พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1150 หอยไฟฟ้า
ตามหลักการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีจากพิษหรือว่าคลื่นเสียง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเข้ามาในกระเป๋าสัตว์และกำไลเก็บสมบัติ เหมียวอี้ยากที่จะทำความเข้าใจได้
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาพิจารณาเรื่องนี้ จิตใต้สำนึกของของเขาตกอยู่ในแนวโน้มเหม่อลอยแล้ว เรียกได้ว่าถลำลึกลงไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินคำเตือนมาล่วงหน้า เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ เหมียวอี้รีบใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกาย
พอเพลิงเดือดสีเหมือนน้ำครอบร่างกาย เสียงที่วุ่นวายอยู่ในหัวก็ถดถอยไปราวกับกระแสน้ำไหลทันที สติสัมปชัญญะกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ตั๊กแตนกับเฮยทั่นก็ถูกปลอบโยนจนสงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจแล้วว่าเพลิงจิตมีผลกับการป้องกัน เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก
“ข่างหน้าคือพื้นที่ต้องห้ามที่หลิวฮั่นเอ่ยถึง มีอันตราย เข้าไปอีกไม่ได้แล้ว!”
เมื่อตามมาถึงริมขอบพื้นที่ต้องห้าม จงหลีค่วยเห็นหวงฝู่จวินโหรวยังต้องการจะไปข้างหน้าต่อ จึงเอ่ยเตือนทันที
ทีแรกทั้งสองหยุดลอยอยู่บนท้องฟ้าก่อน แต่หวงฝู่จวินโหรวชี้ไปยังเหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ไกลๆ “เจ้าดูเขาสิ เหมือนคนเป็นอะไรที่ไหน หลิวฮั่นนั่นคงจะพูดเกินความจริง”
“คงจะไม่พูดเรื่อยเปื่อยโดยไร้เป้าหมายหรอก ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า” จงหลีค่วยกล่าว
หวงฝู่จวินโหรวถามกลับว่า “ขนาดเหมียวอี้ยังไปได้ แล้วพวกเราจะไปไม่ได้เชียวเหรอ? เจ้าบ้านั่นทำลับๆ ล่อๆ ที่นั่นต้องมีลับลมคมในอะไรแน่นอน ข้าจะไปดู” พูดจบก็ถลันตัวออกไปเลย
จงหลีค่วยคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ขนาดเหมียวอี้ยังไปได้ คงจะไม่มีปัญหาอะไรมาก จึงตามไปด้วยเช่นกัน
ส่วนเหมียวอี้ที่เห็นว่าตอนแรกสองคนนั้นหยุดอยู่ด้านนอก ก็ยังนึกว่าทั้งสองไม่กล้าข้ามา แต่ใครจะคิดว่าพอมองสำรวจไปจนทั่วแล้วหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก็เห็นจงหลีค่วยกับหวงฝู่จวินโหรวพุ่งเข้ามาแล้ว เขาตกใจมากทันที รีบโบกมือส่งสัญญาณให้ทั้งสองถอยไป
แต่เห็นได้ชัดว่าสายไปแล้ว ทั้งสองพุ่งเข้ามาลึกในชั่วอึดใจเดียว จนกระทั่งตอนที่พบความไม่ชอบมาพากลและเหาะกลับไปอีกครั้ง ร่างกายทั้งสองก็โอนเอนอยู่บนท้องฟ้าแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนนกปีกหัก แกว่งไกวและดิ่งตกลงจากฟ้าสูง สองคนที่สติเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัดทยอยกันดิ่งลงพื้น
พรึ่บ! เหมียวอี้พุ่งเข้ามาเร็วมากเหมือนลูกธนูที่ออกจากสาย ขณะที่ทั้งสองตกถึงทะเลเมฆ เขาก็ถือแขนทั้งสองไว้คนข้างละคน ดึงทั้งสองไปเหยียบลงบนยอดเขาใกล้ๆ แล้วรีบปล่อยเพลิงจิตออกมาครอบร่างกายทั้งสองเอาไว้
เมื่อเห็นทั้งสองคนที่เต้นแร้งเต้นกาสงบลงอย่างช้าๆ แววตาที่เลื่อนลอยค่อยๆ กลับมาสดใสชัดเจน จู่ๆ เหมียวอี้ก็ลงมือผนึกวรยุทธ์ของทั้งสองไว้ หลังจากทั้งสองขยับตัวไม่ได้แล้ว เขาก็หิ้วทั้งสองเหาะออกไปนอกบริเวณนั้น โยนทั้งสองทิ้งไว้บนภูเขาลูกหนึ่ง
สถานการณ์ของเขตพื้นที่นั้นแปลกประหลาดเกินไปจริงๆ ไม่จำเป็นต้องพาทั้งสองไปเสี่ยงอันตรายด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเหมียวอี้จนกลับมาไม่ได้ ปราสาทดำเนินเซียนไม่เห็นทั้งสามคนนานๆ ก็จะมาค้นหาทางนี้ทันที ถึงตอนนั้นก็ย่อมช่วยเหลือทั้งสองออกไปได้
เมื่อวางทั้งสองคนไว้เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกายอีกครั้ง แล้วพุ่งในแนวเฉียงขึ้นไปบนท้องฟ้าของเขตอันตราย แล้วมองไปรอบๆ ขณะที่ลอยอยู่บนฟ้า กำหนดบริเวณศูนย์กลางของเขตอันตรายอย่างคร่าวๆ โดยอิงตามยอดเขาที่อยู่โดยรอบ เสร็จแล้วถึงได้พุ่งเข้าไปในทะเลเมฆ
เมื่อผ่านเมฆหมอกมาเหยียบลงพื้น ใต้เท้าก็มีเสียงดังกร๊อบชัดเจนมาก เหมียวอี้ก้มมองว่ามันคืออะไร พบว่าตัวเองกำลังเหยียบอยู่บนโครงกระดูกผืนหนึ่ง พอมองดูรอบๆ อีกครั้ง ก็พบว่าทุกที่ที่สายตาสามารถมองเห็นได้มีแต่โครงกระดูก ส่วนใหญ่เป็นกระดูกของสัตว์ป่า กระดูกมนุษย์ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่มีน้อย
ไม่ใช่โครงกระดูกเสียทั้งหมด ยังมีร่างของสัตว์ป่าที่เน่าเปื่อยด้วย ศพที่เพิ่งตายใหม่ๆ ก็มีเหมือนกัน
ขณะที่เหยียบกระดูกจนแตกเสียงดังกรอบแกรบ เหมียวอี้ก็หยุดอยู่ข้างๆ ศพกวางน้อยตัวหนึ่งที่เพิ่งตายได้ไม่นาน ช้อนกระบี่วิเศษผลึกแดงด้ามหนึ่งมาไว้ในมือ แล้วใช้กระบี่กรีดผิวหนังของกวางน้อยออก เมื่อเห็นสีของเนื้อที่อยู่ข้างในนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สีของเนื้อสดใหม่มาก เลือดสีแดงสด ดูแล้วไม่เหมือนตายเพราะโดนพิษ
ทว่าในโลกนี้มีสิ่งพิสดารมากมาย บางทีการดูแค่ภายนอกอาจจะไม่มีทางแน่ใจได้ว่าโดนพิษตายหรือไม่ เหมียวอี้หันกระบี่กลับมาที่ตัวเอง แล้วเลียเลือดกวางที่อยู่บนคมกระบี่ หลังจกาชิมรสเลือดกวางอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง พบว่าไม่มีพิษอะไรเลย หรือพูดได้อีกอย่างว่ากวางตัวนี้ไม่ได้ตายเพราะโดนยาพิษ
ก่อนหน้านี้หลิวฮั่นเตือนแล้วว่าที่นี่มีพิษประหลาด เขาก็เลยคิดไปในทางนั้นด้วยเหมือนกัน แต่หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เขาก็สงสัยนิดหน่อยว่าอาจจะไม่ใช่พิษ หลักฐานของจริงในตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาวินิจฉัยผิด
ถ้าไม่โดนพิษแล้วจะโดนอะไรได้ล่ะ? หลังจากเหมียวอี้ครุ่นคิดไปสักพัก ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องสนใจว่าที่นี่มีอะไรผิดปกติ การหาของที่ตัวเองต้องการให้พบก่อนต่างหากที่เป็นเป็นเรื่องสำคัญ จึงร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองโดยรอบ พบว่าเงียบงันไร้ผู้คน และดูไม่เหมือนซ่อนอะไรเอาไว้ แต่กลับพบทะเลสาบแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกล ในใจเขาจึงเกิดความคิดบางอย่างแล้วถลันตัวเข้าไปทันที
เมื่อไปเหยียบลงริมทะเลสาย เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าค่อนข้างจริงจัง บนทะเลสาบมีหมอกบางปกคลุม ส่วนตรงน้ำตื้นริมทะเลสาบก็มีกระดูกสีขาวกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด แต่ไม่เหมือนกับที่เห็นก่อนหน้านี้ เพราะในน้ำมีแต่กระดูกคน
ในขณะนี้เอง เหมียวอี้พลันหันกลับไปมองตรงจุดที่อยู่ไม่ไกล ในหมอกหนาที่เกิดการเปลี่ยนแปลวไม่หยุดนิ่งมีคนคนหนึ่งเดินออกมา เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดสีเทา หน้าตาค่อนข้างดี เพียงแต่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนของปราสาทดำเนินเซียน สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่ที่มือนาง ในมือนางกำลังถือหลิงชานต้นหนึ่ง
หลิงชานของดาวดำเนินเซียนคือสมบัติเฉพาะของปราสาทดำเนินเซียน คนนอกไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามาเก็บโดยพลการได้ ถ้าเป็นคนรู้จักของปราสาทดำเนินเซียน แล้วต้องการหลิงชานจริงๆ ปราสาทดำเนินเซียนก็ย่อมนำไปมอบให้เอง ไม่จำเป็นต้องถ่อมาขุดเก็บ ชัดเจนมากว่าการมาเก็บเองส่วนตัวแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
เหมียวอี้ตัดสินได้แล้วว่ามีความเป็นไปได้สูงที่นางจะมาปล้นหลิงชาน แต่การรอดพ้นหูตาของปราสาทดำเนินเซียนมาได้ก็นับว่ามีฝีมืออยู่เหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้ว ดาวดำเนินเซียนกว้างใหญ่ขนาดนี้ ขอเพียงบุกเข้ามาแล้วไม่ถูกพบ เคลื่อนไหวหลบๆ ให้อยู่ต่ำกว่าเมฆหมอก ปราสาทดำเนินเซียนก็ไม่น่าจะจับได้ง่ายขนาดนั้นเหมือนกัน แค่จะถูกจับได้ง่ายตอนเข้าออกดาวดำเนินเซียนเท่านั้นเอง
เหมียวอี้ยังแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่ถูกความผิดปกติของที่นี่รบกวน ทำไมถึงมองข้ามเขาราวกับไม่มีตัวตน อยู่ห่างกันในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ เขาสามารถเห็นนางได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่านางจะไม่เห็นเขา จู่ๆ ก็พบว่าบนใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มโง่ๆ นางมองทะเลสาบตรงหน้าราวกับมองเห็นสวรรค์ เหมียวอี้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที เห็นตรงหว่างคิ้วของนางเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม นางลอยตัวเหาะขึ้นมา เหาะไปที่ผิวทะเลสาบโดยมีเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนป้องกันตัว สุดท้ายก็มุดลงไปในน้ำ
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถลันตัวตามไป มุดลงไปในน้ำทะเลสาบเช่นเดียวกัน ตามหลังสตรีวัยกลางคนคนนั้น ดำตามนางลงไปในน้ำลึกราวกับมีฟองอากาศห่อหุ้มร่างกาย
หลังจากทั้งสองเพิ่งดำลึกลงไปได้สิบจั้ง เหมียวอี้ก็พลันเบิกตากว้าง จู่ๆ ก็เห็นเมฆดำกลุ่มหนึ่งทะลักขึ้นมาจากก้นทะเลสาบและหมุนวนไปหาสองคนที่กำลังดำน้ำลงไป
ในน้ำจะมีเมฆดำโผล่มาได้อย่างไรกัน? เมื่อดวงตาอิทธิฤทธิ์มองให้ละเอียด ถึงได้พบว่าเป็นแมลงสีดำขนาดตัวเท่าเมล็ดงาที่หนาแน่นฝูงหนึ่ง เล็กแต่ดุร้าย
สตรีวัยกลางคนที่ดำน้ำอยู่ข้างหน้าประสบหายนะทันที นางดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ในน้ำพักหนึ่ง เหมียวอี้มองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าแมลงพวกนั้นจะทะลุฝ่าเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนของนางได้ ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้นางจมลงในน้ำ แล้วฝูงแมลงก็กรูกันเข้าไปล้อมครอบนางไว้
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นมีสติสัมปชัญญะเลือนราง เหลือเพียงความสามารถในการร่ายอิทธิฤทธิ์ตามสัญชาตญาณเท่านั้น ไม่เข้าใจเลยว่าต้องขัดขืนต่อต้านอย่างไร และไม่รีบหนีขึ้นมาจากน้ำด้วย ยังคงดำน้ำลงไปข้างล่างต่อ เหมียวอี้รีบพุ่งตามเข้าไป อยากจะช่วยชีวิตนาง แต่ใครจะคิดว่าแมลงพวกนั้นจะไม่ได้โจมตีนางคนเดียวแล้ว มีแมลงส่วนหนึ่งกรูเข้ามาหาเขาด้วยเช่นกัน
เหมียวอี้หยุดชะงักทันที เปลี่ยนมาระแวดระวังรอบๆ ไม่รู้ว่าเพลิงจิตของตัวเองจะสามารถต้านทานฝูงแมลงที่หนาแน่นพวกนี้ได้หรือเปล่า ถ้าพบความิดปกติเขาก็จะฝ่าออกจากน้ำทันที
โชคดีที่เพลิงจิตไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง ภายใต้อานุภาพการใช้เพลิงจิตของเขา พอแมลงพวกนั้นชนกับตาข่ายไฟของเพลิงจิต ก็มีเสียงเปาะแปะเปาะแปะทันที ราวกับถั่วที่ระเบิดหลังจากโดนผัดในกระทะจนพอง เรียกได้ว่ามาเท่าไรก็ตายเท่านั้น แต่แมลงพวกนั้นก็ฉลาดมากเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าฝ่ายตัวเองเสียหายหนักและไม่มีทางทำอะไรเหมียวอี้ได้ พวกมันก็หนีไปเหมือนลมพัดทันที
เมื่อไม่มีฝูงแมลงที่หนาแน่นมาเป็นอุปสรรคต่อสายตาแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองสตรีวัยกลางคนคนนั้นทันที ถ้าไม่มองคงไม่รู้ หลังจากเห็นแล้วขนลุกซู่ เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ผู้หญิงที่โดนแมลงพวกนั้นพัวพันกลายเป็นกระดูกสีขาวไปแล้ว กำลังจมลงก้นทะเลสาบโดยมีฝูงแมลงวนเวียนต่อไป
ก้นทะเลสาบดำมืดมิด เหมียวอี้ไม่รู้ว่าข้างล่างมีอะไร และไม่รู้ด้วยว่าใช่ที่ซ่อนสมบัติหรือไม่ แต่การกระทำของผู้หญิงคนนั้นที่ต่อให้ตายก็จะลงไปข้างล่างให้ได้ ทำให้เขาอยากจะลงไปดูว่ามีอะไรกันแน่ อย่างน้อยก็ไปเพื่อหาสมบัติ
เหมียวอี้ดำลงไปถึงก้นทะเลสาบในอึดใจเดียว พบว่าที่ก้นมีกระดูกขาวนับไม่ถ้วน ทั้งหมดแทบจะเป็นกระดูกคน พอเขาลงมาข้างล่าง กระดูกขาวจำนวนมากที่ก้นทะเลสาบก็ขยับเล็กน้อย ฝูงแมลงหนาแน่นสีดำฝูงแล้วฝูงเล่าโผล่ออกมาจากโพรงของกระดูก สงสัยที่พักของแมลงพวกนี้อยู่ในกระดูก
ราวกับมีควันดำนับพันสายโผล่ออกมาจากก้นทะเลสาบและพัดม้วนมาที่เหมียวอี้ เมือ่เจอกับเพลิงจิตที่ปกป้องร่างกายเหมียวอี้อยู่ เสียงเม็ดถั่วระเบิดก็ดังไม่หยุดอีกครั้ง ผลก็เป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ฝูงแมลงที่เสียหายอย่างหนักแพ้หนีไป มาไวไปไว พากันมุดเข้าไปรวมอยู่ในกระดูกอีก
ก้นทะเลสาบกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง แต่สภาพพื้นภูมิของก้นทะเลสาบก็เหมือนกับภูเขา สูงต่ำไม่คงที่ เหมียวอี้ที่ว่ายน้ำลอดเข้าไปในนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูรอบๆ ไม่นานก็พบโพรงถ้ำโพรงหนึ่งบนผนังหินที่มีวัชพืชน้ำปกคลุมอย่างหนาแน่น เหมียวอี้ลอยเข้าไปร่ายอิทธิฤทธิ์แหวกพืชน้ำออก เห็นปากถ้ำที่มีเค้าว่าถูกขุดสร้างด้วยฝีมือมนุษย์ พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูข้างในก็พบทางสัญจรเส้นทางหนึ่ง ในใจเกิดความคิดอะไรบางอย่าง แล้วถือกระบี่มุดเข้าไป ดำน้ำเข้าไปพร้อมระแวดระวังตลอดทาง
หลังจากดำน้ำไปข้างหน้าเป็นระยะทางหลายสิบจั้ง ข้างหน้าก็ปรากฏบันไดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ เหมียวอี้ที่โผล่ศีรษะอยู่ในน้ำมองดูโพรงถ้ำที่อยู่ด้านหลังบันได จากนั้นลอยไปที่ผิวน้ำแล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เดินขึ้นไปได้สักระยะก็พบว่าที่ปลายทางมีแสงสว่างกะพริบ ตอนที่เดินออกมาจาทางสัญจรนั้น ตรงหน้าก็คือห้องหินขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง
ด้านบนห้องหินฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีเอาไว้หนึ่งเม็ด แสงอ่อนละมุนส่องสว่างให้ห้องหิน แสงที่กะพริบไม่ได้มาจากไข่มุกราตรี แต่มาจากหอยยักษ์ตัวหนึ่งที่มีขนาดตัวยาวเกือบสิบจั้ง เป็นหอยน้ำจืด นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นหอยน้ำจืดที่ใหญ่ขนาดนี้
ที่น่าตกใจที่สุดก็คือ บนเปลือกของหอยน้ำจืดมีกระแสไฟฟ้าไหลออกมาไม่หยุด จุดกำเนิดของแสงที่กะพริบก็มาจากมันนี่เอง
แต่ก็เหมือนนักพรตปีศาจที่เหมียวอี้เจอตอนหาสมบัติก่อนหน้านี้ จุดจบไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
เปลือกหอยสีเงินขนาดยักษ์ถูกบังคับให้งัดออกแล้ว เผยให้เห็นเนื้อที่อ่อนอ้วนสดใหม่ขนาดใหญ่ในนั้น กำลังขยับขึ้นลงไม่หยุด ด้านบนมีกระแสไฟฟ้าไหลวนเวียนไปมา กระบองเหล็กสีแดงผลึกด้ามหนึ่งปักเปลือกหอยรวมทั้งเนื้อข้างเอาไว้บนพื้นด้วยกัน ข้างในมีเข็มสีแดงหลายเล่มเสียบเนื้อมันด้วย รอบๆ มีโซ่สีแดงมัดสอดเกี่ยวเปลือกหอยเอาไว้ ควบคุมสัตว์ขนาดยักษ์ตัวหนึ่งให้แน่นิ่งอยู่ที่นี่มาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ปี
…………………………