พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1130 ห้าปราชญ์เดินตลาดสวรรค์ (2)
รวมอวิ๋นอ้าวเทียนไปด้วย คนของตระกูลอวิ๋นจ่ายทีเดียวแปดแสนล้านผลึกทอง
มู่ฝานจวินที่เพิ่งกล่าวเหน็บแนมพูดไม่ออกทันที รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรง
ส่วนพวกฉางเหลยก็มองหน้ากันเลิกลั่ก หนึ่งแสนล้านผลึกทองจะว่าเยอะก็ไม่เยอะ จะว่าน้อยก็ไม่น้อย เด็กๆ ตระกูลอวิ๋นกลายเป็นร่ำรวยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เมื่อออกจากร้านค้าสำนักเมฆดารา พนักงานของร้านก็ยิ้มตาหยีส่งแขก
“ร้านขายระฆังดาราอยู่ที่ไหน?” อวิ๋นอ้าวเทียนที่เดินมาถึงหัวถนนเอ่ยถาม
“เดินไปข้างหน้าอีกไม่กี่ซอย” อวิ๋นเซี่ยวที่เคยมาครั้งหนึ่งชี้บอกทิศทาง แล้วเดินนำอยู่ข้างหน้า
พวกมู่ฝานจวินก็เดินไปข้างหน้าเช่นกัน เหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง ถูกดึงดูดด้วยความเจริญของตลาดสวรรค์
เมื่อเทียบกับแผนที่ดาว ระฆังดารามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าแผนที่ดาวเลย โดยเฉพาะเมื่อใช้สำหรับคนที่ต้องรักษาการติดต่อเอาไว้อย่างพวกขา
แต่ราคาระฆังดาราก็ไม่ใช่น้อยๆ ราคาต่อชิ้นเหมือนกับแผนที่ดาว ล้วนต้องจ่ายสิบล้านผลึกแดง แต่แผนที่ดาวซื้อคนละอันก็พอแล้ว ส่วนระฆังดาราปกติต้องซื้อเป็นคู่ ไม่อย่างนั้นก็ติดต่อกันได้ยาก
“ระฆังอันเด็กอันเดียวแพงขนาดนี้เลยเหรอ?” จีฮวนที่หยิบระฆังดาราดูอยู่ในร้านอดไม่ได้ที่จะพึมพำถาม
พนักงานหัวเราะแห้งอยู่ข้างๆ “สำนักเราอาศัยสิ่งนี้เลี้ยงชีพ ต้นทุนที่ใช้หลอมสร้างไม่น้อยเลย ถึงแม้จะแพงไปหน่อย แต่เมื่อมีของสิ่งนี้แล้ว เวลาติดต่อกันก็จะสะดวก ในปีนั้นตอนที่สำนักเรายังไม่ได้คิดค้นระฆังดาราขึ้นมา การสื่อสารและไปมาหาสู่กันระหว่างแดนฝึกตนค่อนข้างยุ่งยาก ต้องอาศัยให้คนวิ่งไปวิ่งมาเพื่อส่งข่าว ราคานี้ไม่ได้หลอกลวงแน่นอน ทั้งแดนฝึกตนต่างก็รู้ว่าขายในราคานี้” เขาแทบจะบอกว่าสำนักตัวเองผูกขาดสินค้านี้ จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ตามใจ
แน่นอน การผูกขาดธุรกิจนี้ก็มีการโกงเหมือนกัน กินคนเดียวมีหรือที่จะไม่อร่อย การติดสินบนหาเส้นสายก็ต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเช่นกัน
ซือถูเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ ถามอีกว่า “มีระฆังดาราอันเดียวที่สามารถติดต่อกับระฆังดาราได้พร้อมกันหลายๆ อันมั้ย จะได้ไม่ต้องพกระฆังไว้บนตัวเป็นกอง”
พนักงานกุมหมัดกล่าวขออภัย “ท่านลูกค้าช่างมีสายตาที่ดี แค่มองปราดเดียวก็รู้ถึงจุดอ่อนของระฆังดารา นี่ก็คือจุดที่ตำหนักสวรรค์หวังว่าพวกเราจะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ สำนักเรากำลังทุ่มทรัพยกรจำนวนมหาศาลเพื่อทดลองในด้านนี้ ตอนนี้ยังไม่มีการพัฒนาขนาดนั้น แต่ท่านลูกค้าวางใจได้ ขอเพียงหลอมสร้างออกมาเสร็จ เราจะไม่เก็บไว้ส่วนตัวแน่นอน จะต้องนำออกมาขายในทันที”
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ อวิ๋นก่วงก็กล่าวอย่างอาจหาญมากว่า “เอามาให้ข้าก่อนยี่สิบอัน!”
ฉางเหลยและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วตกตะลึง นั่นต้องใช้สองล้านล้านผลึกทองเชียวนะ! สายตาของทุกคนมองไปที่อวิ๋นก่วง ไม่รู้ว่าเขาซื้อให้ตัวเองคนเดียวหรือซื้อให้ทั้งตระกูลอวิ๋น
ทว่าอวิ๋นเป้าก็กล่าวตามเช่นกัน “ข้าก็เอายี่สิบอันเหมือน”
พอสองพี่น้องเอ่ยปาก ท่ามกลางสายตาตกตะลึงปนประหลาดใจของพวกมู่ฝานจวิน พวกพี่สาวน้องสาวก็ทยอยกันซื้อเช่นกัน ซื้อคนละยี่สิบอันเหมือนกัน
ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็ยิ่งอ้าปากสั่งราวกับเป็นสิงโต “ข้าเอาหนึ่งร้อยอัน!”
นี่ไม่ใช่การอวดความสุรุ่ยสุร่าย แต่จำเป็นต้องใช้งานจริงๆ เดี๋ยวต้องติดต่อกับนภาจอมมารทางพิภพเล็กด้วย ระหว่างลูกๆ ต้องสร้างช่องทางติดต่อกัน ต่อไปเมื่อทำมาหากินที่พิภพใหญ่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ติดต่อกับคนอื่น จำเป็นมากที่จะต้องมีติดไม้ติดมือไว้
หนึ่งร้อยอัน? หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง! มู่ฝานจวินและคนอื่นๆ อึ้งจนพูดไม่ออก แต่ละคนทำสายตาประหลาดใจสงสัย ตระกูลอวิ๋นมีเงินมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ไม่นานพวกเขาก็สงสัยอวิ๋นจือชิวแล้ว เป็นเพราะพิภพเล็กมีทรัพยากรจำกัด จะว่าไปแล้ว แร่ผลึกที่แฝงอยู่ในพิภพเล็กก็นับว่าสูงแล้ว ในดาราจักรส่วนใหญ่ไม่มีเหรียญผลึกอยู่ แต่คนของตระกูลอวิ๋นซื้อทั้งแผนที่ดาวทั้ระฆังดารา ทุ่มออกมาหลายสิบล้านล้านผลึกทอง พิภพเล็กจะหาเหรียญผลึกมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? จำนวนรวมมีมากกว่านี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่ของแบบนี้จะมารวมอยู่ในมือของคนเพียงตระกูลเดียว
พวกพนักงานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ต้อนรับอย่างอบอุ่นมาก ช่วยทดลองระฆังดาราให้ตระกูลอวิ๋นดูทีละอัน
ครั้งนี้พวกมู่ฝานจวินตามไปอยู่ข้างๆ โต๊ะคิดเงิน ชำเลืองมองการซื้อขายบนโต๊ะคิดเงินอย่างเนียนๆ หลังจากเห็นว่าเหรียญผลึกที่ผู้จัดการย้ายจากแหวนเก็บสมบัติของตระกูลอวิ๋นไปไว้ในแหวนเก็บสมบัติอีกวงเป็นผลึกแดง สี่ปราชญ์ก็สบตากันแวบหนึ่ง เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ด้วย!
สี่ปราชญ์แน่ใจแล้วว่าเป็นเงินที่อวิ๋นจือชิวมอบให้ตระกูลอวิ๋น เพราะพิภพเล็กไม่มีเหรียญผลึกแดงและผลึกม่วง
“ข้าก็สงสัยว่าทำไมตระกูลของมารเฒ่ามีเงินเยอะขนาดนี้ ตระกูลอวิ๋นช่างให้กำเนิดหลานสาวที่ดีจริงๆ!” จีฮวนถ่ายทอดเสียงบอกคนอื่นๆ คำพูดนี้ทำไมฟังแล้วรู้สึกเปรี้ยวๆ เหมือนกำลังพูดเหน็บแนมอวิ๋นอ้าวเทียนว่าตักตวงเงินมาจากตัวหลานสาวที่แต่งงานออกไป
“จีเหม่ยลี่ลูกสาวเจ้าไม่แสดงความกตัญญูต่อพ่อบ้างเหรอ?” ซือถูเซี่ยวถ่ายทอดเสียงถาม
จีฮวนส่ายหน้าเล็กน้อย “อวี้หนูเจียวลูกศิษย์เจ้าไม่ได้ให้เจ้าเหรอ?”
ซือถูเซี่ยวส่ายหน้าเช่นกัน “เพิ่งจะแต่งงานออกไป เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้เหรอ?”
“ได้ยินว่าเหมียวอี้ยังไม่ได้รับพวกนางเข้าห้องนี่” ฉางเหลยกล่าว
“ยายแก่นแก้ว ลูกสาวอันหรูอวี้ตามเหมียวอี้มาอยู่ที่ตลาดสวรรค์ตั้งานแล้วนี่” ซือถูเซี่ยวหันกลับมาถามมู่ฝานจวิน
มู่ฝานจวินกลับหันตัวหนี ไม่สนใจพวกเขา เรียกพวกลูกศิษย์ออกมาจากร้านด้วยกัน
ที่ด้านนอกร้านค้า อันหรูอวี้ จงเจิ้น ถังจวิน เยว่เหยา ทั้งสี่คนยืนอยู่ตรงหน้ามู่ฝานจวิน นางถ่ายทอดเสียงถามทั้งสี่ว่า “บนตัวพวกเจ้าพกเงินมาเท่าไร?”
ทั้งสี่นับเงินที่อยู่บนตัว พอนับเศษเล็กเศษน้อยรวมกันก็ได้หลายหมื่นผลึกทอง แต่ประเด็นสำคัญคือปกติไม่มีใครสะสมเหรียญผลึกมากมายขนาดนั้น แถมนี่ยังเป็นจำนวนที่พยายามรวบรวมไว้เพราะรู้ว่าจะได้มาที่พิภพใหญ่ด้วย
มู่ฝานจวินเองก็เช่นกัน หลังจากจากรู้ว่าพิภพใหญ่คือสถานที่ใช้เงิน ก็รีบไปเบิกเงินก้อนใหญ่มาจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน ได้ประมาณสองล้านล้านผลึกทอง ถึงแม้เงินของสมาคมร้านค้าแดนเซียนจะเป็นเงินของนาง แต่เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเบิกเงินทุนหมุนเวียนของสมาคมร้านค้าแดนเซียนออกมาจนหมด
ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่เมื่อนำเงินบนตัวลูกศิษย์และอาจารย์ห้าคนรวมกัน ลบที่จ่ายไปกับแผนที่ดาวก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีเหลือถึงสองร้อยล้านผลึกแดงแล้ว
แต่ถ้ามู่ฝานจวินอยากจะคงการติดต่อระหว่างลูกศิษย์ทั้งห้าเอาไว้ คนหนึ่งติดต่อกับสี่คน ก็ต้องใช้ระฆังดาราแปดอัน ถ้าทั้งห้าคนอยากจะคงการติดต่อของกันและกันเอาไว้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องใช้เท่าไร ต่อให้เอาเงินมาจากตัวลูกศิษย์ทั้งห้าจนหมดก็ไม่พออยู่ดี ต่อไปจะไม่ใช้ชีวิตแล้วเหรอ? แถมระฆังดารากับแผนที่ดาวก็ไม่เหมือนกัน แผนที่ดาวเจ้ายังสามารถเว้นถังจวินกับเยว่เหยาที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงบงกชทองได้ แต่กับระฆังดารา ทั้งสองจะไม่ใช้ก็ไม่ได้
กระเป๋าเงินรู้สึกละอาย! มู่ฝานจวินเองก็พูดไม่ออกเหมือนกัน หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยของพิภพเล็ก ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขั้นนี้ได้
ที่จริงเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ทรัพย์สินของนางคนเดียวก็ไม่นับว่ายากจน ดูแลตัวเองคนเดียวก็เพียงพอ แต่ประเด็นสำคัญคือนางอยากจะรักษาผู้ช่วยเอาไว้ที่พิภพใหญ่สักจำนวนหนึ่ง อยากจะเลี้ยงกำลังคนของตัวเองไว้ที่พิภพใหญ่ ไม่ต้องอาศัยระบบของตำหนักสวรรค์ อยากจะอาศัยกระเป๋าเงินของตัวเองคนเดียว แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสามารถทำได้
เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวให้เงินกับตระกูลอวิ๋นมากมายขนาดนั้น มู่ฝานจวินก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามเยว่เหยาตามลำพัง “เยว่เหยา พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้ให้เงินเจ้าไว้เลยเหรอ?”
“ไม่ได้ให้ค่ะ!” เยว่เหยาส่ายหน้า นางไม่ใช่คนโง่ แค่ลองนับดูคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าท่านอาจารย์ที่โอหังอวดดีมาตลอดกำลังลำบากเพราะเงิน
มู่ฝานจวินขมวดคิ้ว แล้วก็ถ่ายทอดเสียงถามอันหรูอวี้ตามลำพังอีก “หรูอวี้ แม่ยายอย่างเจ้าออกมาเดินตลาด ลูกสาวของเจ้าไม่ได้ให้เงินไว้บ้างเหรอ?”
“ไม่มีค่ะ! อาจจะนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่าต้องให้ แต่ต่อให้พวกนางให้มา ข้ามีหน้ารับไว้ได้อย่างไร” อันหรูอวี้ตอบ
“เจ้ารีบกลับไปอีกรอบ ไปยืมเงินจากลูกสาวเจ้ามาสักหน่อย” มู่ฝานจวินสั่ง
อันหรูอวี้หน้าแดงก่ำทันที คนเป็นแม่เดิมทีต้องดูแลลูกสาวสิถึงจะถูก ใครจะคิดว่านอกจากจะดูแลอะไรไม่ได้แล้ว ยังปล่อยให้ลูกสาวทั้งสองคนไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่นอีก ตอนนี้ยังจะให้ไปยื่นมือขอเงินพวกนางอีกเหรอ อันหรูอวี้จะเอ่ยปากได้อย่างไร คนที่อยู่อย่างสูงส่งที่แดนโพ้นสวรรค์มานานจะไม่มีศักดิ์ศรีสักนิดเลยเชียวหรือ
ถึงแม้เหมียวอี้จะเคยบอก ว่าถ้านางมีเรื่องจำเป็นก็ให้ไปขอเงินที่ลูกสาว แต่นางก็ไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้ลูกสาวเลยจริงๆ
แต่ท่านอาจารย์ดันเอ่ยปากแล้ว นางไม่รู้ว่าจะปฏิเสธหรือไม่ปเสธดี เรียกได้ว่าลำบากใจ
มู่ฝานจวินดูออกว่านางลำบากใจ “มีอะไรน่าลำบากใจ ข้าให้เจ้าไปขอยืมเงิน ไม่ได้ให้เจ้าไปขอเงิน เดี๋ยวในภายหลังอาจารย์จะคืนให้พวกนางทั้งต้นทั้งดอก”
อันหรูอวี้ร่ำร้องในใจ ในความคิดของนาง การใช้จ่ายครั้งนี้มีจำนวนมหาศาลมาก แบบนี้ต้องแอ่ยปากขอจากลูกสาวมาเท่าไรกัน!
คนเป็นมารดา ขอเพียงไม่หน้าด้านไร้ยางอายเกินไป ก็จะกังวลกันทั้งนั้นว่าการเอาเงินมาจากลูกสาวจำนวนมากจะทำให้ลูกเขยไม่พอใจหรือเปล่า กลัวจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยา
“ค่ะ!” เมื่ออาจารย์ที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เด็กเอ่ยปากกดดันนาง นางก็ทำได้เพียงเอ่ยรับแล้วจากไป
“อย่าชักช้านะ เร็วๆ หน่อย พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่นี่!” เมื่อเห็นอันหรูอวี้เดินช้า มู่ฝานจวินก็ขมวดคิ้วพูดเร่ง
อันหรูอวี้จึงทำได้เพียงใช้สองมือยกกระโปรงพลางเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่ง มีลูกศิษย์ที่ไหนบ้างที่ปล่อยให้อาจารย์รอนาน มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ถึงความสับสนในใจตัวเองดีที่สุด
พวกจงเจิ้นแอบมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา พอจะเดาออกแล้วว่าอันหรูอวี้ไปทำอะไร
“จงเจิ้น!” มู่ฝานจวินพลันเอ่ยเรียก
“ขอรับ!” จงเจิ้นกุมหมัดขานรับ
“ไปหาโรงเตี๊ยมพักกันเถอะ เอาแต่พักอยู่ในร้านคนอื่นมันไม่ใช่เรื่อง” มู่ฝานจวินกล่าว
“ขอรับ!” จงเจิ้นเอ่ยรับ
ลูกศิษย์แต่ละคนไม่เอ่ยออกมา แต่ในใจกลับรู้แจ่มแจ้ง เอาเงินของเขามาแล้ว ถ้ายังจะไปกินอยู่ในร้านเขาอีก แม้แต่อาจารย์ก็แบกหน้าไว้ไม่ไหวเหมือนกัน
ส่วนฉางเหลย จีฮวน ซือถูเซี่ยวที่อยู่ในร้านค้าก็ต่างคนต่างเรียกลูกศิษย์ตัวเองไปคุยอีกด้านเช่นกัน สถานการณ์คล้ายๆ กับมู่ฝานจวิน ต่างก็รวบรวมนับเงินที่ตัวเองพกมา ผลปรากฏว่าไม่ได้ดีไปกว่ามู่ฝานจวินสักเท่าไร กระเป๋าเงินรู้สึกละอาย!
มู่ฝานจวินยังดีหน่อย พาคนมาด้วยไม่เยอะ สามคนนี้มีค่าใช้จ่ายเยอะกว่า ค่าใช้จ่ายของตระกูลอวิ๋นก็เยอะมากเช่นกัน แต่ช่วยไม่ได้ที่ในกระเป๋าของคนในครอบครัวมีเงิน
“ถ้าใช้เงินที่นี่หมด เกรงว่ากลับไปจะต้องโดนโรงเตี๊ยมไล่ตะเพิดออกมาแน่ๆ ที่สำคัญคือต่อให้ทุ่มเงินออกมาทั้งหมดก็ยังไม่พอ” จีฮวนถ่ายทอดเสียงบอกลูกๆ พลางยิ้มเจื่อน
“ท่านพ่อ! ที่นี่มีโรงจำนำ สมุนไพรเซียนที่อยู่บนตัวเราเหมือนจะมีค่าสำหรับที่นี่นะ” จีเต๋อจวินถ่ายทอดเสียง
จีฮวนเอามือลูบเครา ถามกลับว่า “นั่นคือของที่เอาไว้ปกป้องชีวิตยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ถ้าตอนนี้เจ้าเอาไปจำนำ ต่อไปก็ต้องจ่ายเงินสูงขึ้นเพื่อซื้อคืนมาหรือเปล่า?”
“ของอย่างอื่นบนตัวพวกเราไม่ได้มีราคาอะไร ต่อให้ขายทิ้งก็ยังไม่พอนะ!” จีเต๋อจวินตอบ
“ท่านพ่อ! เงินของตระกูลอวิ๋นจะต้องได้มากจากอวิ๋นจือชิวแน่ๆ ถึงอย่างไรน้องสาวก็แต่งงงานกับเหมียวอี้แล้วเหมือนกัน ให้น้องสาวไปขอเหมียวอี้มาสักหน่อยไม่ได้เหรอ?” จีเต๋อไห่ถาม
“น้องสาวเพิ่งจะแต่งงานออกไป เจ้าจะให้นางเอ่ยปากขอเงินแล้วเหรอ จะให้น้องเจ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” จีฮวนถลึงตามองเขา แต่สักประเดี๋ยวหลังจากเห็นคนของตระกูลอวิ๋นจ่ายเงินจนครบ กำลังลงตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราของกันและกันเพื่อทดลองติดต่อกัน เขาก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย เปลี่ยนคำพูดอีกว่า “ยืมสักหน่อยแล้วกัน! เดี๋ยวติดต่อกับน้องสาวเจ้าสักหน่อย ยืมจากน้องมาสักหน่อย รอให้พวกเรามีกินมีใช้ก่อน แล้วจะคืนให้ทั้งต้นทั้งดอก”
…………………………