พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1146 กลางเผิงไหลสามพัน
ถึงแม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย มีหญิงชู้นอกบ้านลับหลังอวิ๋นจือชิว ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้เรื่องนี้ สวรรค์คงรู้ว่าจะเกิดผลลัพธ์อย่างไร ไม่กล้าจินตนาการถึงเลยจริงๆ
“เอาตามนี้แล้วกัน!” หวงฝู่จวินโหรวยิ้มอย่างสดใสดุจดอกไม้ในทันที หยิบระฆังดาราออกมาคู่หนึ่ง ต้องการสร้างวิธีการติดต่อกับเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ
เป็นเพราะไม่ชัดเจนกับเหมียวอี้มาหลายปี เหมียวอี้จงใจหลบซ่อนนางตลอด แม้แต่วิธีการติดต่อกันก็ยังไม่เคยสร้างขึ้นมา หลบหลีกนางอยู่ตลอด วันนี้นับว่าติดต่อกันได้แล้ว
หลังจากแน่ใจวิธีการติดต่อแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราพลางถอนหายใจเบาๆ แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับคล้องแขนเหมียวอี้อย่างตรงไปตรงมาทันที เงยหน้าเชิดอก สีหน้าท่าทางกระปรี้กระเปร่า ในดวงตางามที่ยิ้มอย่างสนิทสนมดูสดใสมีชีวิตชีวากล่าวอย่างสบายใจว่า “วันนี้อากาศดีจังเลย!”
เหมียวอี้เงยหน้ามองฟ้าที่มีเมฆลอยวนเวียน มองไม่ออกจริงๆ ว่าอากาศดีตรงไหน
พอมองดูแขนของตัวเองที่โดนอีกฝ่ายคล้องกอดอย่างไม่สนใจอะไร เขาก็เปลี่ยนมาครุ่นคิดทันที พบว่าวุ่นวายมาตั้งนานแต่ผลลัพธ์ไม่แตกต่างอะไรกับเมื่อก่อนเลยเหรอ? ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เดิมทีทั้งสองเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่บอกใครไม่ได้ ตอนนี้ก็แค่ไม่ต้องหลบหน้ากันและกันอีกแล้ว พอกลับมาถึงตลาดสวรรค์ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวงฝู่จะต่างอะไรกับพวกอวิ๋นจือชิวสักเท่าไรล่ะ? กับพวกอวิ๋นจือชิวก็ไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างเปิดเผยเหมือนกัน เขาปวดหัวนิดหน่อย สงสัยการที่ตัวเองหลบหลีกมาหลายปีขนาดนี้ สุดท้ายก็ยังทำให้หวงฝู่จวินโหรวสมปรารถนาอยู่ดี!
เขาไม่ชินกับการทำอะไรแบบนี้กับหวงฝู่จวินโหรวกลางวันแสกๆ รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว จึงแกะมือนางออก “อย่าโอบกอดแบบนี้!”
“กำหนดความสัมพันธ์แล้ว กอดนิดกอดหน่อยจะเป็นไรไป? ตรงนี้ไม่มีคนรู้จักเห็นสักหน่อย ขนาดผู้หญิงอย่างข้ายังไม่เป็นอะไรเลย เจ้าจะกลัวอะไร? ทำเหมือนเจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่องมากอย่างนั้นแหละ เวลาใช้ไม้แข็งกับข้าไม่เห็นเจ้าทำตัวสุภาพเรียบร้อยแบบนี้เลย” หวงฝู่จวินโหรวกอดเขาไม่ยอมปล่อย ดึงเขาไปชมนกชมไม้ด้วยกัน ตอนนี้นางอารมณ์ดีมาก ไม่ว่าจะมองอะไรก็สวยงามไปหมด แต่ท่านขุนนางเหมียวกลับเห็นแล้วไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไรทั้งนั้น เหมือนจะเหม่อลอยนิดหน่อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แม้แต่เรื่องหาสมบัติก็โยนทิ้งไปแล้ว
เที่ยวเล่นจนกระทั่งฟ้ามืด เหมียวอี้ได้รับข้อความของจงหลีค่วย ถามว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน เมื่อไรจะกลับมา
ทว่าคืนนี้หวงฝู่จวินโหรวไม่อยากกลับ ต้องการอยู่ในโลกที่มีแค่นางกับเหมียวอี้ ไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้นางก็จะทำให้เหมียวอี้เติมเต็มนางให้ได้ นางถึงขนาดออดอ้อนแล้วด้วยซ้ำ เหมียวอี้แพ้แล้ว ทำได้เพียงบอกจงหลีค่วยว่าคืนนี้ไม่กลับ
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง หวงฝู่โยนชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่งออกมา หลังจากเข้าไปพิถีพิถันแต่งตัวแล้ว ก็สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งสีชมพูออกมา บนศีรษะปักปิ่นรูปแมลงปอที่เหมียวอี้เคยมอบให้นางในปีนั้น ท่ามกลางแสงแดดยามเย็น นางสะบัดกระโปรงหมุนตัวอย่างอรชรอ้อนแอ้นอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วยิ้มพร้อมถามว่า “สวยมั้ย?”
เหมียวอี้ที่อารมณ์สงบลงแล้วยิ้มบางๆ “ในปีนั้นตอนที่ข้ามาตลาดสวรรค์ครั้งแรกข้าก็ได้ยินคนลือกันแล้ว คนหนึ่งชื่อหวงฝู่จวินโหรว อีกคนชื่อเสวี่ยหลิงหลง เป็นบุปผาสองดอกของตลาดสวรรค์ จะไม่สวยได้อย่างไรล่ะ?” ขณะที่พูดก็ตบบนแท่นหินข้างๆ บอกใบให้นางมานั่งลง
เมื่อได้ยินเขาชมว่าตัวเองสวย บนใบหน้าหวงฝู่ก็ปรากฏรอยยิ้มที่มาจากใจ เดินเข้ามานั่งลงข้างกายเขา แล้วกอดแขนเขาพร้อมถามว่า “ดอกไม้สองดอกโดนเจ้าเด็ดไปแล้วหนึ่งดอก เจ้าภูมิใจมากใช่มั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ถ้าข้าอยากจะเด็ดอีกดอกหนึ่ง แค่พูดคำเดียวก็เรียบร้อยแล้ว”
หวงฝู่ทุบเขาหนึ่งหมัด แสดงออกว่าไม่พอใจ “ห้ามเจ้าคิดอะไรกับเสวี่ยหลิงหลง ถ้าเจ้าให้สถานะกับนางไม่ได้ ก็อย่าไปย่ำยีนาง นางใช้ชีวิตลำบากอยู่แล้ว”
“เสวี่ยหลิงหลงก็เป็นแค่เนื้อที่อยู่ข้างปากข้าเท่านั้น อยู่ที่ตลาดสวรรค์ถ้าข้าไม่กิน คนอื่นก็ไม่กล้าแตะต้องเหมือนกัน” เหมียวอี้พูดหยอก
หวงฝู่ทุบเขาอีกที “ในสายตาของเจ้า ข้ากับเสวี่ยหลิงหลงใครสวยกว่า?”
“ต่างคนต่างมีจุดเด่นคนละอย่าง” เหมียวอี้ตอบ
หวงฝู่กะพริบตาถาม “ข้าสวยกว่าหรือว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาสวยกว่า?” นี่ต่างหากคือสิ่งที่นางอยากถามจริงๆ
“เปรียบเทียบข้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงคนรักเก่าของเจ้าสักหน่อยมั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ
ไม่นานทั้งสงก็เริ่มเถียงกัน จนกระทั่งรอบข้างมืดสนิท ดวงจันทร์ส่องสว่าง ทั้งสองถึงได้สงบลง ถ้าจะพูดให้ถูกคือแช่อิ่มอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์อันยอดเยี่ยมรอบๆ ในที่สุดก็รอจนได้เห็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่จงหลีค่วยบอกว่าต้องรอให้ถึงตอนกลางคืนถึงจะเห็น
พระจันทร์สีน้ำเงินสาดแสงอยู่บนทะเลเมฆ เมฆหมอกที่เป็นคลื่นซัดสาดขยายวงกว้างขึ้นลงไม่หยุดราวกับทางช้างเผือก แต่กลับรินไหลอย่างอ่อนโยน ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากะพริบระยิบระยับอยู่ทั่วทิศ ราวกับสว่างวิบวับขึ้นมาจากทางช้างเผือก มีดาวตกพุ่งผ่านให้เห็นอยู่เป็นระยะ แสงจันทร์กระจ่างแสงดาวระยิบระยับ ทิวทัศน์ที่อ่อนโยนและได้อารมณ์ไร้ที่สิ้นสุด สงบเงียบกว้างใหญ่ สวยจนทำให้คนใจแตก
สรุปว่าหวงฝู่จวินโหรวถูกความงามนี้ทำให้ลุ่มหลงแล้ว นางอิงแอบที่บ่าของเหมียวอี้ พึมพำด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มว่า “สวยจริงๆ…”
ทันใดนั้น บนฟ้าก็มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีก ทั้งสองคนที่กำลังตกตะลึงกับปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่วาดอยู่บนท้องพลันเงยหน้า
แสงสุกสกาวสีม่วงตระการตาพัดม้วนตามลมอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่นานก็มีสีเขียว แล้วก็มีสีฟ้าตามเข้ามาประสม แผ่ขยายตามอำเภอใจอยู่บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ระบายสีสันที่สวยเลิศล้ำให้ท้องฟ้ายามราตรีอย่างเงียบๆ
สิ่งนี้ทั้งสองคนล้วนเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่อยู่ที่ขั้วโลกถึงได้ปรากฏแสงขั้วโลกขึ้นมา แต่การปรากฏแสงชั้วโลกในสถานที่ที่ไม่ใช่ขั้วโลกแบบนี้กลับทำให้คนประหลาดใจจริงๆ และการประสมของแสงขั้วโลกก็ยิ่งทำให้ทิวทัศน์งดงามที่อยู่ตรงหน้าตราตรึงใจ ยอดเยี่ยมจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้จริงๆ
ผ่านไปสักประเดี๋ยว แสงขั้วโลกก็หายไปครู่หนึ่ง แล้วไม่นานก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับริบบิ้นหลากสีกำลังเริงระบำอยู่ท่ามกลางพระจันทร์และดวงดาว เหมือนสายรุ้งยาวหมื่นลี้ สั่นไหวหลากหลายท่าทางตามอำเภอใจ แสดงความสว่างพร่างพรายของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
เกิดเป็นลำแสงผืนใหญ่ผืนแล้วผืนเล่าโผล่ออกมาเงียบๆ กลางอากาศราวกับมังกรเทพจากนอกฟ้า พอครอบครองท้องฟ้าผืนนั้นไว้แล้ว ก็ครอบครองท้องฟ้าผืนต่อไปอีก บนท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้ขอบเขตปรากฏแสงอันแวววับที่รวมกันและเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งเต็มไปหมด เป็นความวิเศษน่าอัศจรรย์แบบนี้
ไม่เหมือนแสงขั้วโลกของสถานที่อื่นที่ปรากฏขึ้นมาพักเดียวแล้วก็หายไป แสงขั้วโลกของที่นี่โผล่มาประดับห้อยอยู่ในท้องฟ้ายามราตรีซ้ำแล้วซ้ำอีก แสดงอย่างอยู่บนม่านฟ้าขนาดใหญ่ ราวกับต้องการลอยอวดความงามตระการตาจนฟ้าสว่างถึงจะยอมลงจากเวทีแสดง แล้วก็เหมือนต้องการจะตราตรึงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของผู้คนถึงจะยอมหยุด แสดงอารรมณ์ที่หลากหลายแบบนี้ อาลัยอาวรณ์ท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบนี้ ราวกับคนคลั่งรักที่งดงามที่สุดในโลกกำลังเริงระบำไม่หยุดเพื่อให้คนของตัวเองมีความสุข
หลังจากได้สติกลับมาจากฉากอันงดงาม เหมียวอี้ก็กล่าวชมอีกครั้ง “เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลก ปราสาทดำเนินเซียนได้ครอบครองสถานที่ดีๆ แล้วจริงๆ”
พอได้ยินแบบนั้น จู่ๆ หวงฝู่จวินโหรวก็หันกลับมาพูดเสียงต่ำว่า “อย่าทำให้ฤกษ์ดีและทิวทัศน์ที่งดงามขนาดนี้ผิดหวังนะ”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วมองนาง ยังไม่ทันเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร หวงฝู่ก็จูงมือเขาไว้แล้ว “ไปกันเถอะ! ตอนกลางวันข้าเห็นสถานที่หนึ่งที่ทิวทัศน์สวยมาก” นางจูงมือเขาเหาะออกไปแล้ว
บนภูเขาสูงกว่าเดิมที่ไม่ถือว่าห่างจากที่นี่ไกล ทั้งสองเหยียบลงบนไหล่เขา ที่นี่ค่อนข้างจ้อกแจ้กจอแจ มีน้ำตกสายหนึ่งไหลเอื่อยจากยอดเขาที่คดเคี้ยววกวนแล้วตกดิ่งสาดกระเซ็นลงมา
“ที่นี่มีอะไรน่าดู?” เหมียวอี้ทองไปรอบๆ ขณะกำลังแปลกใจ ปรากฏว่าพอหันกลับมาสายตาก็หยุดอยู่บนตัวหวงฝู่อย่างตะลึงงัน
หวงฝู่จวินโหรวถอดปิ่นปักผมออกแล้ว สะบัดผมงามราวกับน้ำตก หันหลังให้เหมียวอี้พร้อมถอดเสื้อผ้าเบาๆ เสื้อผ้าตกลงที่เท้าชิ้นแล้วชิ้นเล่า พวกชุดชั้นในถูกถอดออกอย่างช้าๆ จนหมด ในท่วงท่าการกระทำนั้นยั่วยวนจิตวิญญาณ ก้นขาวกลมกลึงเปิดโปงอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ นางคือคนที่มีจุดนี้สมบูรณ์แบบและยั่วยวนที่สุดในบรรดาผู้หญิงที่เหมียวอี้เคยเจอ เรียกได้ว่าที่พัวพันกันครั้งแล้วครั้งเล่าก็เป็นเพราะแพ้ให้กับก้นของหวงฝู่ เหมียวอี้คอแห้งนิดหน่อยขณะจ้องมองก้นขาวดุจหิมะที่โค้งงอนของนาง
หวงฝู่จวินโหรวที่ใช้สองแขนปิดหน้าอกหันตัวมาอย่างเขินอายเล็กน้อย นางกัดริมฝีปาก ค่อยๆ วางแขนสองข้างที่ปิดหน้าอกลง ยืดภูเขาหิมะสองลูกตรงหน้าเหมียวอี้ ร่างเปลือยปรากฏให้เห็นทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้
แสงจันทร์สีเงินสาดส่องบนเรือนร่าง เหมียวอี้ที่เลือดลมสูบฉีดกลืนน้ำลาย หันกลับไปมองข้างหลังทางซ้ายทางขวา “เจ้าไม่กลัวคนเห็นเหรอ?”
“ไม่สนใจหรอก เห็นก็เห็นไปสิ” หวงฝู่จวินโหรวถอยหลังช้าๆ เท้าเปลือยเหยียบลงท่ามกลางละอองน้ำใต้น้ำตกที่สาดซัด เรือนร่างอ่อนช้อยบิดไปมาอยู่ในละอองน้ำ ยืดแขนเสยผม พึมพำออกมาว่า “คนบื้อ มัวมองอะไร ยังไม่เข้ามาถูหลังให้ข้าอีก!”
เหมียวอี้ทนไม่ไหวอีกต่อไป พุ่งตัวเข้าไปทั้งๆ ที่ไม่ได้ถอดเสื้อ…
“ตื่นแล้ว!”
วันต่อมา พอเหมียวอี้ลืมตาขึ้นก็เห็นร่างเปลือยล่อนจ้อนนอนตะแคงเอามือหนุนศีรษะมองตนด้วยรอยยิ้มสนิทสนม ปากเล็กที่อ่อนละมุนจูบยื่นเข้ามาใกล้เขาหนึ่งที
“เมื่อคืนเหนื่อยแทบตาย!” เหมียวอี้ยื่นมือไปลูบคลำหน้าอกของนางสองที ภายใต้ความปรารถนาอันไร้ที่สิ้นสุดของนางเมื่อคืนนี้ เขาเหนื่อยจนผล็อยหลับไปบนตัวนาง เหนื่อยยิ่งกว่าตอนสู้เอาชีวิตรอด การทำแบบนี้ไม่อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ ใช้แรงกายล้วนๆ!
หวงฝู่จวินโหรวกลับเม้มปากหัวเราะ “เมื่อคืนสนุกแทบตาย วิญญาณแทบจะหลุดลอยไปแล้ว ไม่เสียแรงที่ถ่อมาตั้งไกล!”
“เห็นแก่ที่ข้าทุ่มเทพลังกายของตัวเอง บอกข้ามาว่าปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน” เหมียวอี้ยิ้มตอบ
หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าเอาแต่คิดถึงปีศาจโลหิตอยู่ได้? ตอนนี้นางไม่กล้ามาหาเรื่องเจ้าแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่ยอมปล่อยนางไปอีก?”
เหมียวอี้ถามเพราะอยากจะเจอปีศาจโลหิตเสียที่ไหนกัน เขาแค่สงสัยว่าศีลแปดกับปีศาจโลหิตอยู่ด้วยกัน จึงยื่นมือไปบีบคางหวงฝู่พร้อมบอกว่า “เจ้าบอกว่าอยากให้ข้าเป็นคนรักลับๆ ไม่ใช่เหรอ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ช่วยไม่ได้หรือไง? ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่ฆ่านางก็แล้วกัน”
หวงฝู่ส่ายหน้าบอกว่า “สาเหตุที่ข้าไม่ชัดเจนกับเจ้าแบบนี้ ก็เป็นเพราะข้ามีเส้นตายของข้า ปีศาจโลหิตเป็นคนของสมาคมวีรชน ในฐานะที่ข้าเป็นคนของตระกูลหวงฝู่ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเปิดเผยที่อยู่ของปีศาจโลหิตให้ศัตรูของนางรู้ เรื่องบางเรื่องข้าพูดได้ แต่เรื่องบางเรื่องข้าก็พูดไม่ได้ ข้าไม่อาจทรยศตระกูลหวงฝู่ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นอันตรายต่อเจ้าด้วยเหมือนกัน!”
เมื่อเห็นว่าถามไม่ได้ความอะไร เหมียวอี้จึงตบก้นนางหนึ่งที ลุกขึ้นมาอาบน้ำ จากนั้นก็จากไปเพียงลำพัง
ทั้งสองได้กำหนดความสัมพันธ์กันไว้แล้ว หวงฝู่ก็สงบใจแล้วเช่นกัน นางเชื่อฟังมากขึ้น เหมียวอี้ไม่ให้นางตามไป นางก็ปฏิบัติตามคำสั่งเขา
ส่วนเหมียวอี้ก็เหาะอยู่บนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเพียงลำพัง เริ่มเหาะวนดาวดำเนินเซียน เมฆหมอกที่ลอยวนเวียนบนพื้นทำให้เขามองเห็นสภาพพื้นที่ไม่ชัดเจนเลย และไม่มีทางหาจุดซ่อนสมบัติพบด้วย ในเมื่อไม่สามารถแยกแยะตัดสินจากสภาพพื้นที่ได้ เขาก็ตัดสินใจจะลงมือจากอีกทิศทางหนึ่ง จะลองมองลงมาจากบนฟ้าสูง ดูว่าจะสามารถไขปริศนาความหมายแฝงของคำว่า ‘กลางเผิงไหลสามพัน’ บนแผนที่ได้หรือไม่
จากความเข้าใจด้านตัวอักษร เชื่อมโยงกับประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยากว่าคำว่า ‘กลาง’ ที่อยู่ในนั้นหมายความว่าอะไร ส่วนคำว่า ‘เผิงไหลสามพัน’ เขาสงสัยว่าหมายถึงเกาะเกาะเซียนเผิงไหล[1]หรือเปล่า จะหมายถึงจุดดำเบื้องล่างที่โผล่ออกมาจากทะเลเมฆหรือไม่ หรืออาจจะหมายถึงยอดเขาพวกนั้นที่ลอยขึ้นมาเหนือทะเลเมฆ ถึงอย่างไรบนยอดเขานั้นก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแดนเซียนจริงๆ อิงจากการวินิจฉัยนี้ เขาถึงได้ตัดสินใจไปลองดูจากบนฟ้าสูง
แต่เรื่องเศร้าก็คือ หลังจากก้มมองลงมาได้พักหนึ่ง ตามการตีความของตัวเอง บนดาวดำเนินเซียนจะมีแค่ ‘เผิงไหลสามพัน’ ได้อย่างไร เกรงว่าคงจะไม่ได้มีแค่หนึ่งแสนเผิงไหลด้วยซ้ำ นับจนตาลายไปหมดแล้ว ไปเทียบกับประโยค ‘กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา’ ที่ดาวสองขั้วไม่ได้ นั่นยังมีเอกลักษณ์ของสภาพพื้นที่บอกอย่างชัดเจน
…………………………
[1] เผิงไหล 蓬莱 เป็นที่อยู่ของเซียนตามตำนาน