ตามความหมายของกำลังพลระดับล่าง ข้างกายหกปราชญ์ก็ไม่มีหญิงรับใช้ประจำตัวเช่นกัน กฎบางอย่างของหกแดนเพิ่งตั้งขึ้นมาตอนหลัง แต่เนื่องจากมู่ฝานจวินเป็นผู้หญิง จึงไม่สะดวกจะใช้ผู้ชายมาเป็นคนปรนนิบัติใกล้ชิด นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทั้งสองติดตามอยู่ข้างกายมู่ฝานจวิน
ส่วนมู่ฝานจวินก็สายตาสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรือลูกน้องที่อยู่ข้างกาย ถ้าหน้าตาน่าเกลียดนางก็ไม่รับไว้ จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวย่อมเป็นคนที่มู่ฝานจวินเลือกสรรมาเองอย่างรอบคอบ แค่คิดก็รู้ถึงรูปโฉมที่งดงามของพวกนางแล้ว
สุราอาหารเพิ่งจัดวางเสร็จ มู่ฝานจวินก็เหาะเข้ามาแล้ว นางก้าวเบาๆ เข้ามานั่งลงในโถง สองสาวมายืนอยู่ทางซ้ายและขวาข้างหลังมู่ฝานจวินทันที
ใครจะคิดว่ามู่ฝานจวินจะยื่นมือไปทางซ้ายและขวา “ไม่ต้องยืน วันนี้ไม่มีธรรมเนียมอะไรมากขนาดนั้น ทุกคนนั่งลง ดื่มเป็นเพื่อนข้าสักสองจอก”
สองสาวประหลาดใจ แต่ไหนแต่ไรมามู่ฝานจวินเป็นคนที่พิถีพิถันกับธรรมเนียมตลอด วันนี้เป็นอะไรไป?
“มิบังอาจ!” หลังจากสองสาวสบตากัน ก็รีบตอบกลับไป
“ให้พวกเจ้านั่งพวกเจ้าก็นั่ง!” มู่ฝานจวินยื่นมือออกไปอีกครั้ง ทั้งสองไม่กล้าขัดคำสั่ง ถึงได้นั่งลงข้างซ้ายและขวาของนางอย่างระมัดระวัง ทั้งสงต่างก็หย่อนก้นนั่งลงไปแค่ครึ่งเดียว
สิ่งที่ยิ่งทำให้ทั้งสองตกใจในความเมตตาก็คือ ไม่น่าเชื่อว่ามู่ฝานจวินจะยกกาสุรารินให้ทั้งสองด้วยตัวเอง ทั้งสองรีบยืนขึ้นปฏิเสธ บอกเป็นนัยว่ารับไว้ไม่ไหว ทว่าภายใต้การดึงดันบังคับของมู่ฝานจวิน พวกนางก็ทำได้เพียงต้องกัดฟันรับไว้
หลังจากดื่มเป็นเพื่อนมู่ฝานจวินอย่างตัวสั่นหวาดกลัวไปไม่กี่จอก มู่ฝานจวินก็วางจอกสุราแล้วถามว่า “จื่ออวิ๋น จื่อหัว พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปีแล้ว ข้าปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไร?”
“ท่านปราชญ์มีบุญคุณดุจขุนเขาต่อบ่าวทั้งสองเจ้าค่ะ!” สองสาวรีบตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ถ้าข้าจะให้พวกเจ้าสองคนไปตาย พวกเจ้ายินดีมั้ย?” มู่ฝานจวินถามเสียงเรียบ
สองสาวสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “ยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านปราชญ์ แม้ตายก็ไม่เสียใจ!”
“ดีมาก! ข้าจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเจ้าเอาไว้…” ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก มู่ฝานจวินบอกเรื่องเกี่ยวกับพิภพใหญ่ให้หญิงรับใช้ทั้งสองรับรู้ พร้อมทั้งบอกด้วยว่ากำลังจะให้หงเฉินแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ สุดท้ายก็พูดอธิบายว่า “พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าไปตายง่ายๆ ได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนร่วม พวกเจ้าเองก็รู้จักนิสัยหงเฉิน ข้าไม่วางใจนางและคนข้างกายนาง จึงอยากจะให้พวกเจ้าแต่งงานพ่วงไปด้วย ให้เป็นสาวใช้ร่วมห้องของหงเฉินเพื่อแต่งงานกับเหมียวอี้ ตอนหลังจะได้ควบคุมเร่งรัดให้หงเฉินจัดการเรื่องต่างๆ ได้สะดวก เพียงแต่ถ้าเป็นแบบนี้…ถึงอย่างไรก็เป็นสาวใช้ร่วมห้อง หากวันใดเหมียวอี้ต้องการให้พวกเจ้าปรนนิบัติ เกรงว่าพวกเจ้าก็จะต้องทนรับไว้ ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหรอก หลายปีที่พวกเจ้าติดตามรับใช้ข้าก็นับว่าลำบากเหมือนกัน ไปหาประสบการณ์เรื่องผู้ชายสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน และแน่นอน ข้าไม่ฝืนใจพวกเจ้าเรื่องนี้ ตอนนี้ข้าแค่จะถามความเห็นของพวกเจ้าสองคนเท่านั้น”
นางเอ่ยปากขนาดนี้แล้ว ทั้งสองยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงเอ่ยตอบพร้อมกันว่า “ยินดีน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ!”
นภาหยินหยาง
อวี้หนูเจียวเกล้ามวยผมสูง ผิวขาวไม่ธรรมดา สวมชุดกระโปรงยาวผ้ามุ้งสีดำ ใบหน้างดงามเย็นชา นางกำลังเดินอย่างใจเย็นอยู่ในทางเดินใต้ดินที่กว้างขวาง
เมื่อเข้ามาในตำหนักหลักของตำหนักใต้ดินหยินหยาง หลังจากคำนับซือถูเซี่ยวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นั่งโครงกระดูกแล้ว ก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์เรียกศิษย์มาด้วยธุระอะไรคะ?”
แทบจะพูดเหมือนกับจีฮวน ซือถูเซี่ยวเปิดเผยความลับเรื่องพิภพใหญ่ให้นางรู้
หลังจากฟังจบ อวี้หนูเจียวก็ตกตะลึงไม่หยุด บอกว่า “พอเป็นแบบนี้ ไปที่พิภพใหญ่แล้วอนาคตก็ไม่แน่นอน ท่านอาจารย์ต้องระวังตัวหน่อยนะคะ ไอ้เหมียวจัญไรนั่นศิษย์เคยเจอที่สำนักงามวิจิตร มันเจ้เล่ห์สุดๆ ระวังจะโดนหลอกลวง!”
“ข้าจะไม่กังเวลเรื่องนี้ได้อย่างไร นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว คนอื่นๆ ก็รู้สึกเป็นทุกข์กันหมด เป็นเพราะหลานสาวของอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นภรรยาเอกของไอ้เหมียวจัญไร อวิ๋นอ้าวเทียนย่อมไม่ต้องกังวลเกินไป ดังนั้น มู่ฝานจวิก็เลยกำหนดงานแต่งงานให้เหมียวอี้แล้ว ไม่เสียดายที่จะส่งเทพธิดาหงเฉินไปเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ให้แต่งงานกับเหมียวอี้ งานแต่งงานกำหนดไว้หลังจากนี้ครึ่งเดือน มู่ฝานจวินทำแบบนี้ถือเป็นแผนการที่ดีภายใต้สถานการณ์แบบนี้!” ซือถูเซี่ยวถอนหายใจอย่างวังเวง แล้วบอกว่า “มู่ฝานจวินมีหงเฉินแบ่งเบาความกังวล ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจช่วยอาจารย์แบ่งเบาความกังวลบ้างรึเปล่า?”
“…” อวี้หนูเจียวยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม เข้าใจทุกอย่างแล้ว มองซือถูเซี่ยวอย่างเหม่อลอย ถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “อาจารย์จะให้ศิษย์แต่งงานไปเป็นอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไรเหรอคะ?”
ซือถูเซี่ยวลุกจากที่นั่งโครงกระดูก แล้วก้าวเข้ามาช้าๆ มายืนอยู่ตรงหน้าศิษย์รักแล้วบอกว่า “มีเจตนาอย่างนี้จริงๆ! อาจารย์รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม อาจารย์ก็หมดทนทางเช่นกันถึงได้เอ่ยปากกับเจ้า!”
“ข้าเป็นนักพรตผี ไอ้เหมียวจัญไรจะชอบข้าได้อย่างไร?” อวี้หนูเจียวถามพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขื่นขม
ซือถูเซี่ยวส่ายหน้า “พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก! ข้าคิดว่าหน้าตาเจ้าก็ไม่ได้แย่เลย ทั้งยังมีร่างหยิน ไอ้เหมียวจัญไรมีหญิงงามปรนนิบัติอยู่รอบกาย แต่ขาดแค่ผู้หญิงรสชาติอย่างเจ้า นี่ก็คือข้อได้เปรียบของเจ้า จะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร?”
นี่เป็นเรื่องที่ต่อให้นอนฝันอวี้หนูเจียวก็นึกไม่ถึงจริงๆ ในปีนั้นตัวเองขึ้นเสียงตำหนิเหมียวอี้ว่าไอ้เหมียวจัญไร ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะต้องแต่งงานเป็นอนุภรรยาของไอ้จัญไรนั่น ทั้งยังต้องแย่งความรักกับผู้หญิงคนอื่นอีก จะให้นางทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร! ถ้าให้นางแต่งงานเป็นภรรยาเอก นางก็คงยอมรับไปแล้ว อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมานานขนาดนี้ จู่ๆ จะให้ไปเป็นอนุภรรยา จะให้นางยอมรับได้อย่างไร
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะวิงวอนขอร้อง “ท่านอาจารย์! ไม่แต่งไม่ได้เหรอคะ? ให้เวลาข้าหนึ่งวัน ข้าจะเลือกสาวงามในหมู่พรตผีที่สวยกว่าข้ามาแทนได้แน่นอน!”
“ตลกเหรอ! ถ้าให้ใครทำก็ได้ ข้ายังจะต้องให้เจ้ารับความไม่ยุติธรรมอย่างนี้รึไง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ถึงหน้าที่ของตัวเองหลังจากแต่งงานกับไอ้เหมียวจัญไรไปแล้ว?” ซือถูเซี่ยวถามเสียงต่ำ
อวี้หนูเจียวก้มหน้าไม่พูดอะไร ไม่อยากจะตอบรับจริงๆ นางคิดว่าทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับขายตัว!
ซือถูเซี่ยวจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ที่อาจารย์ทำแบบนี้ ที่จริงแล้วก็เพราะหวังดีกับเจ้า น่าเสียดายที่เหมียวอี้ไม่ชอบผู้ชาย ไม่อย่างนั้นข้าคงให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้ชายแต่งงานกับเขาไปแล้ว!”
อวี้หนูเจียวที่กำลังอยู่ในอารมณ์หดหู่ดูเหมือนเย็นชา แต่ก็เหมือนจะเส้นตื้นนิดหน่อย พอได้ยินก็หัวเราะออกมา เอามือปิดปากส่งเสียงหัวเราะ “ศิษย์มองไม่ออกจริงๆ ว่าแต่งงานกับเขาแล้วจะมีอะไรดีกับศิษย์ ถ้าพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้ชายชอบ ก็ให้พวกเขาไปแต่งงานเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ศิษย์จะอวยพรให้พวกเขาแน่นอน”
“อย่าขำสิ!” ซือถูเซี่ยวเคาะบนกะโหลกของนาง แล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ข้ารับปากแล้วว่าจะมอบเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางให้ไอ้เหมียวจัญไร เจ้าอยากจะฝึกทั้งฉบับที่มีอยู่ในมืออาจารย์มาตลอดไม่ใช่เหรอ? เจ้าคิดดูสักหน่อย ถึงตอนนั้นในบรรดาอนุภรรยาของเข็จะมีเจ้าคนเดียวที่เป็นพรตผี มีเจ้าคนเดียวที่เหมาะจะฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่สุด ขอเพียงเจ้ายอมลดตัวลงไปปรนนบัติ ยังกลัวว่าจะไม่ได้อะไรจากมือเขาอีกเหรอ?”
อวี้หนูเจียวตาเป็นประกายเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเริ่มหวั่นไหวแล้วนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับการแต่งงานเป็นอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไร นางยังปฏิเสธไม่หยุด “ศิษย์รู้สึกว่าตอนนี้ดีมากอยู่แล้ว เคล็ดวิชาที่เหลือ ถ้าไม่สามารถฝึกให้ครบได้ก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ท่านอาจารย์หาคนอื่นไปแต่งงานแทนเถอะค่ะ!”
ซ้ายก็ไม่เข้าใจ ขวาก็ไม่เข้าใจ ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผล ซือถูเซี่ยวขี้เกียจจะเปลืองคำพูดแล้ว ไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับนางด้วย จึงใช้ไม้แข็งเสียเลย “ไม่แต่งก็ต้องแต่ง! เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นบิดาไปทั้งชีวิต เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงาน บิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจ ตกลงตามนี้แล้วกัน!”
อิงอู๋ตี๋จับตัวหยางชิ่งไปกะทันหัน ไม่มีใครกังวลใจไปกว่าชิงเหมยกับชิงจวี๋แล้ว เพื่อที่ทั้งสองจะตามไปให้ทัน จึงหาตัวนักพรตบงกชม่วงมาสองคนให้พาไปส่ง กว่าจะไปถึงนภาอู๋เลี่ยงก็เนตอนเช้าของวันถัดไปแล้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าเป็นเพียงกระต่ายตื่นตูมไปเอง หยางชิ่งไม่ใช่แค่ไม่เป็นอะไร ทั้งยังได้เจอเรื่องมงคลด้วย แม้แต่เรือนหอก็ได้เข้าแล้ว เรียกได้ว่ารวดเร็วอย่างน่าทึ่ง
โดยเฉพาะคนที่ได้เข้าหอด้วย ทำให้สาวใช้ทั้งสองตกตะลึงมาก ทั้งสองย่อมรู้จักอยู่แล้ว ทั้งสองเคารพยำเกรงฉินซีมาตลอด หลังจากฉินซีคลอดฉินเวยเวยเอาไว้ นางก็อยู่ในตำแหน่งนายหญิงในสายตาของทั้งสองอยู่แล้ว เพียงแต่นายท่านกับฮูหยินไม่ได้ทำสีหน้าเหมือนคนที่เพิ่งผ่านงานมงคลมาเลย
หลังจากชิงเหมยปรนนิบัติอาบน้ำให้เสร็จแล้ว หยางชิ่งก็เปลี่ยนทัศนคติไวมาก ในเมื่อไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เช่นนั้นก็ต้องยอมรับ จะเสียตำแหน่งในตอนนี้ไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกสาวไม่มีเขาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตำแหน่งของนางก็จะน่าเป็นกังวล จึงมาหาฉินซีแล้วบอกว่า “ข้ายังมีงานที่สายมะโรงแดนเซียนอีก ตามข้าไปบอกลานายท่านกับฮูหยินเถอะ!”
ฉินซีพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินเคียงข้างไปด้วยกันอย่างตกกระไดพลอยโจน เพียงแต่ชิงเหมยกับชิงจวี๋ที่เดินตามหลังรู้สึกว่าทั้งสองค่อนข้างไม่คุ้นเคยกัน
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!” เมื่อเจอหน้ากัน อวิ๋นจือชิวก็แสดงความยินดี
ส่วนเหมียวอี้ก็พูดหยอกล้อ “หยางชิ่ง ได้เข้าเรือนหอเมื่อคืนดีใจมั้ยล่ะ?”
ฉินเวยเวยที่อยู่ข้างๆ เป็นเหมือนคนโง่ ไม่รู้สถานการณ์อะไรทั้งนั้น ถึงแม้เมื่อคืนวานตอนที่เป็นพิธีกรนางจะรู้สึกว่าพ่อแม่บุญธรรมมีท่าทีแปลกๆ เพียงแต่ต่อให้นางนอนฝันก็คงจะนึกไม่ถึง ว่าสองคนนี้จะเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของนาง
อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วแอบเอามือบิดเอวเหมียวอี้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็อยู่ในระดับพ่อตาแม่ยาย จะมาล้อเล่นแบบนี้ได้อย่างไร ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน หยางชิ่งจูงมือที่อ่อนนุ่มของฉินซี พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านประทานงานแต่งงานที่งดงงามดุจดอกไม้มาให้ ข้าน้อยย่อมดีใจอยู่แล้ว”
หลังจากพูดจาตามมารยาทพักหนึ่ง หยางชิ่งก็นำฉินซีกล่าวขอตัวอำลา เพียงแต่ก่อนไปถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ขอเพียงนายท่านทำดีกับเวยเวย ไม่ว่าอะไรหยางชิ่งก็ยอมรับทุกอย่าง!”
เหมียวอี้พยักหน้าพลางหรี่ตายิ้ม เข้าใจถึงความหมายอีกชั้นในคำพูดของอีกฝ่าย
ก็เป็นอย่างนี้ หยางชิ่งที่ถูกจับตัวมา ตอนกลับได้พาเมียกลับไปด้วยหนึ่งคน ช่างเป็นที่น่าอิจฉาของคนรอบกาย!
หลังจากหยางชิ่งไปได้ไม่นาน หงเหมียน ลู่หลิ่วก็มาแล้วเช่นกัน หลังจากคำนับแล้ว ฉินเวยเวยก็พาทั้งสองจากไป จากกันไปหลายวัน ย่อมต้องมีเรื่องคุยกันอยู่แล้ว
ทางนี้เพิ่งจะสงบลง ขณะที่เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยเดินเล่นกันอยู่ในสวนดอกไม้ เบื้องล่างก็มีคนมารายงานว่า จีฮวนมาแล้ว
“พามาเถอะ!” เหมียวอี้โบกมือพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ผ่านไปครู่เดียว จีฮวนก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวที่มั่นคง ท่าทีสุภาพเยือกเย็น
ที่มาด้วยกันยังมีสตรีชุดกระโปรงขาวที่ปล่อยผมยาวคลุมบ่า หน้าตาดีใช้ได้ มีเสน่ห์ที่แตกต่างไปอีกแบบ ที่โดดเด่นที่สุดก็คือความยาวที่อยู่ใต้กระโปรงที่คลุมเอวบาง แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีขาทั้งคู่ที่เรียวยาว นางยืนอยู่ข้างหลังจีฮวนเงียบๆ พอพบหน้ากันก็จ้องประเมินเหมียวอี้มาตั้งแต่ไกลๆ
เหมียวอี้เห็นแล้วไม่คุ้นหน้า อวิ๋นจือชิวกลับเคยเห็นมาก่อน แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ลูกสาวคนที่สามในบรรดาลูกที่ยังเหลืออยู่ของจีฮวน อายุอยู่ในลำดับเก้า ชื่อจีเหม่ยลี่ เมื่อก่อนข้าเคยคุยกับนางหลายครั้ง นิสัยต่างกับจีเหม่ยเหมย ค่อนข้างเย็นชา!”
หลังจากทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน เหมียวอี้ก็ถามว่า “มีธุระอะไร?”
จีฮวนไม่สนใจคำพูดของเขา ยื่นมือเชิญอวิ๋นจือชิวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นางหนูอวิ๋น ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย”
อวิ๋นจือชิวรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย มีเรื่องอะไรที่ต้องหลบเหมียวอี้เพื่อคุยกัน? หลังจากสบตากับเหมียวอี้แวบหนึ่ง นางก็พยักหน้า แล้วเดินออกไปคุยกับจีฮวนไกลๆ
ตรงนั้นจึงเหลือแค่เหมียวอี้กับจีเหม่ยลี่ ทั้งสองมองหน้ากันมองหน้ากันมา ไม่รู้จะคุยอะไรกัน!
…………………………