พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1133 ก้มหัวยืมเงิน
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วหยุดฝีเท้า ทำสีหน้าท่าทางเหมือนหมาป่าที่ชั่วร้าย
อวี้หนูเจียวรีบใช้สองมือปิดหน้าอกพลางก้าวถอยหลัง เตรียมพร้อมป้องกันตัวอย่างสูง
“ไม่ถอดจริงเหรอ?” เหมียวอี้ไม่ถอดจริงเหรอ
“ไม่ถอด!” อวี้หนูเจียวแถลงด้วยน้ำเสียงคับแค้นอีกอีกครั้ง
เหมียวอี้ไม่ได้บังคับ แสยะหัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า “งั้นเจ้าแต่งงานกับข้าทำไม?”
“…” อวี้หนูเจียวกัดริมฝีปากไม่พูดอะไร ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามของเขาอย่างไร ตามหลักการแล้ว เรื่องที่อีกฝ่ายอยากจะทำก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ว่า…นางทำได้เพียงกล่าวอีกครั้งว่า “เจ้าจงใจสร้างความอัปยศให้ข้า!”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกแล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ถอด?”
อวี้หนูเจียวจะทนรับความอัปยศอดสูแบบนี้ได้อย่างไร ต่อต้านอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ไม่ถอด!”
“ถ้าไม่ถอดข้าจะหย่ากับเจ้า!” เหมียวอี้เตือนอีกครั้ง
“เหมียวอี้ เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปหน่อยเลย! ถ้าเจ้าดึงดันจะสร้างความอัปยศให้ข้าให้ได้ ถ้าเจ้าอยากจะหย่าก็หย่าได้เลย!” อวี้หนูเจียวกล่าวเสียงเศร้า
“เจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!” เหมียวอี้ชี้นาง แล้วก็เดินออกจากห้องไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เมิ่งเจี๋ย เมิ่งหย่า หญิงรับใช้ทั้งสองกำลังแอบฟังอยู่นอกประตูพอดี ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน ก่อนที่จะแต่งงานติดตามออกมาด้วย ทั้งสองถูกกำชับจากซือถูเซี่ยวครั้งแล้วครั้งเล่า พวกนางแบกภารกิจ ‘ยิ่งใหญ่’ มาด้วยเหมือนกัน
เหมียวอี้พลันออกจากประตูมา ทำสองลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง เมิ่งเจี๋ยรีบเดินตามหลังเหมียวอี้ไป แล้วกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “นายท่าน! ฮูหยินไม่ได้หมายความอย่างนั้นเจ้าค่ะ นางไม่เคยผ่านประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาก่อน เพียงปรับตัวไม่ค่อยได้ ท่านให้เวลานางอีกสักหน่อย…”
เหมียวอี้โบกมือหยุด ไม่สนใจอะไร เดินก้าวยาวออกไปแล้ว
ส่วนเมิ่งหย่าก็วิ่งกลับเข้ามาในห้อง มาดึงมืออวี้หนูเจียวที่กำลังกัดริมฝีปากเงียบๆ พร้อมกล่าวขอร้องว่า “ฮูหยิน ผู้หญิงเวลาแต่งงานแล้วก็ต้องผ่านด่านนี้กันทั้งนั้น ท่านทำให้ความสัมพันธ์แข็งทื่อแบบนี้ แล้ววันลังจะใช้ชีวิตอย่างไรเจ้าคะ? ไปเจ้าค่ะ ฉวยโอกาสตอนที่นายท่านยังไม่ไป ไปก้มหน้ายอมนายท่านสักครั้ง!”
อวี้หนูเจียวสะบัดมือนางออก ไม่ยอมก้มหัว เอียงหน้าหันไปมองอีกด้าน หยดน้ำตาที่เหมือนเม็ดไข่มุกไหลอาบแก้มลงมาไม่ขาดสายโดยไร้สุ้มเสียง
จะดีจะร้ายนางก็เป็นลูกศิษย์ของปราชญ์ผีที่พิภพเล็ก นับว่าอยู่ในฐานะสูงส่งมานานจนเคยชิน ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้รับความอัปยศแบบนี้มาก่อน ทว่าเมื่อเผชิญกับความอัปยศที่ทำให้ลำบากใจแบบนี้ ถึงแม้จะร้องไห้โดยไร้เสียง แต่กลับร้องไห้อย่างปวดใจมากจริงๆ นางไม่ได้ร้องไห้แบบนี้มาหลายปีแล้ว
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำลายความดื้อรั้นของนาง ไหนๆ ก็แต่งงานกับข้าแล้ว ยังจะกล้าดื้อรั้นกับข้าอีกเหรอ?
จุดประสงค์ที่นางแต่งงานกับเขา ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ เป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของซือถูเซี่ยว ต่างจากอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้จะให้ท้ายเวลานางทำตัวกำเริบเสิบสานได้อย่างไร เช่นนั้นก็ต้องปราบปราม!
ที่ด้านนอก อวิ๋นจือชิวก็รออยู่เช่นกัน นางกังวลว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการตาต่อตาฟันต่อฟันจนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
พอเหมียวอี้เห็นนาง ก็เอ่ยปากบอกตรงๆ ทันที “ไม่มีทางรับผู้หญิงคนนี้ไว้ได้แล้ว หย่าไปเถอะ!”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วคล้องแขนเขาไว้ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เจ้าทำซี้ซั้วอะไรกับนางไป?”
เหมียวอี้ยกมือสองข้าง “ข้ายังจะทำซี้ซั้วอะไรได้ล่ะ? นางเป็นอนุภรรยาของข้า ข้าให้นางปรนนิบัติให้มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรอกเหรอ ข้าให้นางถอดเสื้อผ้า แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะจะยอมหย่าดีกว่ายอมถอด แบบนี้ไม่แย่เหรอ?”
“…” อวิ๋นจือชิวงุนงง จริงหรือโกหก? นางไม่ค่อยเชื่อ ในเมื่ออวี้หนูเจียวแต่งงานเข้ามาแล้ว จะไม่เตรียมใจกับเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าได้อย่างไร?
ทว่าเหมียวอี้นำแผ่นหยกออกมาแล้ว เขียนหนังสือหย่าออกมาฉบับหนึ่ง แล้วโยนให้อวิ๋นจือชิว “เดี๋ยวให้คนนำไปส่งให้ซือถูเซี่ยวด้วย ให้เขามารับนางกลับไป บอกซือถูเซี่ยวว่าข้าแต่งงานรับอนุภรรยา ไม่ได้แต่งงานรับบรรพบุรุษกลับมาบูชา!”
เขาสบายใจแล้ว โยนของไว้แล้วเอามือไขว้หลังเดินจากไป
อวิ๋นจือชิวถือแผ่นหยกอ่านแล้วงงนิดหน่อย เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องอวี้หนูเจียว เข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อยากจะถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
เมื่อเห็นอวี้หนูเจียวยืนร้องไห้เงียบๆ อย่างดื้อรั้น อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “เกิดอะไรกันแน่?”
อวี้หนูเจียวไม่พูดสักคำ ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย ไม่ได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ไม่ได้รับความเป็นทำจะแย่อยู่แล้ว
เป็นเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่าที่เชิญอวิ๋นจือชิวไปอีกด้านหนึ่ง เล่าสถานการณ์ที่แอบได้ยินมาให้ฟัง
อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วก็ทั้งโมโหทั้งอยากขำ แอบด่าเหมียวอี้ว่าไอ้คนระยำ นี่เป็นการบอกให้อีกฝ่ายปรนนิบัติเสียที่ไหนกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีทางตอบตกลงเหมือนกัน กับผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนั้น เจ้าดันให้นางเป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้าก่อนอย่างน่าอับอาย ใครบ้างที่จะยอมทำ? ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายรุกสักหน่อย อีกฝ่ายก็อาจจะกัดฟันยอมรับชะตากรรมแล้ว แต่เจ้าทำแบบนั้น ผู้หญิงปกติที่ไหนจะตอบตกลงได้ล่ะ?
อวี้หนูเจียวทำท่าเหมือนได้รับความไม่ยุติธรรมสุดๆ อวิ๋นจือชิวเห็นแล้วยังปวดหัว นางก้าวขึ้นมาปาดน้ำตาให้อวี้หนูเจียว แต่ก็ยังกล่าวอย่างมีสติปัญญาว่า “อวี้หนูเจียว นายท่านโมโหแล้วจริงๆ เขียนหนังสือหย่าโยนมาให้ข้าแล้ว เจ้าว่าข้าควาจะให้เจ้าหรือไม่ให้เจ้าดี?”
“ให้ข้า!” อวี้หนูเจียวยื่นมือเข้ามา ในที่สุดก็กล่าวอย่างสะอึกสะอื้นว่า “มอบหนังสือหย่าให้ข้า ข้าออกไปก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่ากลับกดแขนนางไว้ ไม่ให้นางรับหนังสือหย่า เมิ่งเจี๋ยส่ายหน้าบอกอวิ๋นจือชิวว่า “ฮูหยิน! เป้นเพียงความเข้าใจผิดเล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่ถึงขั้นต้องทำอย่างนี้ ท่านได้โปรดโน้มน้าวนายท่านด้วยเจ้าค่ะ!”
“ไปเหรอ?” อวิ๋นจือชิวจ้องอวี้หนูเจียวพร้อมถามว่า “เจ้าจะไปไหนได้? ต่อให้เจ้าออกไปได้ แต่เจ้าคิดว่าพวกซือถูเซี่ยวจะหนีไปได้เหรอ นี่คืออาณาเขตของนายท่าน เพียงนายท่านสั่งคำเดียว อาจารย์เจ้าก็ออกจากกำแพงเมืองไม่ได้ด้วยซ้ำ! เอาอย่างนี้แล้วกัน เก็บหนังสือหย่าไว้ที่ข้าก่อนชั่วคราว เจ้าไปปรึกษากับอาจารย์เจ้าอีกที ถ้าไตร่ตรองดูแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเอาหนังสือหย่าฉบับนี้มั้ย ถ้าเจ้ายังมีความรักความห่วงใยต่อนายท่านบ้างสักหน่อย ยินดีติดตามนายท่าน เจ้าก็กลับมาบอกข้า ข้าจะไปโน้มน้าวให้นายท่านเก็บหนังสือหย่าฉบับนี้ไป!”
“ขอบคุณฮูหยิน ขอบคุณฮูหยิน!” เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งหย่ากล่าวขอบคุณซ้ำๆ
จากนั้น อวิ๋นจือชิวก็นำทั้งสามออกจากร้านโฉมเมฆา พาไปส่งที่โรงเตี๊ยมที่พักของซือถูเซี่ยว
เมื่อศิษย์และอาจารย์พบหน้ากันที่โรงเตี๊ยม มีคำบางคำที่อวี้หนูเจียวพูดออกมาไม่ได้ เพียงบอกว่าเหมียวอี้สร้างความอัปยศให้นาง นางไม่มีทางใช้ชีวิตแบบนั้นได้อีกต่อไป ออกมาได้แล้วก็ดีเหมือนกัน
หลังจากซือถูเซี่ยวได้รู้ความจริงจากปากหญิงรับใช้ทั้งสอง ก็เรียกได้ว่าเซ็งมาก ทางนี้ยังเตรียมจะขอยืมเงินเหมียวอี้อยู่เลย อวี้หนูเจียวกลับถือหนังสือหย่ากลับมา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอย่างไรดี เรื่องแบบนี้ไม่มีทางตำหนิอวี้หนูเจียวได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์อย่างเขา ลูกศิษย์ของตัวเองก็คงไม่ต้องทนรับความอยุติธรรมนี้
แต่จะว่าไปแล้ว ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ อวี้หนูเจียวกลับมาพร้อมกับได้ชื่อว่าโดนขอหย่า นอกจากจะทำให้ในภายหลังอวี้หนูเจียวไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว เขาเองก็กลัวเช่นกันว่าตอนหลังเหมียวอี้จะมาล้างแค้น ถึงแม้จะสินค้าที่พิภพใหญ่จะราคาแพง แต่กลับปลุกเร้าให้เขามีอุดมการณ์ที่ยาวไกล!
“การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องปกติ ทำไมต้องปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยมาทำให้เลิกกัน?” ซือถูเซี่ยวก็ทำได้เพียงโน้มน้าวนางเช่นกัน
“ไม่ใช่การทะเลาะกัน เขากำลังจงใจสร้างความอัปยศให้ข้า”
“เจ้าเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน เจ้าเคยได้ยินว่ามีผู้หญิงที่ไหนบ้างที่กระชากคอเสื้อเจ้าบ่าวในห้องหอ? ชัดเจนว่าเหมียวอี้กำลังระบายอารมณ์โกรธ เจ้าก้มหัวให้สักหน่อย ให้เขาระบายอารมณ์โกรธสักหน่อยเดี๋ยวเรื่องก็ผ่านไปแล้ว…”
อ้างเหตุผลออกมาเป็นชุด ภายใต้การโน้มน้าวซ้ำๆ ของซือถูเซี่ยว ในที่สุดก็พาอวี้หนูเจียวกลับมาได้แล้ว เขาส่งนางกลับมาด้วยตัวเอง
ที่จริงหลังจากที่เริ่มใจเย็นลงแล้ว อวี้หนูเจียวก็ทนรับความยุติธรรมนี้ไม่ไหวเหมือนกัน ไอ้เวรนั่นมันมีสิทธิ์อะไร บทจะแต่งกับข้าก็จะแต่ง บทจะหย่าก็จะหย่างั้นเหรอ? ทำไมตอนหลังข้าต้องได้ชื่อว่าเป็นอนุภรรยาที่ถูกเหมียวอี้ขอหย่าด้วยล่ะ?
ในศาลาที่ลานบ้านด้านหลังของร้านโฉมเมฆา เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวอีกครั้ง ซือถูเซี่ยวก็ถ่อมตัวอย่างที่พบเห็นได้ยาก ช่วยพูดอะไรดีๆ เพื่ออวี้หนูเจียว
อวิ๋นจือชิวก็กล่าวรับประกันอีกครั้งเช่นกัน ว่าเรื่องนี้นางจะจัดการเอง นางจะเกลี้ยกล่อมให้เหมียวอี้เก็บหนังสือหย่ากลับไปให้ได้
แต่ซือถูเซี่ยวเหมือนต้องการจะพูดกับเหมียวอี้ให้ได้ “ให้เหมียวอี้มาที่นี่สักรอบได้มั้ย ข้าจะคุยกับเขาแบบต่อหน้า”
อวิ๋นจือชิวโบกมือบอกว่า “เรื่องนี้ให้ข้าคุยเองก็พอแล้ว ตอนนี้ดขากำลังโมโห ข้ารู้นิสัยเขาดี ถ้าตอนนี้ไปคุยกันต่อหน้าจะต้องพังแน่”
ซือถูเซี่ยวจะอยากคุยเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน เขาอยากจะเอ่ยปากขอยืมเงินเหมียวอี้ อวี้หนูเจียวกับเหมียวอี้ทะเลาะกันจนเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าให้อวี้หนูเจียวเอ่ยปากขออีก อวี้หนูเจียวจะทนความรู้สึกได้อย่างไร หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเขาทำได้เพียงก้มหน้าเอ่ยปากเองแล้ว “ให้เหมียวอี้มาที่นี่สักรอบเถอะ ข้ามีอีกเรื่องที่จะคุยกับเขา”
อวิ๋นจือชิวรู้ดีอยู่แก่ใจ แสร้งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ จากนั้นกลับบอกว่า “เหมียวอี้บอกว่าติดงานราชการ ไม่สะดวกจะมาคุยด้วย!”
ซือถูเซี่ยวพูดไม่ออก
“ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร คุยกับข้าก็เหมือนกัน เดี๋ยวข้าจะไปบอกเขาด้วยตัวเอง” อวิ๋นจือชิวกล่าว
ซือถูเซี่ยวลังเลมาก พูดไม่ค่อยออกแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “คืออย่างนี้นะ! ก่อนจะมานึกไม่ถึงว่าของที่พิภพใหญ่จะแพงขนาดนี้ เลยไม่ได้เตรียมเงินมาเยอะแยะอะไร อยากจะขอยืมเหมียวอี้สักหน่อย”
อวี้หนูเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง พอจะตระหนักอะไรได้บ้างแล้วนิดหน่อย ถ้าสามารถทำให้อาจารย์ฝืนเอ่ยปากพูดแบบนี้ได้ ก็เกรงว่าจะไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางก็คงไม่เอ่ยปากแบบนี้ แถมตัวเองกับเหมียวอี้ก็ดันมาตึงใส่กันในเวลานี้อีก
อวิ๋นจือชิวกลับพูดอย่างสบายใจมากว่า “ยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ถ้าเป็นเรื่องเงินเล็กน้อยข้าก็มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ต้องไปหาเหมียวอี้หรอก ผู้อาวุโสซือถูอยากจะขอยืมเท่าไรล่ะ?”
ซือถูเซี่ยวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง!” ที่จริงก็อยากจะขอยืมเยอะว่านี้
อวิ๋นจือชิวสูดหายใจอย่างตกตะลึงทันที “เยอะขนาดนี้เชียวเหรอ? นั่นเท่ากับหนึ่งร้อยล้านล้านผลึกทองเชียวนะ!”
อวี้หนูเจียวก็ตกใจเช่นกัน คนที่ไม่เคยใช้เงินที่พิภพใหญ่อย่างจริงจังล้วนไม่มีความคิดแบบนั้น
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าสามารถเขียนหลักฐานกู้ยืมได้ เรื่องดอกเบี้ยก็คุยกันได้ เมื่อถึงเวลาจะคืนให้พวกเจ้าพร้อมกันทั้งต้นทั้งดอก” ซือถูเซี่ยวกล่าว
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เงินพวกนี้ข้าก็ควักไหว ถ้าไม่ได้มากขนาดนี้ ข้าก็คงตัดสินใจเองได้แล้ว แต่ถ้าเป็นตัวเลขที่มากขนาดนี้ ถ้าข้าไม่บอกเหมียวอี้สักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล แต่ดันบังเอิญเกิดเรื่องแบบนี้พอดี” นางมองอวี้หนูเจียวแวบหนึ่ง
อวี้หนูเจียวกัดฟันพลางก้มหน้าเล็กน้อย
“เอาอย่างนี้แล้วกัน! อวี้หนูเจียวก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเหมียวเหมือนกัน ข้าเองก็จะไม่ทำให้นางลำบาก ขอเพียงอวี้หนูเจียวบอกว่ายืมได้ ขอเพียงนางตอบตกลง เงินนี้ข้าก็จะให้นางตัดสินใจเอง ส่วนทางเหมียวอี้มีข้าคอยรับผิดชอบให้ เอาอย่างนี้ดีมั้ย?” อวิ๋นจือชิวจ้องอวี้หนูเจียว
ซือถูเซี่ยวโล่งใจแล้ว แบบนี้ก็จัดการง่าย เขาเอียงหน้ามองอวี้หนูเจียว
อวี้หนูเจียวเรียกได้ว่าจิตใจสับสนวุ่นวาย ก่อนที่นางจะกลับมา นางมีความคิดที่จะระบายความโมโหกับเหมียวอี้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกับเรื่องแบบนี้อีก คำโบราณกล่าวไว้ว่ากินของเขาใช้ของเขา ก็ปฏิเสธเขาไม่ได้ ถ้าตนอยากจะแข็งกระด้าง ก็จะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ ก็อย่าว่าแต่เหมียวอี้เลย อย่างแรกนางต้องก้มหัวให้อวิ๋นจือชิวก่อน เมื่อขอเงินส่วนนี้จากอวิ๋นจือชิวมาแล้ว ในภายหลังถ้าไม่อยากจะเกรงใจภรรยาเอกอย่างอวิ๋นจือชิวก็คงยาก…
อวิ๋นจือชิวไม่รีบร้อน นางมีความอดทน ยกน้ำชาดื่มอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นลูกศิษย์ไม่ยอมพูดอะไรเสียที ซือถูเซี่ยวกลับพูดไม่ออกนิดหน่อย เขาพอจะเข้าใจความคิดของอวี้หนูเจียว แต่มันเป็นเรื่องเหลวไหลน่าหัวเราะเยาะสำหรับเขา ตัวเองก็แต่งงานเข้าบ้านเขาไปแล้ว เสียสละไปแบบนี้แล้ว ตอบตกลงแค่นี้จะเป็นไรไป ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าแต่งงานไปทำไมล่ะ? เขาจึงไอหนึ่งทีแล้วบอกว่า “พวกศิษย์พี่ของเจ้ากำลังรอใช้เงินก้อนนี้อยู่ ถ้าเจ้าไม่วางใจ ข้าจะเขียนหลักฐานกู้ยืมให้เจ้าก่อน?”
แบบี้กล่าวเกินไปแล้ว อวี้หนูเจียวจำเป็นต้องก้มหัว โค้งกายคำนับอวิ๋นจือชิวพร้อมบอกว่า “ฮูหยิน ถ้าหากสะดวก ก็ขอยืมเถอะค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะเบาๆ วางถ้วยน้ำชาลง หยิบกำไลเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง ยืนขึ้นแล้วยัดใส่มือนาง “เงินนี้เจ้าจัดการเองเถอะ จะใช้อย่างไรเจ้าก็ตัดสินใจเอง!”
ดูเหมือนมอบอำนาจการตัดสินใจที่ใหญ่มากให้อวี้หนูเจียว แต่อวิ๋นจือชิวต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน นางไม่ได้มอบเงินนี้ให้ซือถูเซี่ยว แต่เป็นอวี้หนูเจียวที่ได้จากมือนางไป เป็นเงินที่อวี้หนูเจียวได้จากตระกูลเหมียวไป
ประการต่อมา นางเป็นผู้หญิง ดังนั้นจึงเข้าใจผู้หญิงมากกว่า ในเมื่ออวี้หนูเจียวมีนิสัยแบบนี้ นางก็ไม่ถือสาที่จะเสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ให้แตกคอกัน
อวี้หนูเจียวก้มหน้า วางกำไลเก็บสมบัติตรงหน้าซือถูเซี่ยว
ซือถูเซี่ยวนำกำไลเก็บสมบัติมานับทันที ผ่านไปครู่ใหญ่หลังจากแน่จว่าจำนวนไม่ผิดพลาด เขาก็พยักหน้าโล่งใจแล้ว หยิบแผ่นหยกออกมาพร้อมถามอวี้หนูเจียวว่า “หลักฐานกู้ยืม คิดดอกเบี้ยยังไง เจ้าบอกจำนวนมาก อาจารย์พูดคำไหนคำนั้น ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก”
แล้วแบบนี้ไม่เรียกว่าทำให้ข้าลำบากใจเหรอ? อวี้หนูเจียวมองอาจารย์ตัวเองด้วยสีหน้าที่สื่ออารมณ์ซับซ้อน นางส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องดอกเบี้ยช่างเถอะ หลักฐานกู้ยืมก็ไม่ต้องแล้ว ศิษย์จะไม่เชื่อใจอาจารย์ได้กย่างไร”
“งั้นอาจารย์ก็ไม่ทำตัวเป็นคนนอกกับเจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องหัว วันหลังอาจารย์จะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่!” ซือถูเซี่ยวเองก็ไม่เกรงใจ เมื่อบรรลุจุดประสงค์แล้ว ก็ลุกขึ้นกล่าวปลอบใจสองสามคำก่อนจะบอกลา
หลังจากซือถูกเซี่ยวออกไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นำแผ่นหยกออกมา แล้วบอกกับอวี้หนูเจียวว่า “นี่คือหนังสือหย่าที่เหมียวอี้เขียน!”
แกร๊ก! ต่อหน้าอวี้หนูเจียว อวิ๋นจือชิวบีบจนแตกพังกลายเป็นผุยผงเสียเลย เสร็จแล้วก็ปัดไม้ปัดมือบอกว่า “เจ้าบ้าเหมียวอี้นั่นมีปัญหาเยอะ ไม่ต้องสนใจเขา ต่อไปถ้าเขารังแกเจ้าอีก เจ้าก็มาหาข้า ข้าจะช่วยระบายความโกรธให้เจ้าเอง!”
………………………