พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1138 ตามสบาย
“โจรอ้วน!” เสียงที่ใช้การร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเสริมดังก้องอยู่ที่ผิวทะเล ข่มความเคลื่อนไหวของคลื่นมรกตที่พัดม้วน
เมื่อเห็นเฮยทั่นหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทรมาน แต่เมื่อเฝ้ามองอยู่นานก็ไม่เห็นเฮยทั่นสนใจทางนี้เสียที เหมียวอี้จึงสงสัยนิดหน่อยว่าเฮยทั่นยังจำเขาได้หรือเปล่า จึงลองส่งเสียงเรียก
จ๋อม! พอร่างดำขลับที่ผิวทะเลพลิกตัว ก็หันหัวขึ้นมาอยู่บนคลื่นสีมรกต จ้องมองมาบนหาดทรายอย่างงุนงงครู่หนึ่ง
“อู…” จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมร้องลากเสียงยาว เสียงดังก้องอยู่ที่ทะเลมรกต เป็นเสียงต่ำแต่มีพลัง เสียงร้อง “ฮี้ๆ” ก่อนหน้านี้ไม่มีอยู่แล้ว เสียงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จ๋อม! ฟองคลื่นสาดซัด เฮยทั่นก้มหัวมุดลงไป ลากให้เกิดเส้นน้ำสีขาวสายหนึ่งที่ผิวน้ำ ตอนที่เข้าใกล้ชายฝั่ง จู่ๆ มันก็โผล่หัวลอยขึ้นมาอีก แล้วเงยหน้าสาวเท้าก้าวเข้ามา เดินเหยียบหาดทรายน้ำตื้นทีละก้าวมาทางทั้งสามคนที่ยืนอยู่บนหาดทราย
หัวม้าแบบเดิมกลายสภาพเป็นสัตว์ดุร้ายที่เหมือนสิงโต หัวมีเขางอกออกมา ฟันที่เคยเหมือนเลื่อยกลายเป็นเขี้ยวขาวดุร้ายหนาแน่น เขี้ยวยื่นออกนอกริมฝีปาก ในปากคาบฉลามไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ร่างกายของฉลามยังดิ้นอยู่เลย
ขนรอบหัวที่เหมือนหวีแปรงมีสีดำขลับมันวาว เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำใสดุจผลึก พอมันสะบัดหัว ละอองน้ำก็สาดกระจายไปทั่ว
ร่างกายที่มีเกราะเกล็ดสีดำขลับปูอยู่เต็มคอค่อยๆ เดินขึ้นมาจากผิวน้ำ กรงเล็บแหลมใต้ขาที่ใหญ่หยาบก้าวจมลงในหาดทรายริมฝั่ง หางที่ดึงขึ้นมาจากผิวน้ำกวัดแกว่งเบาๆ หางงูแบบเมื่อก่อนกลายสภาพเป็นสว่านยาวแล้ว
รูปร่างสูงกว่าอาชามังกรเกือบครึ่ง ร่างกายยาวกว่าเมื่อก่อนเกือบครึ่งเช่นกัน กำลังเงยหน้าส่ายเอวสะบัดหางเดินเข้ามา
รอยเลือดที่ย้อมเต็มตัวก่อนหน้านี้ถูกมันม้วนตัวล้างอยู่ในทะเลจนสะอาด เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดด ตั้งแต่หัวจดเท้าเป็นสีดำมันวาว ดำบริสุทธิ์แบบไร้สีอื่นเจือปน สมกับชื่อของเฮยทั่นที่แปลว่าถ่านดำ มีแค่ฟันที่เป็นสีขาว ในลูกตาดำที่ใหญ่จนน่าตกใจมีมีวงสีทองล้อมอยู่วงหนึ่ง ยิ่งเพิ่มพลังอำนาจอันน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก
มันลากหางเดินขึ้นมาจากผิวน้ำ จังหวะฝีเท้าที่ก้าวเนิบนาบอยู่บนชายหาดนั้นหนักอึ้ง แต่ละก้าวทำให้เกิดรอยลึก เสียงลมหายใจก็หนักหน่วงเช่นกัน
อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่ถลันตัวไปถอยหลังไปไกลโดยจิตใต้สำนึก เฮยทั่นในตอนนี้ไม่ได้เข้าใกล้ง่ายๆ เหมือนตอนที่มีสภาพเป็นอาชามังกรอีกแล้ว ทั้งตัวเป็นไปด้วยกลิ่นอายที่ห้าวหาญดุร้าย ร่างดำทะมึนที่มีน้ำหยดลงมาเป็นทางค่อนข้างน่าตกใจ
เหมียวอี้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ จ้องสบตากับเฮยทั่นที่กำลังเดินเข้ามา
ตุ้บ! จู่ๆ เฮยทั่นก็เข่าอ่อน ขาจมลงนิดหน่อย แล้วก็เหยียดขาค้ำไว้อีกรอบ สายตาของเหมียวอี้ย้ายไปหยุดอยู่บนขาทั้งสี่ของมันทันที พบว่าขาของมันค่อนข้างอ่อนแรง ไม่ได้มีพลังเหมือนตอนที่วิ่งอย่างบ้าระห่ำก่อนหน้านี้แล้ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรไป
จนกระทั่งเฮยทั่นหยุดอยู่กับที่ อยู่ห่างจากเหมียวอี้เพียงไม่กี่ก้าว ในดวงตาของมันก็ฉายแววครุ่นคิดสงสัย หันหน้ามองเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ เหมือนพบว่าเหมียวอี้ตัวเล็กลงกว่าแต่ก่อนเยอะมาก จากนั้นก็หันซ้ายหันขวามองดูร่างกายตัวเอง พบว่าที่จริงแล้วร่างกายตัวเองต่างหากที่ใหญ่ขึ้น เวลายืนอยู่กับเหมียวอี้ตัวเองต้องเปลี่ยนเป็นก้มมองจากที่สูง
บนชายหาด มันกำลังก้มมองเหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้ก็เงยหน้ามองมัน คลื่นทะเลกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ข้างหลังเฮยทั่นไม่ไกล เกิดฉากประหลาดแบบนี้อยู่เงียบๆพักใหญ่
อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่มองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งสองถอยออกไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่เหมียวอี้กลับเยือกเย็นจนทำให้ทั้งสองค่อนข้างพูดไม่ออก ไม่เห็นบนตัวเขามีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไม่ได้ป้องกันเฮยทั่นที่ก่อนหน้านี้ยังโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง ความเยือกเย็นนี้คือความเชื่อใจที่น่าเคารพเลื่อมใส เป็นความเชื่อใจระหว่างมนุษย์และสัตว์ จีเหม่ยลี่แววตาวูบไหว ได้เห็นอีกด้านหนึ่งบนตัวเหมียวอี้ที่ทำให้ตนรู้สึกพิเศษ
อวิ๋นจือชิวแอบถอนหายใจเล็กน้อย ถึงแม้เหมียวอี้จะเป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตร แต่ในสายตานาง บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือคุณธรรมระหว่างสามีภรรยา ดังนั้นเรื่องบางเรื่องที่เหมียวอี้ไม่ยอมทำ นางจึงต้องทำให้ลับหลัง แต่จะว่าไปแล้ว ผู้ชายแบบนี้ก็ทำให้คนวางใจมาก ถ้าเจ้าไม่รังแกเขา เขาก็จะไม่รังแกเจ้าเช่นกัน
ฉากที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้ ทำให้อวิ๋นจือชิวต้องยอมรับว่านี่คือเสน่ห์ประจำตัวอีกแบบที่ซ่อนอยู่บนตัวของเหมียวอี้!
เหมียวอี้กำลังยืนเอามือไขว้หลัง สุดท้ายก็ยังเป็นเขาที่ทำลายความเงียบระหว่างคนและสัตว์ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบสงบนิ่งว่า “เจ้าอ้วน!”
เฮยทั่นที่ปากยังคาบเหยื่อที่เลือดไหลเงยหน้าเล็กน้อย ท่ามกลางเสียงหนุบหนับ มันกัดเคี้ยวฉลามสองสามคำแล้วกลืนลงไป เสร็จแล้วถึงได้ร้อง “อิ๋งๆ” ราวกับเป็นเด็กน้อยที่ได้รับความไม่ยุติธรรม มันก้มหน้าลงช้าๆ ใช้หัวขนาดใหญ่ดันที่หน้าอกเหมียวอี้เบาๆ
เหมียวอี้ยื่นมือออกไป ลูบใบหน้าที่ดำขลับแข็งแรงราวกับเหล็กของมัน ลูบเขาที่หัวมัน แล้วก็ลูบขนของมัน
เฮยทั่นเงยหน้าเล็กน้อย ลิ้นใหญ่อ้วนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงแลบออกมาเลียมือเหมียวอี้ จากนั้นลิ้นก็แลบเข้าแลบออกเลียอยู่ระหว่างฟัน
อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เหมียวอี้เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ยกมือลูบกำไลเก็บสมบัติ เหมือนจะหาสิ่งที่ต้องการไม่พบ จึงยื่นมือไปข้างหลัง “น้องชิว บนตัวมียาเจี๋ยตันขั้นห้า? เอามาให้ข้าเม็ดหนึ่ง”
อวิ๋นจือชิวพลิกมือดีดออกมาหนึ่งเม็ด เหมียวอี้ยื่นมือรับจากข้างหลังโดยไม่หันกลับมา แล้วก็โยนไปที่เฮยทั่น
ลิ้นยาวสีแดงสดของเฮยทั่นตวัดออกมากวาด ม้วนยาเจี๋ยตันขั้นห้าเม็ดนั้นเข้าไปในปาก กลืนกินลงไปแล้ว
จีเหม่ยลี่อึ้งมาก ของที่มีมูลค่าหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง เอามาป้อนทิ้งเป็นอาหารแบบนี้น่ะเหรอ?
ส่วนเฮยทั่นที่กลืนยาเจี๋ยตันลงไป ลมหายใจของมันยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนขาทั้งสี่ของมันอีกครั้ง เห็นขาสี่ข้างที่แข็งแรงของมันสั่นเล็กน้อย
สุดท้าย เฮยทั่นที่ใช้พลังงานสะสมในร่างกายจนหมดเพื่อวิวัฒนาการไปหนึ่งรอบก็ทนไม่ไหวแล้ว มันล้มลงเสียงดังโครม ร่างกายขนาดใหญ่ล้มลงบนหาดทราย ล้มลงอย่างหายห่วงตรงหน้าเหมียวอี้ มันเบิกหนังตาที่หนักอึ้งสองสามครั้ง ก่อนจะปิดตาลงอย่างสบายใจตรงหน้าเหมียวอี้ ลมหายใจในจมูกของมันเป่าจนหาดหายกลายเป็นหลุม
“เหม่ยลี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม
อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่เดินเข้ามาพร้อมกัน เหม่ยลี่บอกว่า “คงเป็นเพราะร่างกายมันใช้พลังงานสะสมไปจนหมดระหว่างที่วิวัฒนาการ จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ร่างกายมันสะสมพลังงานไว้เพียงพอ ถึงสามารถประคองให้มันวิวัฒนาการได้หนึ่งครั้ง ไม่อย่างนั้นถ้ามันวิวัฒนาการล้มเหลว มันก็จะตายสถานเดียว จะตายคาที่เลย! พวกเจ้าคงไม่ได้เอายาเจี๋ยตันป้อนมันตลอดหรอกใช่มั้ย? สามารถสนับสนุนการวิวัฒนาการแบบนี้ได้ พวกเจ้าทุ่มยาเจี๋ยตันไปกับมันเท่าไรแล้ว?”
เหมียวอี้กลับจ้องอยู่ตรงหน้าเฮยทั่นพร้อมบอกว่า “ยาเจี๋ยตันเท่าไรก็ไม่สำคัญหรอก ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้างแล้ว ผ่านพ้นช่วงอันตรายไปแล้วหรือยัง?”
“ตามหลักการก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรแล้วล่ะมั้ง?” จีเหม่ยลี่ลังเล
เหมียวอี้หันตัวมามองนาง “เจ้าแน่ใจมั้ย?”
“ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นสัตว์เทพวิวัฒนาการเป็นครั้งแรกเหมือนกัน อาศัยแค่ความรู้สึก ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้” จีเหม่ยลี่ส่ายหน้า
“แล้วตอนนี้จะทำยังไงดี?” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว
“ถ้าข้าจำไม่ผิด รอให้พลังกายของมันฟื้นฟูกลับมา มันก็คงจะตื่นขึ้นมาเอง แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…อย่าไปแตะต้องมัน ปล่อยตามธรรมชาติเถอะ!” จีเหม่ยลี่กล่าว
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก็คงได้แต่ทำอย่างนี้แล้ว จากนั้นก็เดินวนชื่นชมรอบตัวเฮยทั่น เอามือลูบตัวมัน ยกเท้าที่มีเล็บแหลมของมัน จับหางของมัน จับปากของมันแยกออก หญิงสาวทั้งสองก็ชื่นชมอยู่ข้างหลังเขาเหมือนกัน
พรอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว ท่ามกลางเสียงคลื่นทะเล เหมียวอี้นั่งขัดสมาธิเฝ้าคุ้มครองอยู่ข้างกายเฮยทั่น หันหน้าเข้าหาท้องฟ้าประดับดาวและมหาสมุทรที่ลึกล้ำ
ในป่าภูเขาที่อยู่ไม่ไกล อวิ๋นจือชิวกับจีเหม่ยลี่นั่งบนพื้น พวกนางพบว่าทิวทัศน์ยามค่ำคืนค่อนข้างใช้ได้ กำลังพูดคุยกันตามประสาผู้หญิง
จีเหม่ยลี่กวาดสายตาผ่านริมทะเลเป็นครั้งคราว จู่ๆ ก็ถามว่า “ฮูหยิน ทำไมนายท่านเรียกอาชามังกรตัวนี้ว่าโจรอ้วน?”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก “อาชามังกรตัวนี้ชื่อว่าเฮยทั่น เดิมทีนายท่านเรียกมันว่าเจ้าอ้วน ตอนหลังมีตาแก่คนหนึ่งมักเรียกเฮยทั่นว่าโจรอ้วน พอผ่านไปนานๆ เข้าทุกคนก็เลยเรียกตามว่าโจรอ้วนเหมือนกัน”
“นายท่านเหมือนจะมีความผูกพันที่ลึกซึ้งกับอาชามังกรตัวนี้ เป็นเพราะรู้ว่าบนตัวมันมีการตื่นรู้ในสายเลือดรึเปล่า?” จีเหม่ยลี่ถาม
อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว! ตอนนายท่านเข้าสู่แดนฝึกตนครั้งแรก ก็ยังเป็นคนเลี้ยงม้าของถ้ำล่องนิภาของสายมะโรงแดนเซียนอยู่เลย ตอนนั้นนายท่านไม่มีสัตว์พาหนะ ที่ถ้ำล่องนิภามีอาชามังกรตัวหนึ่งที่อ้วนจนเหลวไหล ทั้งอ้วนทั้งขี้เกียจทั้งกินเก่ง พลังเท้าก็ไม่ได้เรื่องเท่าไร ไม่มีใครต้องการมัน แต่ตอนนั้นนายท่านมีปัจจัยจำกัด ถึงแม้เฮยทั่นจะมีคุณสมบัติแย่ไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีสัตว์พาหนะมาคอยเป็นพลังเท้าให้ เรียกได้ว่าเฮยทั่นเป็นสัตว์พาหนะตัวแรกของนายท่านตั้งแต่เข้ามาอยู่ในแดนฝึกตนเลย พออยู่กับนายท่านมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนนิสัย ออกรบกับนายท่านหลายครั้ง ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน ในปีนั้นมันยังไปเข้าร่วมการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรกับนายท่านด้วย ตอนอยู่ที่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร สถานการณ์บีบบังคับให้มันต้องแยกกับนายท่านไปช่วงหนึ่ง แต่โจรอ้วนมันก็ไปไหนมาไหนลำพังที่ทะเลดาวนักษัตรได้ กระทั่งตอนที่การปราบจลาจลใกล้จะจบ มันก็ตามหานายท่านจนเจอพร้อมกับบาดแผลเต็มตัว ในที่สุดมันก็รอดชีวิตกลับมาที่แดนเซียนร้อมกับนายท่าน แทบจะไม่มีอาชามังกรตัวไหนที่เข้าร่วมการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรแล้วยังรอดกลับมา แต่เฮยทั่นเป็นข้อยกเว้น ดังนั้น ตอนแรกนายท่านก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเฮยทั่นมีสายเลือดวิเศษอะไร ตอนหลังต่อให้นายท่านจะวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว ใช้งานเฮยทั่นไม่ได้แล้ว แต่นายท่านก็ดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนสัตว์พาหนะ รอคอยมันมาตลอด รอมาหลายปีขนาดนี้ไง! นี่คือสัตว์พาหนะตัวแรกตอนที่นายท่านยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ และเป็นสัตว์พาหนะเพียงหนึ่งเดียวด้วย เข้าใจหรือยังล่ะ?” นางบุ้ยปากไปทางคนกับสัตว์พาหนะที่อาบแสงจันทร์อยู่บนชายหาด
เป็นเรื่องราวเล็กๆ แต่จีเหม่ยลี่กลับได้ยินแล้วประทับใจ จ้องที่ชายหาดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้นางยังนึกว่าเหมียวอี้ได้อาชามังกรตัวนี้มาจากพิภพใหญ่ ถึงได้ดูแลเป็นพิเศษ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นแบบนี้ ไม่มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อะไรทั้งนั้น คนกับสัตว์รู้จักกันนิดเดียว แต่เหมียวอี้ไม่เคยทอดทิ้งมันเลย และมันก็ตอบแทนในสิ่งที่เหมียวอี้คาดคิดไม่ถึงด้วย!
ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน ไม่รู้เหมือนกันว่าเฮยทั่นจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร เหมียวอี้อยู่เป็นเพื่อนมันตลอด อวิ๋นจือชิวยังต้องกลับไปเฝ้าร้าน ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่ตลอด จึงทิ้งจีเหม่ยลี่ไว้ให้ปรนนิบัติเหมียวอี้ ตัวเองกลับไปก่อนแล้ว
ในตอนเย็นวันหนึ่งที่แสงแดดสว่างสดใสและมีลมโชยพัดมาอ่อนๆ เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ริมทะเลบังเอิญหันไปเห็นจีเหม่ยลี่ปล่อยผมเดินช้าๆ อยู่ริมทะเล อาจจะเป็นเพราะทิวทัศน์เป็นใจพอดี เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วถลันตัวเข้าไปกอดจีเหม่ยลี่จากข้างหลัง พร้อมถามหยอกล้อข้างหูนางว่า “ลงไปเล่นน้ำทะเลด้วยกันหน่อยดีมั้ย?”
จีเหม่ยลี่ไม่ปฏิเสธที่โดนเขากอด ก้มหน้ามองมือที่กำลังลูบคลำหน้าอกอวบอิ่มของตัวเอง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องอ้อมค้อม ข้าเป็นของเจ้าแล้ว อยากจะครอบครองเมื่อไรก็ได้ ขอแค่เจ้าบอกว่าได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินมาอย่างไรก็พอ”
มาพูดต่อรองอีกแล้ว เหมียวอี้ตอบอย่างเซ็งๆ ว่า “ถ้าข้าจะขืนใจเจ้าล่ะ? เจ้าคิดว่าเจ้าจะสู้ข้าไหวเหรอ!”
จีเหม่ยลี่กล่าวเสียงเรียบว่า “ตามสบาย! ถ้าเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะกลับร่างเดิมกะทันหันตอนทำเรื่องอย่างนั้น เจ้าก็ขืนใจข้าได้เลย ถ้าจู่ๆ พบว่ามีมังกรคะนองน้ำนอนหมอบอยู่บนตัว เจ้าก็คงไม่กลัวหรอกใช่มั้ย?”
…………………………