พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1123 สร้างความประหลาดใจไม่หยุดหย่อน
เหมียวอี้มองนาง ที่จริงเป็นเพราะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ประหลาดนิดหน่อย ทำไมเอาแต่จ้องข้าอย่างนั้นล่ะ? รู้สึกได้อย่างชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายกำลังมองสำรวจตน
เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนฆ่าจีเหม่ยเหมย แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ตอนนี้เขาไม่เห็นจีฮวนอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ มีหรือที่จะเห็นลูกสาวของจีฮวนอยู่ในสายตา ถึงเอามือไขว้หลังและหันกลับมามองเป็นครั้งคราว
ส่วนใหญ่เขาจ้องไปยังอวิ๋นจือชิวที่อยู่ทอีกด้านหนึ่ง ป้องกันไม่ให้จีฮวนมีเจตนาอะไรไม่ดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจีฮวนกำลังคุยอะไรกับอวิ๋นจือชิว เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้างุนงง
ส่วนจีเหม่ยลี่ก็มองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าด้วยสีหน้าเย็นชาจริงๆ แล้วก็มองจากเท้าขึ้นไปที่ศีรษะอีก ไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด
พอเหมียวอี้หันกลับมา ปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้ก็ยังจ้องเขาเหมือนเดิม เขาสงสัยนิดหน่อยว่าบนหน้าตัวเองมีอะไรติดหรือเปล่า หรือว่าตอนที่อวิ๋นจือชิวแอบแกล้งอะไรตอนที่อาบน้ำให้เข? แต่ไม่น่าจะใช่นะ ผู้หญิงคนนี้ดูแลเรื่องการแต่งตัวของเขาแบบเข้มงวดมาก เสื้อผ้ายับนิดเดียวก็ดึงให้เขาจนเรียบ เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เขามีสิ่งสกปรกติดหน้ายามออกจากบ้านมาพบคนอื่น
แต่ถูกมองจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงแสร้งเอามือลูบหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ลูบไม่เจออะไร
เมื่อรอไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดอวิ๋นจือชิวกับจีฮวนก็กลับมาแล้ว จีฮวนยังคงมีสีหน้าท่าทางเรียบเฉย แต่อวิ๋นจือชิวกลับทำสีหน้าค่อนข้างแปลกอย่างเห็นได้ชัด
“มีเรื่องอะไรทำไมต้องหลบข้าคุย?” เหมียวอี้ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ
“เจ้ากลับไปก่อน!” จีฮวนโบกมือบอกลูกสาว รอจนจีเหม่ยลี่ออกไปแล้ว เขาถึงได้ถามเหมียวอี้ว่า “ลูกสาวคนเล็กของข้าหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เหอะๆ! ขายาว…” เหมียวอี้ที่หัวเราะเบาๆ พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เรียกได้ว่าสังเกตเห็นจุดเด่นของจีเหม่ยลี่เร็วมาก แต่ไม่นานใบหน้ายิ้มก็ชะงักค้าง คำพูดที่จะตามมาต่อจากนั้นไม่ได้เอ่ยออกมาแล้ว เพราะพบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองเขาด้วยแววตาที่เหมือนจะแทงเขาให้ตาย
ท่านขุนนางเหมียวไม่ใช่มือใหม่ในด้านนี้แล้ว ในใจแอบปาดเหงื่อ ชมผู้หญิงคนอื่นว่าสวยต่อหน้าฮูหยินของตัวเองไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกเหรอ? จึงหุบปากแล้วยิ้มแห้งๆ ทันที
“พูดมาสิ! ชอบแล้วก็พูดต่อสิ!” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าค่อนขอด “ท่านปราชญ์จีตั้งใจจะให้ลูกสาวมาเป็นอนุภรรยาของเจ้า วันนี้เลยตั้งใจพามาให้เจ้าดูตัวสักหน่อย ข้าตอบตกลงไปแล้ว ขอเพียงเจ้าเห็นแล้วชอบ ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “ลูกสาวของปราชญ์ปีศาจผู้สง่าผ่าเผย จะมาเป็นอนุภรรยาของเหมียวได้อย่างไร!” เขาโบกมือบอกใบ้ให้นางเลิกหาเรื่องไม่หยุดได้แล้ว ข้าก็แค่พูดชมส่งเดชไปคำเดียวเอง
เขานึกว่าอวิ๋นจือชิวกำลังพูดหยอกเพื่อเหน็บแนมเขา ไม่ได้คิดไปในทางที่อวิ๋นจือชิวพูดเลย เขาฆ่าลูกสาวของจีฮวนไปแล้ว จะไปคิดได้อย่างไรว่าจีฮวนจะยกลูกสาวอีกคนให้แต่งงานกับเขา ทั้งยังเป็นอนุภรรยาด้วย สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
แต่ใครจะคิดว่าจีฮวนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ลูกสาวคนเล็กของข้าชื่นชมผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ยินดีเป็นหางหงส์ แต่ไม่ยอมเป็นหัวไก่ มีเจตนาจะแต่งงานกับเจ้าจริงๆ ขอแค่เจ้าตอบรับ ก็สามารถเลือกวันมงคลแต่งงานเข้าประตูบ้านของตระกูลเหมียวได้เลย”
อวิ๋นจือชิวยังคงจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าเหน็บแนม
“…” เหมียวอี้กลับเหม่อค้างอย่างเต็มที่ จ้องจีฮวนอย่างงุนงงครู่หนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
จีฮวนกล่าวยืนยันอีกครั้ง “ลูกสาวคนเล็กของข้าชอบเจ้า ยินดีแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเจ้า!” ครั้งนี้พูดให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เชื่อว่าต่อให้เป็นคนโง่ก็ฟังเข้าใจ
เหมียวอี้หันหน้าช้าๆ มามองอวิ๋นจือชิว เหมือนกำลังถามว่า เมื่อครู่พวกเจ้าคุยกันเรื่องนี้เหรอ?
อวิ๋นจือชิวพ่นสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “อย่ามองข้า ขอแค่เจ้าชอบก็พอแล้ว!”
เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดประชดก่อนที่นางจะปรี๊ดแตก! เหมียวอี้รีบโบกมือติดต่อกัน “ไม่เลย ไม่เลย ไม่รู้จักกัน ข้าจะไปชอบได้ยังไงล่ะ ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลยจริงๆ!”
“ทำไมไม่ชอบ? หรือว่าลูกสาวของข้าสวยไม่พอ?” จีฮวนถาม
ขณะที่ทางนี้กำลังอธิบายเหตุผลกัน ด้านนอกก็มีคนเข้ามาอีกแล้ว ซือถูเซี่ยวพาอวี้หนูเจียวศิษย์รักมาแล้ว
หวังเต้าหลินรีบออกมาต้อนรับ ซือถูเซี่ยวเห็นแล้วถามว่า “ทางนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใช่มั้ย?” ทิ้งลูกศิษย์ไว้ที่นี่ก็เพื่อให้คอยจับตาดู
“ไม่มีอะไรขอรับ จีฮวนพาจีเหม่ยลี่มาแล้ว สองพ่อลูกข้าไปที่ตำหนักหลังแล้ว” หวังเต้าหลินกล่าว
ขณะกำลังคุยกัน พวกเขาก็เอียงหน้ามองไปทางประตูตำหนักหลัง เห็นเพียงจีเหม่ยลี่เดินออกมาคนเดียว จีเหม่ยลี่มองมาทางนี้แวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร กลับไปยังที่พักชั่วคราวของจีฮวนคนเดียวเงียบๆ
ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากผีของซือถูเซี่ยววูบไหว พอหันกลับมา ก็พบว่าอวี้หนูเจียวกำลังมองมาพอดี
ทั้งสองเหมือนจะใจตรงกัน เหมือนจะเข้าใจพร้อมกันว่าจีฮวนพาลูกสาวมาด้วยเจตนาอะไร ซือถูเซี่ยวโบกมือให้อวี้หนูเจียว “ไปกันเถอะ!”
ขระที่มองส่งสองคนนั้นเดินไป หวังเต้าหลินยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ในใจกำลังครุ่นคิดว่า ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว อาจารย์ยังจะพาศิษย์น้องมาทำอะไรอีก?
เขาอยากจะไปพิภพใหญ่กับอาจารย์ กังวลว่าศิษย์น้องมาแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า
เหมียวอี้ที่อยู่ในสวนดอกไม้กำลังสะบักสะบอม จู่ๆ เบื้องล่างก็มีคนวิ่งมารายงานอีก “คุณชายห้า ซือถูเซี่ยวมาแล้วขอรับ”
ในที่สุดก็มีธุระให้ฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว! เหมียวอี้แอบดีใจหนักมาก โบกมือบอกว่า “เชิญมาเลย!”
จนกระทั่งซือถูเซี่ยวนำอวี้หนูเจียวโผล่หน้ามา สายตาของจีฮวนที่ไปหยุดอยู่บนตัวอวี้หนูเจียวก็เป็นประกายวูบไหวเช่นกัน
เหมียวอี้ฉวยโอกาสหาข้ออ้าง หันหน้าหลบอวิ๋นจือชิวที่ใกล้จะทำให้เขาเหงื่อท่วมหลัง แล้วกุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าปราชญ์ผีมาด้วยธุระอะไร?” ท่าทีสุภาพกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยเลย
ใครจะคิดว่าซือถูเซี่ยวจะเหลือบมองจีฮวนแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบวังเวง “ข้าก็มาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ต่างจากจีฮวนเท่าไรหรอก ไม่ทราบว่าเจ้ากับจีฮวนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ?”
“หึหึ! หึหึ! หึหึ!” อวิ๋นจือชิหัวเราะแห้งๆ สามที เอามือกอดอกพลางเงยหน้ามองฟ้า ยากที่จะบรรยายสีหน้าเหน็บแนมถากถางออกมาได้
“…” เหมียวอี้งงนิดหน่อย สายตาค่อยๆ ย้ายไปอยู่บนตัวอวี้หนูเจียว แล้วชี้พร้อมถามว่า “เจ้าคงไม่ได้จะให้อวี้หนูเจียวมาเป็นอนุภรรยาของข้าเหมือนกันหรอกใช่มั้ย?”
คำพูดนี้ทำให้อวี้หนูเจียวรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว นางเอียงหน้ามองไปด้านข้าง เรื่องนี้ให้อาจารย์จัดการก็พอแล้ว ยังจะตั้งใจพานางมาเจอเหมียวอี้อีก ทำให้นางเหลือทนจริงๆ แต่จนใจที่ขัดคำสั่งอาจารย์ได้ยาก!
“เรื่องแต่งงานค่อยๆ นั่งลงคุยกันเถอะ” ซือถูเซี่ยวพยักหน้า
“เหอะๆ!” ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะเงยหน้าหัวเราะแล้ว เขาไม่ใช่คนโง่ จีฮวนทำแบบนี้คนเดียวก็แย่แล้ว ซือถูเซี่ยวก็ทำแบบนี้อีก เจตนาชัดเจนเกินไปหน่อยรึเปล่า เหมียวอี้เป็นฝ่ายเดินเข้ามาข้างกายอวี้หนูเจียว เดินวนรอบอวี้หนูเจียวพร้อมมองสำรวจ สุดท้ายก็เอามือไขว้หลังยืนตรงข้ามกับอวี้หนูเจียว พร้อมถามว่า “เอ อวี้หนูเจียว พวกเราไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรกแล้ว ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก ข้าจะถามเจ้าหน่อย เจ้าเต็มใจแต่งงานมาเป็นอนุภรรยาของข้าจริงเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวหันกลับมามอง ซือถูเซี่ยวและจีฮวนก็มองมาในทันทีเช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่อวี้หนูเจียว ทำให้อวี้หนูเจียวค่อนข้างรู้สึกกดดัน โดยเฉพาะซือถูเซี่ยวที่กำลังส่งสายตาสั่งนางเป็นนัยๆ
เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าท่าทางหยอกล้อ ในใจอวี้หนูเจียวก็แอบเดือดดาล ทำไมข้าต้องกลัวเจ้าด้วยล่ะ? นางเงยหน้ายืดอก กล่าวอย่างอวดดีว่า “เต็มใจ!”
ประเด็นสำคัญคือเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของซือถูเซี่ยว นางไม่มีทางพูดคำว่า ‘ไม่เต็มใจ’ ออกมาได้ ความเกี่ยวโยงต่างๆ ที่ร้ายกาจ ซือถูเซี่ยวได้อธิบายกับนางไว้ชัดเจนมากแล้ว และสุดท้ายนางก็ตอบตกลงที่จะเสียสละตัวเอง คิดปลอบใจตัวเองว่าพุ่งเป้าไปที่ ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ มิหนำซ้ำถ้ามากลับคำพูดตอนนี้ก็จะทำให้อาจารย์ไปต่อไม่ถูก
“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะลั่นอีกสามครั้ง “ไม่มีท่าทางเต็มใจเลยสักนิด ถ้าเชื่อก็บ้าแล้ว” จากนั้นก็หันไปทำเสียงฮึดฮัดใส่จีฮวนกับซือถูเซี่ยว “ข้าว่านะ พวกเจ้าใช้มุกนี้จะมีความหมายอะไรเหรอ? ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อตอบตกลงแล้วว่าจะพาพวกเจ้าไปพิภพใหญ่ ข้าก็จะพาไปแน่นอน เรื่องเอาคนสวยมายั่วยวนข้าแบบนี้ เป็นการกระทำที่ชั้นต่ำไปหน่อยรึเปล่า? ข้าเหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นผู้หญิงมาก่อน!”
เขาเดินมาข้างกายอวิ๋นจือชิว ยื่นมือจูงมืออวิ๋นจือชิวมาพูดประจบประแจง “ฮูหยินของข้าสวยไม่แพ้ใครทั้งนั้น!”
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวโบกมือไม่รับไมตรี
ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็หันไปมองบนฟ้าพร้อมกัน เห็นเพียงคนสามคนแฉลบผ่านฟ้าเข้ามา กำลังอยู่บนฟ้าพอดี ปราชญ์พุทธฉางเหลย ไต้ซือศีลเจ็ด แล้วยังมีผู้หญิงอีกคนที่กระโปรงพลิ้วสะบัด เหมียวอี้ไม่รู้จัก
ฉางเหลยเองก็ไม่เกรงใจ พาคนเหยียบลงพื้นโดยตรง เขาไม่ใช่เป้าหมาย ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่ใช่เป้าหมายเช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวผู้หญิงที่อยู่เฉียงด้านหลังเขา
รูปร่างสูงระหงทรงเพรียว เอวบางหน้าอกอิ่ม ดูค่อนข้างผอมบาง สวมกระโปรงสีขาวยาวคลุมหลังเท้า มวยผมที่ห่อด้วยผ้ามุ้งสีขาวเกล้าสูงไว้ข้างหลัง หน้าผากอิ่มนูน เกลี้ยงเกลาดุจหยก คิ้วโก่งยาวดุจภูเขา ดวงตาใสแจ๋วดุจน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ขนตาเป็นแพเล็กน้อย จมูกโด่งปากแดง ใบหน้าขาวสะอาดดุจดอกบัวขาว
นางก้าวเท้าเบาๆ อยู่ข้างหลังฉางเหลยกับไต้ซือศีลเจ็ด ท่วงท่างดงามอ่อนช้อย ในทุกอากัปกิริยาอ้อนแอ้นและไม่บังคับตัวเอง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดมีเมตตา เป็นผู้หญิงที่สง่าภูมิฐาน งดงามและสุภาพอย่างแท้จริง
ทึ่ง! พอผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว เหมียวอี้ก็เริ่มถูกทำให้ทึ่งแล้วจริงๆ ถ้าผู้หญิงอย่างฉินซีนับว่าสวยงาม เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้ก็คงจะขาดคำว่า ‘สวย’ ไป ไม่สวยและไม่แพรวพราว ไม่ฉูดฉาดและไม่ธรรมดา ผู้หญิงคนนี้มีแต่คำว่า ‘งาม’ อย่างธรรมชาติ เป็นความงามที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ สบายทั้งกายทั้งใจ เป็นความงามแบบสง่าภูมิฐาน แววตามีสง่าราศีสดใส ในดวงตาฉายแววเฉลียวฉลาดมีเมตตา ทำให้คนไม่เกิดความคิดที่จะสบประมาท
เหมียวอี้นึกว่าในบรรดาผู้หญิงที่ตัวเองเคยเจอ ฉินซีนับว่างดงามที่สุด นึกไม่ถึงเลย…แน่นอน ถ้าใช้มาตรฐานของเสน่ห์ความเย้ายวนมาประเมินอย่างเดียว รูปโฉมของผู้หญิงตรงหน้าไม่ดึงดูดใจเท่าฉินซี แต่ความงามอีกแบบหนึ่งบนตัวของผู้หญิงคนนี้ เป็นสิ่งที่ฉินซีเทียบไม่ติด
เหมียวอี้แอบทึ่งในใจเงียบๆ ความงามของผู้หญิงต่างก็มีข้อดีไปคนละแบบจริงๆ
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อฝ่าอิน เป็นลูกศิษย์ลำดับที่ห้าของฉางเหลย มีร่างหงส์โดยกำเนิด ตอนที่ฉางเหลยรับมาเป็นศิษย์ เป็นเพราะไต้ซือศีลเจ็ดชมว่านางมีปัญญาผล ถึงได้รับความสำคัญเป็นพิเศษจากฉางเหลย ถูกพาออกบวชโดยไม่โกนผม ได้สัมผัสกับปุถุชนในโลกน้อยเป็นพิเศษ ขนาดข้ายังได้เห็นนางเป็นครั้งที่สองเลย หน้าตาดีใช่มั้ยล่ะ? มองจนค้างเลยล่ะสิ?” อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ใช้นิ้วสองนิ้วบิดเนื้อที่เอวเหมียวอี้อย่างแรง บิดเหมือนจะเอาให้ถึงตาย
เหมียวอี้เจ็บจนกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง
“ไต้ซือก็มาเช่นกัน!” จีฮวนกับซือถูเซี่ยวไม่สนใจฉางเหลย แต่กลับกุมหมัดคารวะไต้ซือศีลเจ็ด
“อามิตาพุทธ!” หลังจากไต้ซือศีลเจ็ดทักทายกลับ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้
เหมียวอี้รีบฉวยโอกาสหลุดพ้นจากกรงเล็บมารของอวิ๋นจือชิวอย่างเนียนๆ ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ไต้ซือ!”
ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือยิ้มอย่างมีมุทิตาจิต พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเบี่ยงตัวไปอีกข้าง หลีกให้ฉางเหลยเป็นตัวหลัก
“นี่คือฝ่าอิน ลูกศิษย์คนเล็กของข้า!” หลังจากฉางเหลยแนะนำให้เหมียวอี้ ก็แนะนำเหมียวอี้ให้ลูกศิษย์ “นี่คือโยมเหมียวที่อาจารย์เอ่ยให้เจ้าฟังเมื่อคืนนี้”
บนใบหน้าขาวสะอาดไร้มลทินดุจหยกของฝ่าอินกระเพื่อมระลอกรอยยิ้มบางๆ ฝ่ามือหยกบริสุทธิ์ที่งดงามมากคู่นั้นประนมขึ้น พร้อมกล่าวด้วยเสียงใสนุ่มนวล “ฝ่าอินทักทายโยมเหมียว!”
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า สายตาไปหยุดอยู่บนตัวฉางเหลย ถามว่า “ฉางเหลย เจ้าพาลูกศิษย์คนนี้มาหมายความว่าอย่างไร?”
ที่จริงเขาอยากจะถามมาก ว่าเจ้าคงไม่ได้พาลูกศิษย์มาเป็นอนุภรรยาของข้าหรอกใช่มั้ย? แต่คำพูดที่มาถึงปากถูกกลืนกลับลงไป รู้สึกว่าพูดแบบนี้ไม่ถูก ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ออกบวช จะมาเป็นอนุภรรยาของตนได้อย่างไร ถ้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาจริงๆ คงจะเป็นที่หยามหยันของผู้คนในวงการแล้ว เดาว่านางคงมาด้วยเจตนาอื่น
…………………………