พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1135 การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของเฮยทั่น
ชั่วพริบตาเดียวหลังจากผ่านไปแล้วสามเดือน ในป่าโบราณของภูเขาลึกนอกตลาดสวรรค์ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวยืนอยู่เคียงกัน ข้างหลังมีหงเฉิน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียว ฝ่าอินและสองพี่น้องหลางหลาง หวนหวนยืนเรียงแถวกัน ยืนอยู่ตรงหน้าลำธารใสเย็นที่ไหลคดเคี้ยวสายหนึ่ง
ตรงข้ามลำธารเล็ก อวิ๋นอ้าวเทียนและคนอื่นๆ นำลูกศิษย์ของตัวเองยืนอยู่ริมลำธารฝั่งตรงข้าม
“ทุกท่านพิจารณาดูอีกทีก็ได้ ถ้ายินดีมาทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเหมียว เหมียวอี้ก็ไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรมแน่! เหมียวอี้กล่าวรั้งอีกครั้ง
อยู่ที่ตลาดสวรรค์มาแล้วสามเดือน ไปเทียบกับตอนที่ส่งคนมาสืบข่าวแค่สามวันเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้ ในสามเดือนนี้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนแทบจะรู้ธรรมเนียมกฎระเบียบของพิภพใหญ่อย่างชัดเจน พบว่าพิภพใหญ่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้ พบว่ามีบางจุดที่ถูกเหมียวอี้หลอกตบตา
แต่ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาเองก็ไม่มีทางต่อต้านอำนาจที่เหมียวอี้มีในตอนนี้ได้เช่นกัน และเหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เลยเถิดกับพวกเขาอีก ถึงอย่างไรในภายหลังก็อาจจะมีเรื่องที่ต้องขอให้เหมียวอี้ช่วยจริงๆ ร่วมมือกันต่อไปล้วนมีผลดีต่อทุกคน
“ตระกูลอวิ๋นมีคนเยอะขนาดนี้ ถ้าข้าไปทำงานใต้บังคับบัญชาเจ้าก็จะได้เป็นแค่ผู้บัญชาการ อาศัยรายได้เล็กน้อยเท่านั้นเลี้ยงคนของตระกูลอวิ๋นไม่ไหวหรอก” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว
จีฮวนบอกว่า “พวกเราห้าคนไม่คุ้นเคยกับการฟังคำสั่งคนอื่น โชคดีที่พิภพนี้กว้างใหญ่มากพอ ไม่ต้องกังวลว่าจะหาที่ลงหลักปักฐานไม่ได้ เหมียวอี้ อย่าปฏิบัติต่อลูกสาวข้าอย่างไม่ยุติธรรม ไม่อย่างนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่!”
“เหมียวอี้ อย่าลืมเรื่องที่รับปากกับพวกเราไว้ล่ะ” ซือถูเซี่ยวกล่าว
“วางใจได้ ข้าพูดคำไหนคำนั้น” เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ตราบใดที่พวกท่านสามารถหาทรัพยากรฝึกตนได้ ข้าก็จะไม่ช่วยพาพวกท่านกลับพิภพเล็กแน่”
“ไป!” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดทิ้งท้ายเอาไว้ แล้วพุ่งตัวขึ้นฟ้าก่อนใคร แล้วลูกชาลูกสาวของตระกูลอวิ๋นก็ทะยานขึ้นฟ้าตามไปติดๆ
อันหรูอวี้พยักหน้าให้หลางหลางกับหวนหวน แล้วก็พยักหน้าให้เหมียวอี้อีก ชัดเจนว่าคาดหวังให้เหมียวอี้ดูแลลูกสาวของตนให้ดี
สี่ปราชญ์ที่เหลือก็ทยอยกันพุ่งขึ้นฟ้าจากไปเช่นกัน จากไปอย่างอิสระสบายใจมาก ไม่พูดจาอาลัยอาวรณ์หรือกังวลสักคำ
เหมียวอี้เงยหน้ามองส่ง มองส่งคนกลุ่มนี้หายไปยังจุดลึกบนท้องฟ้า มองส่งคนพวกนี้จากไปแสดงฝีมือ
เขากล่าวรั้งไว้หลายครั้ง สุดท้ายก็รั้งคนพวกนี้ไว้ไม่ได้ หลังจากคนพวกนี้เข้าใจธรรมเนียมของพิภพใหญ่ชัดเจนแล้ว ตำแหน่งที่อยู่เบื้องล่างก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไม่ได้เช่นกัน จิตใจของคนที่อยู่เหนือผู้อื่นมานานทำให้พวกเขาไม่เหมาะจะลดศักดิ์ศรีอยู่ใต้กฎระเบียบของตำหนักสวรรค์เลยจริงๆ พวกเขามีปณิธานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ไม่อยากไต่เต้าอยู่ภายใต้การกดข่มของผู้บังคับบัญชาชั้นแล้วชั้นเล่า พวกเขาอยากจะฉกฉวยทรัพยากรฝึกตนจำนวนมากเพื่อสร้างกำลังพลของตัวเองขึ้นมาไวๆ เลี้ยงคนไว้มากมายขนาดนี้ ขนาดรายได้ของเหมียวอี้ยังเหลือกำลังเลย มิหนำซ้ำยังเป็นตำแหน่งใต้บังคับบัญชาเหมียวอี้ด้วย ก็เป็นอย่างที่อวิ๋นอ้าวเทียนบอก รายได้เล็กน้อยแค่นั้นไม่พอให้เลี้ยงคนของตระกูลอวิ๋น
ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะจน แต่หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว รายได้เล็กน้อยของเหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยจริงๆ
หลังจากท้องฟ้าที่อยู่รอบๆ ว่างเปล่าแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกกับทุกคนด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินทุกคน เตรียมแยกบ้านกันเถอะ”
จีเหม่ยลี่และคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร อวิ๋นจือชิวจึงหันตัวมาอย่างสนิทสนมแล้วประกาศเรื่อง ‘แยกบ้าน’
ร้านค้ามร้าน เหมียวอี้มองหาไว้ให้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ห้าปราชญ์ยังไม่ออกไป จึงยังไม่ได้จัดเตรียมเลย ตอนนี้อวิ๋นจือชิวจัดเตรียมลงไปทีละหลังแล้ว อวี้หนูเจียวกับจีเหม่ยลี่อยู่คนละร้าน ฉินเวยเวยกับฝ่าอินอยู่ร้านเดียวกัน ส่วนหงเฉินก็อยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว
หลังจากทุกคนแบ่งกันและกลับไปแล้ว ภายใต้การเตรียมการของอวิ๋นจือชิว ใครที่ควรจะย้ายบ้านก็ต้องเริ่มย้าย เหมียวอี้ไม่เข้าไปประสมโรงแล้ว เขาไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งด้วย อุโมงค์ลึกที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน ผีจวินจื่อก็ขุดไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
ตามหลักการแล้ว ข้างล่างของตลาดสวรรค์ห้ามขุดเส้นทางใต้ดิน เพียงแต่ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวใช้อำนาจกับเรื่องส่วนตัว นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แล้ว
ในคืนนั้น ทุกคนมารวมตัวฉลองกันในร้านค้าของฉินเวยเวยกับฝ่าอิน ครั้งนี้อวิ๋นจือชิวไม่ได้ลงมือทำอาหารเอง แต่อวิ๋นจือชิวเป็นคนสั่งเอง ให้อนุภรรยาพวกนี้ช่วยกันเตรียมอาหารค่ำ อย่างน้อยผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ทำตัวซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้รู้สึกกลุ้มใจแล้ว มีบางคนที่ไม่กลัวแม้กระทั่งเขา ขนาดเรื่องร่วมห้องหอยังต่อรองกับเขาได้ แต่เมื่อเจออวิ๋นจือชิวดันกลายเป็นเหมือนหนูที่เจอแมว อวิ๋นจือชิวพูดอะไรก็ไม่มีใครขัด ทำให้เหมียวอี้แอบครุ่นคิดว่าอวิ๋นจือชิวทำได้อย่างไร ทั้งวันเห็นแต่อวิ๋นจือชิวยิ้มให้ผู้หญิงกลุ่มนี้อย่างสนิทสนม ไม่เห็นอวิ๋นจือชิวจะฝืนใช้กำลังข่มใครเลย แปลกจัง หรือว่าเกิดมาเพื่อเป็นภรรยาเอกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว?
แต่จะว่าไปแล้ว แบบนี้กลับทำให้เหมียวอี้โล่งใจ เขากังวลมากว่าผู้หญิงพวกนี้จะรับมือด้วยยาก สำหรับในครอบครัวใหญ่ หลังบ้านที่ไม่สงบสุขเป็นเรื่องปกติ การที่อวิ๋นจือชิวสามารถคุมผู้หญิงกลุ่มนี้ได้กลับทำให้เขาเบาใจลงไม่น้อย
กลุ่มสาวงามกำลังยุ่งอยู่กับงานครัว เป็นภาพที่เจริญตาเจริญใจมาก เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาเหลือบมองคนนั้นทีเหลือบมองคนนี้ที
“ถ้ามองอีกลูกตาคงจะเด้งออกมาแล้ว!” อวิ๋นจือชิวถือฝาเคาะบนถ้วยน้ำชา หลังจากเรียกความสนใจของเหมียวอี้กลับมาได้แล้ว ก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ห้าปราชญ์ไปแล้ว เจ้ามีความคิดอย่างไรบ้าง?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “แต่ละคนใจสูงยิ่งกว่าฟ้า ถ้าคิดจะรับมาไว้ใช้งานเองก็ยากมาก”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ในมือเจ้ามีช่องทางตามหาหกเคล็ดวิชาพิเศษ ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งไปได้ไกลเท่าไร ไม่ว่าพวกเขาจะเติบโตแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ถึงขั้นไหน ขอเพียงเจ้าพยายามที่จะพัฒนาตัวเองไม่ให้อ่อนด้อยกว่าเขา เจ้าก็จะบีบพวกเขาไว้ในมือได้แน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะมีฝีมือแข็งแกร่งหรอก กลัวว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งดีกว่า ยิ่งพวกเขาแข็งแกร่งก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อเจ้า ขอแค่เจ้าควบคุมหกเคล็ดวิชาพิเศษไว้ ก็เท่ากับบีบจุดอ่อนในการอยากจะแข็งแกร่งขึ้นของพวกเขา ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาคิดจะไม่เชื่อฟังเจ้าก็คงยาก โอกาสดีๆ แบบนี้ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว สวรรค์กำลังเข้าข้างเจ้าแล้วจริงๆ ถ้าพลาดโอกาสแบบนี้ไป เท่ากับไม่รักษาโอกาสดีที่สวรรค์ประทานมาให้!”
เหมียวอี้ยิ้มมุปากอย่างบันเทิงใจ ถ้าไม่มีความมั่นใจนี้เขาจะกล้าปล่อยห้าปราชญ์ไปได้อย่างไร ไม่ใช่เพราะในมือตัวเองดึงเชือกไว้หรอกเหรอ เขากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะเก็บช่องทางค้นหาหกเคล็ดวิชาพิเศษได้ จำเป็นต้องยอมรับว่าตัวเองดวงดี”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ที่ซ่อนเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินถูกไขปริศนาออกมาได้แล้ว เจ้าเป็นคนคุมตลาดสวรรค์ หายตัวไปบ่อยๆ คงไม่ดีเท่าไร ข้ากะว่าจะรอให้เรื่องทางนี้นิ่งก่อน แล้วจะเปิดใช้งานเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินตามวิธีที่เจ้าบอก ดูว่าจะขุดเบาะแสของเคล็ดวิชาที่ตามมาต่อจากนั้นได้หรือเปล่า ของพวกนี้ต้องบีบไว้ในมือพวกเราให้มั่นคงสักหน่อย”
“เจ้าจะไปเหรอ?” เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เหมาะหรอก! ถ้าเจ้าไปเจออันตรายขึ้นมาจะทำยังไง? ข้าไม่วางใจ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกเหมือนในใจได้ดื่มน้ำผึ้งหวาน บ่นว่า “ข้าไปแล้วเสี่ยงอันตราย แต่เจ้าไปก็เสี่ยงอันตรายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? คิดว่าข้าวางใจให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายรึไง?”
“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอันตรายหรือไม่อันตราย” เหมียวอี้โบกมือ “การที่ได้แผนที่ซ่อนสมบัติต่อเนื่องกันเป็นชุดแบบนี้ มันเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาฝึกตนของข้า ตอนที่อยู่ระหว่างการทดสอบหนึ่งร้อยปี ภาพเหตุการณ์ที่เห็นตอนเปิดใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินก็ยิ่งทำให้ข้าสงสัยว่าที่ซ่อนสมบัติเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอะไรของข้า ไม่ต้องเถียงกันเรื่องนี้แล้ว ข้าไปเองจะเหมาะสมกว่า ไม่ได้จะรีบไปตอนนี้ด้วย วรยุทธ์ข้าใกล้จะบรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่แล้ว ในสิบกว่าปีนี้ข้าจะตั้งใจฝึกตนอย่างเดียว หลังจากบรรลุวรยุทธ์ข้าก็จะไปค้นหาทันที”
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล อวิ๋นจือชิวไม่ได้พูดอะไรอีก
สุราอาหารถูกเตรียมไว้ครบครัน บรรดาอนุภรรยามีฝีมือการทำอาหารที่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร โชคดีที่มีกลุ่มหญิงรับใช้คอยจัดการ แบบนี้ก็พอจะถูไถไปได้เหมือนกัน
อวิ๋นจือชิวให้กลุ่มหญิงรับใช้แยกไปนั่งรวมกันอีกโต๊ะหนึ่ง ส่วนคนในครอบครัวก็นั่งโต๊ะเดียวกัน อวิ๋นจือชิวกับฉินเวยเวยนั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของเหมียวอี้
ตอนที่กำลังชูจอกสุราดื่มเชื้อเชิญดวงจันทร์และพูดคุยกัน เหมียวอี้ชำเลืองมองฝ่าอินที่เริ่มกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นระยะ ทำให้รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย
จำเป็นต้องยอมรับ การอยู่ที่ตำหนักสวรรค์ถ้ามีทั้งภูมิหลังทั้งอำนาจ การใช้ชีวิตแต่ละวันก็ชุ่มฉ่ำชุ่มชื่นจริงๆ ภายใต้สถานการณ์ที่มั่นคงของตำหนักสวรรค์ โดยทั่วไปยังไม่มีใครกล้ามองข้ามกฎสวรรค์ ส่วนเหมียวอี้ก็อยู่ในขอบเขตนี้พอดี การคุมตลาดสวรรค์ทำให้มีอำนาจไม่ขาด มีรายได้ประจำ ในแต่ละปีมีร้านค้าใหญ่ๆ มาติดสินบนไม่ขาดเช่นกัน เบื้องหลังก็มีปี้เยว่ฮูหยินคอยหนุนหลังให้ความสำคัญ เรื่องจุกจิกหยุมหยิมก็ให้ลูกน้องจัดการ เป็นการมอบโอกาสให้เขาได้ฝึกตนอย่างสงบใจจริงๆ
สำหรับคนในแดนฝึกตน สิบกว่าปีก็เหมือนกับหนึ่งวันของมนุษย์ธรรมดา เมื่อเข้าสู่สภาวะฝึกตน ก็ทำให้ลืมเวลาที่ล่วงเลยไปแล้ว
เดิมทีเหมียวอี้อยากจะบรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่ในรวดเดียว ทว่าในวันหนึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ปี จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากระฆังดาราของอวิ๋นจือชิว : รีบกลับมา เฮยทั่นมีความเปลี่ยนแปลงผิดปกติ!
เหมียวอี้รีบถาม : เป็นอะไรไป?
อวิ๋นจือชิวตอบเพียงสามคำ : รีบกลับมา!
เห็นได้ชัดมาก สถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน อวิ๋นจือชิวไม่มีเวลามาคุยเล่นไร้สาระกับเขาแล้ว
เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิลุกพรวดขึ้นมา รีบมาถึงร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดิน
เยารั่วเซียนถูกส่งตัวกลับพิภพเล็กไปแล้ว ได้กลายเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตรอย่างสมเหตุสมผล ตอนนี้เฮยทั่นกับตั๊กแตนถูกดูแลโดยอวิ๋นจือชิว
พอบุกเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็ตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิงระเกะระกะของชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เห็นเพียงบ้านเรือนถล่มกลายเป็นซาก ในสวนดอกไม้มีเสียงของอวิ๋นจือชิวดังมา “หนิวเอ้อร์! ทางนี้!”
เหมียวอี้รีบพุ่งตัวเข้าไป ในสวนดอกไม้ที่ถูกย่ำยีจนเสียหายสุดๆ อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กำลังร่วมมือกันตรึงเอาไว้เฮยทั่น
เฮยทั่นที่ถูกหกมือของทั้งสามคนกดไว้สั่นเทิ้มไปทั้งตัว เท้าทั้งสี่ขึ้นลงอย่างช้าๆ ไม่หยุด กำลังสั่นหัวส่ายหางอย่างช้าๆ อยู่อย่างนั้น รูทวารทั้งเจ็ดมีเลือดสดสีแดงเข้มซึมออกมา สีหน้ามีแต่ความเจ็บปวดทรมาน
“อู…” เมื่อเห็นเหมียวอี้มาแล้ว เฮยทั่นก็ส่งเสียงร้องอย่างอ้างว้าง ดวงตาที่มีเลือดไหลมองเหมียวอี้อย่างเศร้าวังเวง มั่นสั่นหัวเหมือนกำลังขอร้องให้เหมียวอี้ช่วยชีวิตมัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความทุกข์ทรมานธรรมดา
ภาพนี้ทำให้เหมียวอี้ปวดใจไม่หาย อวิ๋นจือชิวที่หันกลับมามองแวบหนึ่งตะคอกว่า “ยังจะมัวดูอะไรอยู่อีก รีบมาช่วยจับสิ พวกเราใกล้จะควบคุมไม่ไหวแล้ว แรงของมันเยอะมาก! ถ้าปล่อยให้มันวิ่งอีก ชัยภูมิถ้ำสวรรค์คงพังแน่ ถ้าบุกออกจากตลาดสวรรค์ไป ข้าก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมา!”
เหมียวอี้ตกใจทันที ขนาดนั้นวรยุทธ์บงกชทองอย่างอวิ๋นจือชิวยังควบคุมไม่อยู่เลยเหรอ?
ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไปทันที ยื่นมือไปกดตัวเฮยทั่นเอาไว้ วรยุทธ์ของเขาสูงกว่าอวิ๋นจือชิว ผู้หญิงสามคนร่วมมือกันก็ยังควบคุมมันไม่ไหว
พอเหมียวอี้ลงมือเอง ก็ควบคุมเฮยทั่นได้ทันที
ผู้หญิงสามคนที่เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวถึงได้ถอยออกมาหอบหายใจเฮือกใหญ่ เหมียวอี้หันกลับมาถามว่า “เจ้าโจรอ้วนมันเป็นอะไร?”
อวิ๋นจือชิวยกแขนเสื้อปาดเหงื่อ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่รู้! จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมา เหมือนกับเป็นบ้าไปแล้ว วิ่งชนมั่วๆอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์มั่ว ดูมันทำบ้านข้าพังสิ ดูจากท่าทางแล้ว หรือว่ามันจะมีวิวัฒนาการ?”
เหมียวอี้หันขวับไปมองเฮยทั่น แล้วถามว่า “โจรอ้วน เจ้ากำลังจะวิวัฒนาการใช่มั้ย?”
เฮยทั่นฟังภาษามนุษย์เข้าใจแล้ว แต่กลับส่ายหน้าอย่างเจ็บปวด เหมือนมันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป
พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ร้อนใจนิดหน่อย ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พลังที่อยู่บนตัวเฮยทั่นเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มเยอะขึ้นจนเหมียวอี้แทบจะควบคุมไม่ไหวแล้วกินยาเจี๋ยตันมาสะสมไว้ในร่างกายหลายปีขนาดนี้ เหมือนพลังงานจะเริ่มปะทุแล้ว
ถ้าปล่อยให้เฮยทั่นทำลายชัยภูมิถ้ำสวรรค์ แล้วบุกไปที่ตลาดสวรรค์จริงๆ แบบนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีร้านค้ากี่ร้านที่โดนมันชนพัง แล้วคนที่อยู่ตรงนี้ก็ดันควบคุมเฮยทั่นไม่ไหวด้วย เหมียวอี้กระวนกระวายแล้ว!
…………………………