พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1131 ห้าปราชญ์เดินตลาดสวรรค์ (3)
“แบบนี้จะทำให้เหม่ยลี่ลำบากใจ ถ้าจะทำแบบนี้ ไม่สู้พวกเราไปเอ่ยปากขอยืมจากเหมียวอี้โดยตรงเลยดีมั้ย” จีเหม่ยหัวถอนหายใจ นางคือลูกสาวคนโตของตระกูลจี
พอพูดแบบนี้ออกมา ปรากฏว่าพ่อและบรรดาพี่ชายน้องชายก็พากันมองนางเหมือนมองคนปัญญาอ่อน จีเหม่ยหัวพูดไม่ออก และไม่รู้ด้วยว่าตัวเองพูดผิดตรงไหน
จีเหม่ยหัวเปลี่ยนเป็นบอกว่า “ไม่สู้พวกเราออกจากตลาดสวรรค์ดีไหม แล้วหาที่เหมาะๆ ปล้นสักรอบ ถ้าแย่งได้ก็ไม่ต้องขอร้องคนแล้ว”
พอพูดจบ ก็พบว่าทุกคนยังมองตนเหมือนมองคนปัญญาอ่อนอยู่ ทำให้นางหุบปากทันที เดิมทีนางยังคิดจะพูดอีกว่า จะไปยืมพวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาสักหน่อยมั้ย
สุดท้ายจีฮวนก็กล่าวตัดสินใจว่า “ตอนนี้เดินดูให้ทั่วก่อน ถ้าไม่มีเงินก็ยังไม่ต้องซื้อของ” ต่างก็เป็นลูกชายลูกสาวของตัวเองทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้คลุมเครือ
พวกจีเต๋อจวินพยักหน้าเห็นด้วย มีแค่ต้องรอยืมเงินให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นถ้าควักเงินออกมาหมด เกรงว่าแม้แต่โรงเตี๊ยมก็จะไม่ได้พัก
ทางด้านฉางเหลยกับซือถูเซี่ยวก็ไม่ต่างกันเท่าไร ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อของไปชั่วคราว เดินดูเฉยๆ ก็พอแล้ว
เมื่อเห็นคนพวกนี้ไม่มีความคิดที่จะซื้อของแล้ว อวิ๋นก่วงที่ชำเลืองมองพวกเขาเป็นระยะก็รู้สึกบันเทิง ถามหยอกว่า “ทำไมล่ะ? ไม่มีเงินเหรอ ไม่ซื้อแล้วรึไง?”
อวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังแลกเปลี่ยนระฆังดารากับพวกลูกๆ หันมาจ้องอวิ๋นก่วงอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง
อวิ๋นเป้าถลันตัวเข้าไปทันที ชกไปหนึ่งหมัด ตุ้บ! ทำให้อวิ๋นก่วงล้มคะมำลงกับพื้น ทั้งยังเตะอีกสองสามที แล้วถ่ายทอดเสียงด่าว่า “เจ้าจะโอ้อวดอะไรนักหนา? เงินของเจ้าคือเงินของเจ้าเหรอ? เจ้าใช้เงินของน้องชิวอย่างโล่งอกสบายใจใช่มั้ย?”
อวิ๋นก่วงที่ถูกทำร้ายร่างกาย เดิมทีอยากจะตะคอกถามเขาว่าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็หางตกทันที ลำพองใจไม่ออกแล้ว
หลังจากพนักงานอึ้งไปชั่วขณะ ก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งสองเช่นกัน แล้วยิ้มสู้พร้อมเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านลูกค้าทั้งสอง จะลงมือที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าสะเทือนไปถึงทหารสวรรค์ แบบนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว”
อวิ๋นก่วงแอบเหลือบมองอวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังทำสายตาดุร้ายแวบหนึ่ง แล้วเดินหน้าม่อยคอตกไปหลบอยู่ข้างหลังอวิ๋นเจวียนพี่สาวคนที่สิบสาม ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
อวิ๋นเซียงถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นเจวียนว่า “น้องชิวช่างพิจารณาได้รอบด้าน อะไรที่ควรเตรียมก็ช่วยพวกเราเตรียมไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว เวลาพวกเราออกมาจะได้ไม่เก้อเขิน”
ด้านนอกร้านค้า มู่ฝานจวินเอามือประสานตรงท้องพลางยืนดูผู้คนสัญจรไปมาอยู่ริมถนน กำลังพาลูกศิษย์ดูทิวทัศน์ตลาดด้านนอก ยังไม่ได้เข้าไปที่ร้านไหนอีก กลับเป็นความงามของเยว่เหยาที่ดึงดูดสายตาของคนเดินถนนไม่น้อยเลย
หลังจากมู่ฝานจวินพบปัญหาแล้ว ก็หันกลับมาสั่งเยว่เหยาว่า “กลับไปแต่งหน้าก่อน อย่าหาเรื่องใส่ตัวเอง”
กลุ่มคนที่มีอำนาจสูงสุดของพิภพเล็ก เมื่ออยู่ที่นี่ก็มีสิทธิ์เพียงยืนอยู่ริมถนน อาจารย์และลูกศิษย์เห็นผู้คนที่สัญจรไปมาส่วนใหญ่มองข้ามการมีอยู่ของพวกเขา ความรู้สึกแบบนี้ทำให้พวกเขาปรับตัวไม่ได้เป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนบุคคลผู้สูงส่งที่ตกอับกลายมาเป็นคนธรรมดา
ที่ร้านผลึกสกัด อันหรูอวี้ที่กลับมาแล้วได้พบหน้าลูกสาวทั้งสอง เพียงแต่ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร
หลังจากสองพี่น้องฝาแฝดเห็นนาง แต่ไม่เห็นมู่ฝานจวินและคนอื่นๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะบารมีที่สะสมมาหลายปี สองพี่น้องฝาแฝดเห็นมู่ฝานจวินแล้วมักรู้สึกหวาดกลัว
สองพี่น้องคล้องแขนอันหรูอวี้คนละข้างและพากลับเข้ามาในร้าน โอวหยางหลางถามว่า “ท่านแม่ พวกท่านไปเดินตลาดกันไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ พวกท่านปราชญ์ล่ะ ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน?”
พอพูดถึงมู่ฝานจวิน อันหรูอวี้ก็ไม่สะดวกจะให้อาจารย์ตัวเองรอนานเช่นกัน กล่าวอย่างค่อนข้างอับอายว่า “หลางหลาง หวนหวน คืออย่างนี้นะ ราคาสินค้าที่ตลาดสวรรค์ พิภพเล็กเทียบไม่คิดเลยขจริงๆ ในมือทุกคนไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ท่านปราชญ์ให้ข้ากลับมาถามพวกเจ้าสองคนว่ามีเงินทองเหลือเฟือรึเปล่า…”
หลังจากสองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง ก็รีบตำหนิตัวเองยกใหญ่ โอวหยางหลางถามว่า “ท่านแม่ ท่านต้องการเท่าไรคะ?”
อันหรูอวี้คุร่นคิดเล็กน้อย แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าในมือพวกเจ้ามีเงินใช้เหลือเฟือ ให้ข้ายืมก่อนสักหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดงได้หรือเปล่า?”
ทั้งสองก็ยังนึกว่านางต้องการเยอะสักเท่าไรกันเชียว กำลังคิดว่าถ้าตัวเองมีไม่พอก็จะไปปรึกษากับอวิ๋นจือชิวสักหน่อย พอได้ยินว่าแค่หนึ่งพันล้านผลึกแดงก็ทำให้แม่ตัวเองลำบากถึงขนาดนี้ โอวหยางหลางก็แทบจะนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ยัดใส่มืออันหรูอวี้พร้อมบอกว่า “ท่านแม่! ในนี้มีหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง”
หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง? อันหรูอวี้ตกใจทันที รีบบอกว่า “ไม่เอาเยอะขนาดนั้นหรอก หนึ่งพันล้านก็พอแล้ว”
โอวหยางหวนกดมือนาง “ท่านแม่! ท่านปราชญ์ขอยืมหนึ่งพันล้าน ท่านก็ให้นางหนึ่งพันล้านก็พอ ที่เหลือท่านก็เก็บไว้ใช้เอง ลูกสาวไม่ได้แสดงความกตัญญู แต่เงินเล็กน้อยเท่านี้ก็ยังพอหามาได้”
ฟังจากความหมายที่อยู่ในคำพูด เหมือนลูกสาวตัวเองจะมีเงินเยอะมาก อันหรูอวี้ถึงถามหยั่งเชิงว่า “พวกเจ้าให้เงินข้ารวดเดียวเยอะขนาดนี้ ทางเหมียวอี้จะไม่พอใจรึเปล่า?”
สองพี่น้องสบตากันแล้วยิ้ม โอวหยางหลางตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านแม่! ท่านสามีเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ มีงานราชการอีกอย่างต้องทำ เป็นคนใจใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยถามเรื่องเงินในบ้านเลย เรื่องในบ้านฮูหยินล้วนเป็นคนตัดสินใจ วงเงินที่ฮูหยินให้พวกเราก็เหลือเฟือ ในแต่ละปีพวกเราสองพี่น้องมีสิทธิ์ใช้เงินหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง ถ้าจะใช้เกินนี้ก็บอกนางสักหน่อย ขอเพียงไม่ใช่มั่วๆ ขอเพียงใช้อย่างสมเหตุสมผล ฮูหยินก็จะไม่ว่าอะไรค่ะ”
อันหรูอวี้ตกใจทันที นึกไม่ถึงว่าในแต่ละปีลูกสาวทั้งคู่จะได้ใช้เงินมากขนาดนี้ จึงถามต่อว่า “นี่คือทรัพยากรฝึกตนของพวกเจ้า หรือเป็นเงินที่ใช้หมุนในร้าน? ข้าไปครึ่งหนึ่งในรวดเดียว เช่นนั้นจะไม่…”
โอวหยางหวนพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ยังอยู่ในวงจำกัดของเงินที่ฮูหยินให้พวกเราใช้ส่วนตัว วงเกินนี้เดิมทีเตรียมไว้ให้พวกเราใช้ยามฉุกเฉิน ค่าใช้จ่ายปกตอของพวกเราล้วนบันทึกลงในบัญชีกลางของตระกูลเหมียว ตามปกติพวกยาแก่นเซียนที่ใช้ฝึกตนล้วนเบิกจากบัญชีของตระกูลเหมียว ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราควักเอง เพียงแต่ฮูหยินเป็นคนดูแลบัญชี”
“อวิ๋นจือชิวเป็นคนดูแลจัดการ พวกเจ้าเอามาให้ข้าเยอะขนาดนี้…” อันหรูอวี้ยังกังวลนิดหน่อย
โอวหยางหลางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านแม่ ท่านนำเงินนี้ไปใช้อย่างสบายใจเถอะ เดี๋ยวกลับไปบอกทางฮูหยินสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ถึงแม้ในใจอันหรูอวี้จะรู้สึกผิด กังวลว่าลูกสาวทั้งสองจะพูดให้นางคลายกังวลเฉยๆ แต่ทางด้านมู่ฝานจวินก็กดดันมาเหมือนกัน ทำได้เพียงนำเงินไปแล้ว
หลังจากรีบร้อนกลับมา มู่ฝานจวินที่ยืนอยู่ริมถนนก็ถามทันที “ยืมมาแล้วหรือยัง?”
นางเตรียมตัวไว้แล้ว ว่าถ้าอันหรูอวี้ขอยืมเงินไม่ได้ นางก็จะให้เยว่เหยาไปหาเหมียวอี้ การที่อวิ๋นจือชิวให้เงินฝ่ายอวิ๋นอ้าวเทียนมากขนาดนั้น ทำให้ในใจนางหงุดหงิดมาก แต่จนใจที่ไม่สามารถบอกถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างนางกับอวิ๋นจือชิวออกมาได้ นิสัยแข็งกร้าวเกินไป!
“ยืมมาได้แล้วค่ะ”
“ยืมมาเท่าไร?”
“หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง!” ภายใต้อำนาจบารมี สุดท้ายอันหรูอวี้ก็ไม่กล้าปิดบัง นำกำไลเก็บสมบัติยื่นออกมาให้นาง
มู่ฝานจวินตาเป็นประกาย พอหยิบมาดูในมือ กพบว่าทั้งหมดเป็นผลึกแดง ยืนอยู่ริมถนนจึงยังไม่ได้นับให้ละเอียด แต่ดูจากสภาพแล้วคงไม่น้อยแน่ ในใจอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความสะท้อนใจ ขนาดเด็กสาวสองคนยังมีเงินเยอะกว่าตนเลย ควักทีเดียวหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดงแล้ว การที่ตนหลบอยู่ที่พิภพเล็กแล้วเรียกตัวเองว่าปราชญ์ แบบนี้ถ้าไม่ใช่กบในกะลาแล้วจะเป็นอะไรไปได้?
“ไป! ซื้อของที่พวกเจ้าควรจะมีให้หมด” มู่ฝานจวินโบกมือ แล้วนำกลุ่มลูกศิษย์เข้าไปในร้านค้าอีกครั้ง
บังเอิญว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนซื้อของเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังจะเดินออกจากร้านพอดี พอเจอมู่ฝานจวินนำลูกศิษย์กลับมาอีกครั้ง พวกเขาก็หยุดฝีเท้าแล้วหันไปมอง
เห็นเพียงมู่ฝานจวินหยิบระฆังดาราขึ้นมาดูครู่หนึ่ง แล้วก็โยนใส่มือพนักงาน “เตรียมให้ข้าสองร้อยอัน!”
เมื่อมีเงินก็มีความมั่นใจ พูดจบก็ยังเหล่ตาชำเลืองพวกอวิ๋นอ้าวเทียนด้วย
สองร้อยอันเหรอ? สองพันล้านผลึกแดง? ฉางเหลย ซือถูเซี่ยว จีฮวนทำสีหน้าไม่ถูก มองหน้ากันเลิกลั่กแล้ว ยายแก่นแก้วนี่เอาเงินมาจากไหน?
ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย มู่ฝานจวินก็คงไม่กล้าปล้นที่ตลาดสวรรค์เหมือนกัน เป็นไปได้สูงว่าที่มาของเงินนี้จะเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ แค่ไม่รู้ว่าไปขอจากเหมียวอี้โดยตรง หรือเกี่ยวข้องกับลูกสาวของอันหรูอวี้ ในใจสามปราชญ์รู้สึกเซ็ง!
ซื้อระฆังดาราสองร้อยอันในรวดเดียว ลูกค้ารายใหญ่! พนักงานในร้านหรี่ตายิ้ม บริการมู่ฝานจวินเหมือนเป็นบรรพบุรุษทันที ถามอะไรก็ตอบ ถ้าไม่พอใจอันไหนก็เปลี่ยนให้
เพียงแต่ตอนที่จ่ายเงิน ผู้จัดการร้านก็ปวดหัวนิดหน่อย มู่ฝานจวินนำผลึกทองจากพิภพเล็กมาจ่ายก่อน ถ้าไม่พอค่อยใช้ผลึกแดงเติม โชคดีที่ทุกคนเป็นนักพรต เวลาร่ายอิทธิฤทธิ์นับก็รวดเร็วมาก แต่จำนวนมหาศาลเกินไปจริงๆ ต้องใช้เวลาไปไม่น้อยเลย พนักงานหลายคนมานับด้วยกันอยู่พักหนึ่ง
ผู้จัดการร้านเงยหน้ามองมู่ฝานจวินเป็นระยะ เริ่มสงสัยแล้วว่าท่านนี้จงใจมาก่อกวนหรือเปล่า…
ร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวเดินลงมาจากตึกชั้นบนแล้ว นางเดินไปในลานบ้าน พนักงานคนหนึ่งที่รออยู่ข้างล่างเดินตามมาด้วยทันที
หลังจากนั่งลงในศาลาข้างภูเขาจำลอง อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “พวกเขากำลังทำอะไรกัน? ได้ไปซื้อพวกแผนที่ดาวกับระฆังดารารึเปล่า?”
“เป็นอย่างที่เถ้าแก่เนี้ยคาดไว้ขอรับ พวกเขาไปซื้อของพวกนั้นจริงๆ” พนักงานตอบ
อวิ๋นจือชิวยิ้มแล้วถามว่า “ไม่ได้เกิดเรื่องอย่างอื่นใช่มั้ย?”
“ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ เพียงเดินซื้อของอยู่ในตลาด เดี๋ยวผู้น้อยจะตามไปดูอีก” พนักงานตอบ
อวิ๋นจือชิวโบกมือ “ช่างเถอะ ไม่ต้องแล้ว เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ เออเดี๋ยวก่อน ข้าได้ยินว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าไปเล่นที่หอโคมเขียวสนุกเชียวนะ ข้าจะเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนเลย ถ้าเจ้าจะออกไปเล่น ข้าก็ไม่ห้ามอะไร แต่การที่เจ้าไม่เก็บทรัพยากรเอาไว้เพื่อตั้งใจฝึกตนเพิ่มวรยุทธ์ เอาเงินไปทุ่มให้ม้าที่โดนคนขี่เป็นพัน ไปทุ่มให้กับร่างกายผู้หญิงที่มีคนปีนเป็นหมื่นพวกนั้น มันคุ้มแล้วเหรอ? ถ้าเจ้าทำแบบนี้อีก ตอนจ่ายเงินครั้งหน้าข้าจะให้ผู้จัดการร้านหักเงินเจ้าแล้ว”
พนักงานหัวเราะแห้งๆ พร้อมตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยวางใจได้ ข้าจะสำรวม เพียงแต่ช่วงนี้มีมาใหม่สวยๆ หลายคน เลยอยากจะไปลองของใหม่ขอรับ”
อวิ๋นจือชิวจึงเลิกคิ้วบอกว่า “อย่ามาทำหน้าทะเล้นกับข้า ถึงตอนนั้นถ้าวรยุทธ์ไม่สูง เจ้าก็จะตามทุกคนไม่ทัน แล้วอีกอย่าง ถ้าเจ้าคิดถึงผู้หญิงจริงๆ ก็กลับไปที่พิภพเล็กได้เลย อยากจะแต่งสักกี่ห้องก็แต่งไปเลย ค่อยๆ เสพสุขอยู่ที่บ้าน อย่ามาพูดไร้สาระไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำตัวเหมือนคนไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่ที่นี่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาไม่ต้องให้ข้าลงมือเลย เจ้าน่าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดนะ!”
นางไม่ได้พูดจาส่งเดชไปอย่างนั้น คนชราที่อยู่ข้างกายพวกนี้ก็ใช่ว่าจะไร้ความปรารถนาไร้ความต้องการ ก่อนหน้านี้เป็นเหมือนจอกแหนที่ลอยน้ำ ทุกคนล้วนไม่มีทางเลือก ตอนนี้ได้ควบคุมพิภพเล็กอยู่ในมือแล้ว ก็ควรจะเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้พวกลูกน้องบ้างสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าเห็นและได้ยินอะไรที่ที่พิภพใหญ่นานๆ ไป ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น ควรจะมีลู่ทางจัดหาที่พักอาศัยแล้วเช่นกัน นางเตรียมจะสร้างระบบผลัดกันหยุดพักผ่อน ให้ทุกคนที่อยากจะแต่งงานมีลูกได้มีแหล่งที่อยู่ ถ้ามีครอบครัวที่พิภพเล็กแล้ว ถ้าตัวที่อยู่ทางนี้มีความคิดอะไรก็จะได้ควบคุมได้สะดวก
“ขอรับ!” พนักงานพยักหน้าสื่อเป็นนัยว่าจะจำไว้
หลังจากรอให้เขาถอยไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็พึมพำ “ซื้อ…” มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
ทรัพย์สินของมู่ฝานจวินที่พิภพเล็กก็มีเท่านั้นเอง อยู่ที่พิภพใหญ่ไม่พอใช้เลย การไปซื้อสิ่งของจำเป็นคือเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของนางตั้งแต่แรก ไม่ต้องเดาว่าจะเกิดสถานการณ์แบบไหนขึ้น แต่นางจะยังไม่ไปเตือนพวกเขา เพราะอยากให้ตระกูลอวิ๋นได้เห็นแบบนั้นเพื่อรับรู้ความดีของนางก่อน ส่วนอนุภรรยาของตระกูลนี้ก็ล้วนมีภูมิหลังมาจากมู่ฝานจวิน มีใครยอมใครเสียที่ไหน? พวกที่อาวุโสหน่อยก็จะไม่เห็นอวิ๋นจือชิวอยู่ในสายตา ถ้าอยากจะกำกับดูแลเรื่องในบ้านนี้ บิดคนในครอบครัวให้กลายเป็นเชือกที่มัดเหมียวอี้ไว้ในบ้านอย่างสงบเรียบร้อย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น อำนาจบารมีของนายหญิงในบ้าน เวลาที่ควรจะสร้างก็ยังต้องสร้าง อนุภรรยาในสังกัดจะไม่ก้มหัวอย่างไรไหว?
…………………………