พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1125 ตรงจุดที่แสงไฟริบหรี่
“ท่านปู่เจ้ากับมู่ฝานจวินไม่รู้ว่ามีเจตนาอย่างไร” เหมียวอี้ถามเงียบๆ
“ความคิดของพวกเขาน่าจะไม่ต่างจากพวกจีฮวนสักเท่าไร ข้าจะไปเจรจา น่าจะไม่มีปัยหาอะไร แก้ปัญหาเรื่องทางนี้ให้หมดไปเลยก็ดีเหมือนกัน ต่อไปจะได้ทุ่มเทจิตใจและกำลังจิตใจให้กับทางพิภพใหญ่” อวิ๋นจือชิวกล่าว
“บอกพวกเขาด้วย ถ้าอยากจะให้ข้าตอบตกลงก็ได้เหมือนกัน แต่ข้ายังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง จากนี้ไปต้องหยุดจัดการปราบจลาจลของทะเลดาวนักษัตร!” เหมียวอี้กล่าวเสริมช้าๆ ด้วยสีหน้าเศร้าสลด
อวิ๋นจือชิวงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ พยักหน้าตอบว่า “เรื่องนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไร!”
เมื่อเรื่องทุกอย่างเปิดเผยแล้วกลับจัดการง่ายด้วยซ้ำ! อวิ๋นจือชิวไม่มีความเห็นแย้งอะไรทั้งนั้น เหมียวอี้ก็ยอมรับแล้วเช่นกัน ไม่มีคำว่าดีใจหรือไม่ดีใจ
ส่วนเรื่องที่เหลืออวิ๋นจือชิวก็เป็นคนออกหน้าจัดการ ทางเหมียวอี้ยินยอมแล้ว พวกจีฮวนก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร ตอบตกลงเรื่องแต่งงานรับพวกผู้หญิงเข้าตระกูลและจัดในฤกษ์มงคลเร็วๆ นี้ จัดงานวันเดียวกัน ทุกคนไม่อยากเสียเวลาต่อไปอีกแล้ว
พอเป็นแบบนี้ หกแดนก็ส่งกำลังคนมาเตรียมการเรื่องแต่งงาน มาเตรียมตัวที่นภาอู๋เลี่ยงอย่างตั้งอกตั้งใจ
กำลังพลของแดนเซียนสายมะโรงถูกเหมียวอี้ดึงไปจนว่างแล้ว หยางชิ่งนำกำลังพลเข้าไปรักษาการณ์ที่แดนอู๋เลี่ยงอย่างเป็นทางการ สำนักของสายมะโรงถูกหยางชิ่งกดดันให้ย้ายไปอยู่ในอาณาเขตแดนอู๋เลี่ยงทั้งหมด
จากนั้นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของหยางชิ่งอีก ที่จริงเป็นผลจากการบอกใบ้ของอวิ๋นจือชิว เกิดเรื่องอีกเรื่องหนึ่งขึ้นแล้ว
หลังจากเตรียมวางแผนลงไปแล้ว หยางชิ่งก็กลับมาที่ตำหนักอู๋เลี่ยงล่วงหน้า
อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรอยู่ด้วย จู่ๆ หยางชิ่งที่กำลังเดินเป็นเพื่อนอยู่ในสวนดอกไม้ก็ก้าวขึ้นมาขวางทางเหมียวอี้ไว้ กุมหมัดคารวะบอกว่า “ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงานขอรับ!”
พอเห็นเขา เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องของเขากับฉินซี จึงยิ้มพร้อมถามว่า “มีเรื่องอะไร? คงไม่ได้รังเกียจว่าฉินซีไม่สวยหรอกใช่มั้ย?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทุกคนก็หัวเราะลั่น แม้แต่ฉินเวยเวยที่เดินอยู่ข้างๆ ก็เม้มปากกลั้นขำ
หยางชิ่งตอบว่า “ข้าน้อยไม่ได้ล้อเล่น แต่ท่านปราชญ์ได้โปรดแบ่งกำลังพลหกสายจากสิบสองสายของแดนอู๋เลี่ยงย้ายไปรักษาการณ์ที่ทะเลดาวนักษัตร แล้วย้ายกำลังพลห้าสายของทะเลดาวนักษัตรมากระจายประจำการที่แดนอู๋เลี่ยง พร้อมทั้งให้ทะเลดาวนักษัตรหาสถานที่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของสาวก บุกเบิกสร้างเมืองในขอบเขตขนาดใหญ่ แล้วค่อยย้ายประชากรจำนวนมากของหกแดนไปที่นั่น!”
คนที่อยู่ตรงนั้นหัวเราะไม่ออกแล้ว อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ฉินเวยเวยเองก็มองออกถึงเบาะแสในกระทำของหยางชิ่ง ทำแบบนี้เพราะต้องการตัดกำลังควบคุมที่ประมุขถิ่นสี่ทิศมีต่อทะเลดาวนักษัตรชัดๆ!
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉย ทำท่าเหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น
ที่จริงนี่ก็คือเจตนาของนาง เหมียวอี้ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะนางเข้าใจเหมียวอี้ดีเกินไป เหมียวอี้ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลง มีแต่ต้องให้นางแอบออกหน้าเป็นคนเลวเท่านั้น เมื่อบอกแผนนี้ให้หยางชิ่งรู้ หยางชิ่งก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ไปปฏิบัติตามทันที!
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวาดูประมุขถิ่นสี่ทิศที่ก้มหน้าไม่พูดอะไร สีหน้าเครียดขรึมลงแล้ว “เจ้าจัดการเรื่องที่อยู่ในมือตัวเองก่อนเถอะ อย่าคิดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนั้นเลย!”
หยางชิ่งยังกวนใจไม่หยุด กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ข้าน้อยคิดว่า ในเมื่อทะเลดาวนักษัตรกับแดนอู๋เลี่ยงกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เหตุใดยังต้องแยกกันปกครองอีก หรือมีใครมีเจตนาแอบแฝง?”
ชัดเจนมากว่าแอบบ่งชี้ถึงประมุขถิ่นสี่ทิศ! เหมียวอี้กล่าวอย่างเดือดดาลทันที “บังอาจ! ใครก็ได้! มาลากหยางชิ่งไปเฆี่ยน สำนึกผิดได้เมื่อไรค่อยหยุด!”
อวิ๋นจือชิวแอบส่งสายตาให้ฉินเวยเวยทันที ทำให้ฉินเวยเวยพลันวิ่งออกมา คุกเข่าลงตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวขอร้องวิงวอน “ท่านปราชญ์! ได้โปรดเห็นแก่ที่หยางชิ่งเป็นพ่อบุญธรรมของอนุภรรยาที่ต่ำต้อยคนนี้ ละเว้นเขาสักครั้งเถอะค่ะ!”
อีกด้านหนึ่ง หลันโฮ่วที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอวิ๋นจือชิวมาหลายปี เป็นคนที่อวิ๋นจือชิวชื่นชมในความสามารถ ตอนนี้ถูกย้ายมาคุมการลงโทษที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว เขาสั่งให้นักพรตสองคนพุ่งเข้ามาคุมตัวหยางชิ่งทันที ต้องการจะลากไปทำโทษ
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เหล่ตามองปฏิกิริยาของประมุขถิ่นสี่ทิศทะเลดาวนักษัตรอย่างเย็นเยียบ
“ช้าก่อน!” ฝูชิงที่กำลังอยู่ในความเงียบพลันเอ่ยปาก ยกมือขึ้นห้ามคนที่กำลังจะลงโทษ ขณะเดียวกันก็พยักหน้าเบาๆ ให้สัญญาณสงเวย อิงอู๋ตี๋และหงเทียน
ทั้งสี่เดินเรียงแถวออกมา ฝูชิงกุมหมัดคารวะพูดแทนทุกคนว่า “ท่านปราชญ์! คำพูดของหยางชิ่งไม่มีอะไรที่ยอมรับไม่ได้ ในเมื่อทะเลดาวนักษัตรกลายเป็นส่วนเดียวกับแดนอู๋เลี่ยงแล้ว ถ้าแบ่งแยกกันปกครองอีก ก็จะทำให้คนนินทาได้จริงๆ ที่จริงผู้การใหญ่หยางกำลังเตือนพวกเราสี่คน เรียกได้ว่าเตือนได้ทันเวลา จะได้ไม่ถูดคนคิดไม่ซื่อใช้ประโยชน์ด้วย”
หลังจากเขามองซ้ายมองขวา ประมุขถิ่นสี่ทิศก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ข้าน้อยทั้งสี่กล่าวขอร้องผู้การใหญ่หยาง ท่านปราชญ์ได้โปรดระงับโทสะ!”
เหมียวอี้ไม่สนใจ “เห็นแก่ที่พี่ๆ ทั้งสี่ขอร้องให้ เฆี่ยนสิบครั้งให้ได้บทเรียนยาวๆ!”
“พาตัวไป!” หลันโฮ่วสั่งอย่างเย็นเยียบ
ดังนั้นหยางชิ่งจึงถูกลากตัวไปแบบนี้แล้ว ฉินเวยเวยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นร้อนใจไม่หยุด รสชาติของแส้มังกรสั่งสอนจะไม่ทรมานได้อย่างไร อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมาประคองนางด้วยตัวเอง ดึงนางเอาไว้ ไม่ให้นางพูดอะไรอีก เพื่อที่จะให้เรื่องบางเรื่องออกมาดูดี ความขื่นขมทรมานนี้หยางชิ่งต้องทนรับไว้
เดิมทีเป็นเพราะเหยียนซิวและพวกหยางเจาชิงมาที่นี่ อีกทั้งเหมียวอี้ยังได้กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ ทุกคนมารวมตัวอยู่ด้วยกันถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก จู่ๆ ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำลายอารมณ์สุนทรีในการเดินเล่นชมสวนของทุกคนทันที
เหมียวอี้เหลือบมองอวิ๋นจือชิว สีหน้าฉายแววไม่พอใจ เป็นคนแรกที่สะบัดมือเดินจากไป ระหว่างทางเห็นจิ้งอิ๋งกับจิ้งลั่วที่กวาดพื้นอยู่หน้าประตูตำหนักนอนคำนับก็ไม่สนใจ
พวกสงเวยก็กลับไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน หลังจากกลับมาถึงที่พักแล้ว จู่ๆ ฝูชิงก็ถอนหายใจ “พี่ใหญ่ เจ้าสาม เจ้าสี่ วันนี้เจ้าห้าไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่พิภพใหญ่หรือพิภพเล็ก ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายเราทั้งนั้น ถ้าจะเรียกว่า ‘เจ้าห้า’ อีกก็ไม่เหมาะแล้ว ต่อไปอย่าลืมเปลี่ยนคำเรียกล่ะ!”
“เจ้าหมายความว่า เจ้าห้ากำลังจงใจเล่นละครให้เราดูเหรอ?” สงเวยไม่แน่ใจ
ฝูชิงส่ายหน้า “เจ้าห้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงหรอก แต่ฮูหยินของเจ้าห้า…น้องสะใภ้คนนั้นกำลังอาศัยปากของหยางชิ่งมาสร้างกฎกับพวกเรา! นางต้องการสร้างกฎขึ้นทั้งข้างล่างข้างบน และกำลังทดสอบท่าทีของพวกเราด้วย ถ้ายังคิดว่าตัวเองอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าห้าอีก เช่นนั้นพวกเราก็ผิดแล้ว น้องสะใภ้คนนั้นไม่มีทางเกรงใจ!”
พี่น้องคนอื่นๆ พลันเงียบไม่พูดอะไร…
ทว่าหยางชิ่งกลับได้รับความทรมานทางกายเนื้ออย่างรุนแรง
แต่หลังจากนั้นอวิ๋นจือชิวก็พาฉินเวยเวยมาเยี่ยม หยางชิ่งที่แผ่นหลังเละไปด้วยเลือดเนื้อเอาเสื้อมาคลุมแล้วลุกขึ้นทันที โดยมีฉินซีประคองเข้ามาคำนับฮูหยินทั้งสอง
“ผู้การใหญ่ลำบากแล้ว!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ แล้วใช้มือยื่นกล่องหยกใบหนึ่งให้ด้วยตัวเอง ข้างในมีสมุนไพรเซียนซิงหัวห้าต้น
หลังจากพูดปลอบใจไปได้สักพัก อวิ๋นจือชิวก็ทิ้งให้ฉินเวยเวยอยู่ที่นี่ก่อน ส่วนตัวเองก็พาเหยียนซิวกับหยางเจาชิงออกไป
รอจนกระทั่งฉินเวยเวยออกไปแล้ว ฉินซีก็ประคองให้หยางชิ่งนอนหมอบลงอีก แล้วถามอย่างค่อนข้างคับแค้น “นี่คือสิ่งที่อวิ๋นจือชิวบอกใบ้ให้เจ้าทำไม่ใช่เหรอ ทำไมยังทำร้ายเจ้าจนกลายเป็นแบบนี้?”
หยางชิ่งที่นอนหมอบอยู่บนหมอนยิ้มเจื่อน “เจ้าไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นก็รู้ดีอยู่แก่ใจเหมือนกัน ท่านปราชญ์กำลังจะรับอนุภรรยาแล้ว พาเข้าบ้านรวดเดียวสี่คน แต่ละคนมีภูมิหลังและศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา ฮูหยินเป็นคนคุมตำหนักหลัง ถ้าเวยเวยอยากจะมีที่ยืนในตำหนักหลัง ถ้าข้าไม่แสดงความจงรักภักดีแล้วใครจะแสดงความจงรักภักดี? มิหนำซ้ำท่านปราชญ์ก็เคยชินกับการโยนงานให้ลูกน้องทำ เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าข้าอยากจะไปยุ่งหรอก แต่เป็นเพราะฮูหยินมีอำนาจมาก! จำไว้นะ ต้อไปอย่าเรียกว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ อีก ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง จำไว้ว่าต่อไปนี้ต้องเรียกว่าฮูหยิน ป้องกันไว้เผื่อหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง!”
“รับอนุภรรยาเข้าเป็นฝูงแล้ว ทั้งยังจะจัดงานแต่งงานด้วย เวยเวยจะกลายเป็นอะไรไปแล้ว?” ฉินซีถ่ายอย่างไม่ค่อยพอใจ
“การแต่งงานแบบนี้เป็นเพียงการใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่านั้น” หยางชิ่งส่ายหน้าตอบ
ในวันแต่งงาน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะบอกไว้แล้วว่าขอจัดงานแบบเรียบง่าย แต่นภาอู๋เลี่ยงก็ยังคึกคักไม่ธรรมดา ที่บอกว่าจัดอย่างเรียบง่ายก็แค่ไม่ได้เชิญแขกเยอะ ที่จริงพวกจีฮวนไม่ค่อยอยากให้คนในใต้หล้ารู้เรื่องนี้ จึงไม่ได้ประกาศล่วงหน้าแบบกว้างขวาง ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันข่าวก็ต้องแพร่ออกไปก็ตาม
โคมไฟที่งดงามเพิ่งจะส่องแสง ภายใต้ม่านราตรีที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉอง ทุกที่ในตำหนักอู๋เลี่ยงถูกประดับประดาไปด้วยผ้าและโคมไฟหลากสี ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเหมียวอี้ที่สวมชุดพิธีคำนับเจ้าสาวทั้งสี่คนที่มีผ้าแดงคลุมหน้า ทำให้คนที่กำลังดูพิธีอดไม่ได้ที่จะขำออกมา กำลังพลเบื้องล่างโห่ร้องยินดี
โชคดีที่ท่านขุนนางเหมียวไม่ได้ผ่านงานแบบนี้เป็นครั้งแรก ครั้งก่อนแต่งงานรวดเดียวสามคน ครั้งนี้แต่งงานรวดเดียวสามคน ถือว่าไม่เยอะ แค่เพิ่มจากครั้งก่อนคนเดียวเท่านั้น แต่สาวใช้ที่แต่งงานพ่วงเข้ามาด้วยก็ไม่น้อยเหมือนกัน เท่ากับแต่งงานรวดเดียวสิบสองคน
ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรงจุดที่แสงไฟริบหรี่ อวิ๋นจือชิวยืนเงียบๆ ตรงจุดที่มืดสลัวบนหลังคา มองดูจุดที่มีงานมงคลคึกคักอยู่ไกลๆ บนใบหน้ามีน้ำตาสองสายไหลลงมาโดยไร้เสียง น้ำตาทำให้ดวงตาสองข้างพร่ามัว
“ทำไมไม่แสดงความใจกว้างของเจ้าแล้วล่ะ? ทำไมมาหลบร้องไห้อยู่ตรงนี้คนเดียว?”
จู่ๆ ข้างกายก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น อวิ๋นจือชิวหันขวับ เห็นเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมยาวที่คลุมหลังพัดเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลม ยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย สังเกตมองไปยังจุดที่คึกคักเหมือนกัน
คนทางนภาจอมมารไม่มีใครมาประสมโรงด้วย
“ท่านปู!” อวิ๋นจือชิวถูกจมูกนิดหน่อย เอามือปาดน้ำตาแล้วคำนับ
“แต่งงานกับเขา เจ้ามานึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอย่างสุขุมเยือกเย็น
อวิ๋นจือชิวฝืนยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่ตอบ “ไม่นึกเสียใจทีหลังค่ะ การได้แต่งงานกับเขา ข้าไม่เคยนึกเสียใจทีหลังเลย! ตอนที่ท่านย่าบุญธรรมยังมีชีวิตอยู่ ข้ายังจำที่นางบอกข้าได้ ว่าผู้หญิงเราไม่ควรแต่งงานกับผู้ชายมีอนาคต ถ้าแต่งไปแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก…เมือ่ก่อนนี้ข้าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว!”
“แต่เจ้าก็ยังร้องไห้ไปแล้ว” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว
อวิ๋นจือชิวเอามือปาดน้ำตาอีก แล้วบอกว่า “เรื่องในวันนี้ ถ้าหากข้าไม่ตอยตกลง เหมียวอี้ก็มได้แต่งงานเด็ดขาด เรื่องนี้ผ่านการยินยอมจากข้าแล้ว”
“ในเมื่อในใจเจ้าไม่เต็มใจ แล้วยังจะตอบตกลงทำไม?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะแต่งงานไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรตระกูลอวิ๋นก็ยังเป็นครอบครัวของข้า ถึงอย่างไรท่านก็เป็นท่านปู่ของข้า ข้ายังต้องคิดไตร่ตรองเพื่อตระกูลอวิ๋น ข้าจะอาศัยที่ข้าตอบตกลงเขาเรื่องนี้ เพื่อขอร้องเขาอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะทำใจปฏิเสธไม่ลง หลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ข้าสามารถนำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินทั้งหมดให้ท่านปู่ได้!”
คำพูดนี้เหลวไหลมาก ที่จริงเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินทั้งหมดอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของนาง นางได้รับความยินยอมจากเหมียวอี้ตั้งแต่ก่อนที่เหมียวอี้จะแต่งงานรับอนุภรรยาแล้ว ไม่ผิดหรอก นางสามารถดูแลตระกูลเดิมของตัวเองได้จริงๆ แต่นางต้องดูแลครอบครัวของตัวเองก่อน ถ้าไม่มีครอบครัวของตัวเองแล้ว ยังจะไปดูแลตระกูลเดิมของตัวเองได้อย่างไร? ดังนั้นนางต้องขยายผลประโยชน์ให้มากที่สุด ขอเพียงตระกูลอวิ๋นได้เคล็ดวิชาภาคดินไปแล้ว ในภายหลังก็จะต้องดูแลนาง เมื่อดูแลนางก็ต้องดูแลเหมียวอี้ด้วย และต้องดูแลครอบครัวนางด้วย
อวิ๋นอ้าวเทียนหันขวับมองนาง นึกไม่ถึงว่าหลานสาวคนนี้จะเสียสละมากขนาดนี้เพื่อตระกูลอวิ๋นได้ มาหลบร้องไห้คนเดียวเพราะเรื่องนี้ เขารู้สึกปวดใจมาก ถามเสียงต่ำว่า “ใครต้องการให้เจ้าทำแบบนี้? ผู้ชายของตระกูลอวิ๋นสามารถตายได้ แต่ไม่เคยเอาผู้หญิงของตระกูลไปแลกกับอนาคต ทำไมไม่บอกเรื่องนี้กับข้าล่วงหน้า?”
อวิ๋นจือชิวกล่าวว่า “ท่านปู่ อย่าบอกนะว่าท่านคิดจริงๆว่า หกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่จะหาพบได้ง่ายๆ ขนาดนั้น? เมื่อตระกูลไปที่พิภพใหญ่แล้ว หากไม่มีศักยภาพติดตัว ท่านจะให้หลานสาวคนนี้สงบใจได้อย่างไร?”
อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเน้นทีละคำว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องทนรับความไม่ยุติธรรมแบบนี้ ข้าจะหาทางเอามาจากมือเหมียวอี้เอง!”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ตอนนี้จะยกเลิกงานแต่งงานได้เชียวหรือ?” อวิ๋นจือชิวถาม
อวิ๋นอ้าวเทียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย…
…………………………