พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1155 เขากลับมาแล้ว!
จิ่งฉงอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ปรมาจารย์จึงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ เขาต้านเสียงลมที่กระเพื่อมสาดซัด กุมหมัดคารวะกล่าวต่อไปว่า “ศิษย์ติดต่อกับศิษย์ที่อยู่ตามจุดต่างๆ แล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดนี้เกิดแค่ขั้วโลกสองแห่ง แสงขั้วโลกหลากสีสันของที่อื่นหายไปหมดแล้ว แต่ที่จริงก็มีเค้าลางตั้งแต่เมื่อวานตอนกลางวันแล้ว แสงสีขาวที่เปลี่ยนแปลงอยู่บนท้องฟ้าเลือนหายไป ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าครามราวกับถูกชำระล้างขอรับ!”
พรึ่บ! โหยวอีที่นั่งขัดสมาธิพลันหายไปจากที่เดิม
จิ่งฉงหันกลับไปมอง พบว่าปรมาจารย์กำลังยืนมองท้องฟ้าอยู่บนบันไดนอกประตูแล้วแล้ว
ตรงขอบฟ้ามีสีขาวเหมือนพุงปลา ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีดวงดาวส่องสว่าง
ชุดคลุมสีขาวตัวโคร่งหลวมของโหยวอีกำลังปลิวสะบัด ผมสีขาวเงินที่ยาวลากพื้นกำลังลอยพลิกขึ้นพลิกลง เงยหน้ามองท้องฟ้ายามใกล้รุ่งเงียบๆ ให้ความรู้สึกราวกับทั้งตัวจะลอยขึ้นฟ้า
จิ่งฉงเดินไปข้างเขาอย่างเงียบงัน ก้มหน้าเล็กน้อย แอบมองปรมาจารย์อยู่เป็นระยะ รอฟังคำสั่งอย่างเงียบๆ
สีสันสะลานตาของแสงขั้วโลกยามค่ำคืนหายไปแล้วจริงๆ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของโหยวอีค่อนข้างเหม่อลอย ในดวงตาที่ลึกล้ำเผยให้เห็นความงงงวย ปากส่งเสียงพึมพำว่า “หากข้ากลับมา สีสันเต็มท้องฟ้านี้จะต้องอับแสงลง…”
ในหัวเขาปรากฏภาพภาพหนึ่ง เป็นบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ในภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี คนคนหนึ่งกำลังเอามือไขว้หลังยืนหันหลังให้ ส่วนเขาก็ยืนกล่าวอยู่ข้างหลัง : ได้โปรดคิดทบทวน!
คนคนนั้นตอบขณะที่หันหลังให้ : หลังจากจบเรื่องนี้ รอข้ากลับมา!
เขาถาม : จะกลับเมื่อใด?
ดังนั้นคนคนนั้นจึงลั่นวาจาว่า : หากข้ากลับมา สีสันเต็มท้องฟ้านี้จะต้องอับแสงลง!
ดังนั้นหลังจากการเปลี่ยนแปลงฉากใหญ่นี้ เขาจึงสั่งให้ลูกศิษย์ในสำนักสังเกตปรากฏการณ์นี้ไว้ตลอด ตอนนี้สีสันที่อยู่เต็มท้องฟ้าเป็นอย่างที่คนคนนั้นบอก มันอับแสงลงแล้ว!
จิ่งฉงหูกระดิกนิดหน่อย ได้ยินเสียงปรมาจารย์ดังแว่วชัดเจน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคำพูดของปรมาจารย์หมายความว่าอะไร
รออยู่สักประเดี๋ยว โหยวอีก็กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “จิ่งฉง ช่วงนี้มีแขกมาที่ดาวดำเนินเซียนบ้างรึเปล่า?”
จิ่งฉงมึนงงเล็กน้อย แล้วกุมหมัดตอบว่า “ปรมาจารย์ช่างปราดเปรื่อง ไม่กี่วันมานี้มีแขกมาสามคน เพียงแต่พักอยู่ในเรือนรับแขกได้คืนเดียว เมื่อวานกล่าวอำลาจากไปแล้ว”
โหยวอีแววตาวูบไหว หันหน้ามองมา แล้วถามว่า “ผู้ที่มาเป็นใคร?”
“จงหลีค่วยลูกศิษย์ของฝูเสี่ยน เจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภา เขาพาสหายสองคนมาชมทิวทัศน์ขอรับ” จิ่งฉงตอบ
“ปราสาทดำเนินนภา?” ดวงตาโหยวอีฉายแววสงสัย ถามอีกว่า “สหายสองคนที่จงหลีค่วยพามาเป็นใคร?”
จิ่งฉงไม่เคยเจอเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวเลย เจ้าสำนักของปราสาทดำเนินเซียนผู้สง่าน่าเกรงขาม ไม่ใช่ว่ามีใครมาแล้วจะสนใจทุกคน ถ้าจงหลีค่วยไม่ใช่ลูกศิษย์ของเจ้าสำนักปราสาทดำเนินนภา เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้เข้าพบเลย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ปรมาจารย์จะสนใจสิ่งนี้ จึงตอบอย่างค่อนข้างลายอายใจทันที “ศิษย์ประมาทเลินเล่อ ไม่เคยไปถาม จึงไม่ค่อยชัด รู้เพียงว่าทั้งสองเป็นนักพรตอิสระ”
ร่างของโหยวอีพลันหายไปจากที่เดิน กลับไปนั่งขัดสมาธิในตำหนักอีกครั้ง แล้วในตำหนักก็มีเสียงที่ราบเรียบลอยออกมา “มีชื่อแซ่ว่าอะไร ไปสืบแล้วกลับมารายงาน” พูดจบ ประตูตำหนักก็ปิดลงอีกครั้ง
จิ่งฉงกุมหมัดคารวะให้ประตูที่ปิดลง แล้วถลันตัวเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ยังไม่ได้ไปสืบก็ยังดีๆ อยู่ แต่หลังจากสืบจนรู้ชัดแล้ว สีหน้าของจิ่งฉงก็ค่อนข้างแย่
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เขาก็มาปรากฏตัวในตำหนักเมฆาเลื่อนลอยอีก รายงานว่า “สองคนที่จงหลีค่วยพามา คนหนึ่งชื่อเหมียวอี้ คนหนึ่งชื่อหวงโหรว เรียกตัวเองว่าเป็นคู่สามีภรรยานักพรตอิสระ แต่…แต่ตามที่ลูกศิษย์ที่ชื่อหลิวฮั่นรายงานขึ้นมา เขาเหมือนจะเคยเห็นนักพรตอิสระคู่นี้ที่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนมาก่อน คนที่ชื่อเหมียวอี้เหมือนหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ส่วนคนที่ชื่อหวงโหรวก็เหมือนหวงฝู่จวินโหรว ผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชนของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ไม่มีทางที่เรื่องราวจะบังเอิญขนาดนี้ เป็นไปได้สูงว่าหลิวฮั่นจะพูดความจริง เรื่องนี้เป็นศิษย์เองที่ตรวจสอบผิดพลาด ปล่อยให้คนที่ไม่สมควรมาที่นี่ล่วงล้ำเข้ามา”
“หนิวโหย่วเต๋อ?” โหยวอีไม่ได้มีท่าทีว่าจะถือสาหาความกับจิ่งฉง หลังจากทำท่าสงสัยนิดหน่อย ก็ถามอีกว่า “คนที่สั่งประหารข้าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ไปสามพันกว่าคนน่ะเหรอ?”
“ใช่แล้วขอรับ!” จิ่งฉงตอบ
“ทำไมเขาถึงปลอมตัวเป็นสามีภรรยากับคนของสมาคมวีรชนแล้วมาที่นี่ได้?” โหยวอีตอบ
จิ่งฉงตอบอย่างอับอายเล็กน้อย “ศิษย์ไม่ทราบ! เดี๋ยวศิษย์จะไปขอคำอธิบายจากคนของปราสาทดำเนินนภาแน่นอน ว่าเหตุใดจึงให้ท้ายลูกศิษย์ในสำนักมาหลอกลวงคนที่นี่”
โหยวอีไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หยิบระฆังดาราออกมาต่อหน้าจิ่งฉง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าอยู่ในมือ
ปราสาทดำเนินนภา ในตำหนักนภาครามที่กว้างโล่ง บนเตียงหยกตัวหนึ่ง ชายชราผมขาวที่มัดผมหางม้ากำลังนั่งสมาธิอยู่บนนั้น เขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเขียว ใบหน้าซูบผอม ตรงหว่างคิ้วราวกับมีไฝสีแดงชาดอยู่จุดหนึ่ง กำลังนั่งสมาธิฝึกตนอย่างสงบใจ คนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ให้ เป็นประมุขปราสาทดำเนินนภา และเป็นปรมาจารย์ที่บุกเบิกปราสาทดำเนินนภา เวินหวนเจิน!
เขาที่ยามปกติไม่ค่อยถูกรบกวน ฝึกตนอย่างสงบใจอยู่ที่นี่โดยไม่ออกไปไหน กิจธุระในสำนักก็ย่อมมีลูกศิษย์ที่เติบโตแล้วคอยจัดการให้ ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาเป็นห่วงอะไร
ไม่ค่อยถูกรบกวนแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีใครมารบกวน ตอนนี้ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นแล้ว เขาหยิบระฆังดาราที่สั่นออกมา ดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดโหยวอีจากปราสาทดำเนินเซียนจึงติดต่อเขาอย่างกะทันหันไม่มีเค้าลาง เขาถามว่า : มีธุระอะไร?
โหยวอี : ศิษย์รุ่นสี่ของสำนักพวกเจ้าที่ชื่อจงหลีค่วยพาสหายสองคนมาที่ปราสาทดำเนินเซียน
เวินหวนเจินงุนงงทันที แปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงสนใจลูกศิษย์รุ่นสี่ของสำนักตน : เขาก่อเรื่องอะไรที่ปราสาทดำเนินเซียนของเจ้าเหรอ?
โหยวอี : ไม่มีอะไรหรอก ขอยืนยันตัวตนที่แท้จริงของสหายสองคนที่เขาพามาหน่อย
เมื่อเขาพูดแบบนี้ เวินหวนเจินก็ยิ่งแปลกใจ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันที่สามารถทำให้โหยวอีสนใจได้ขนาดนี้ จึงหยิบระฆังดาราอีกอันมาเขย่า
ผ่านไปครู่เดียว ฝูเสี่ยนเจ้าสำนักที่เป็นลูกศิษย์ของเขาก็เข้าตำหนักมาคารวะปรมาจารย์
“ข้าจพได้ว่าเจ้ามีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อว่าจงหลีค่วยใช่มั้ย?” เวินหวนเจินถามเขา
ฝูเสี่ยนอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมปรมาจารย์จึงสนใจคนคนนี้ กุมหมัดตอบทันทีว่า “ใช่ขอรับ!”
“เขาพาคนสองคนไปที่ปราสาทดำเนินเซียน เจ้าติดต่อเขา ถามเขาหน่อยว่าสหายสองคนนั้นมีตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร” เวินหวนเจินกล่าว
จงหลีค่วยพาสหายสองคนไปที่ปราสาทดำเนินเซียนเหรอ? ใครกัน? ฝูเสี่ยนเริ่มขมวดคิ้ว เขาเองก็อยากรู้ว่าใครกันที่ทำให้ปรมาจารย์ต้องลำบากมาถามด้วยตัวเอง จึงหยิบระฆังดาราอกมาติดต่อจงหลีค่วยทันที
จงหลีค่วยในเวลานี้กำลังเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่บนดาราจักรพร้อมกับเหมียวอี้และหวงฝู่จวินโหรว จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากอาจารย์ ทั้งยังถามตรงๆ ถึงตัวตนที่แท้จริงของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรว จงหลีค่วยเริ่มกลัวนิดหน่อย ไม่รู้ว่าไปเผยพิรุธอะไรไว้เรื่องถึงวุ่นวายไปถึงอาจารย์ตัวเอง
ฝูเสี่ยนถามด้วยตัวเอง เขาเองก็ไม่รู้ว่าฝูเสี่ยนรู้มากแค่ไหน และไม่กล้าปิดบังด้วย ทำได้เพียงบอกตัวตนที่แท้จริงของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวไปอย่างซื่อสัตย์
ฝูเสี่ยนถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้อีกเล็กน้อย แล้วสุดท้ายก็บอกว่า : ก่อเรื่องวุ่นวาย!
เหมียวอี้ที่ร่วมเดินทางอยู่ขณะนั้นดันไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น “ลุงหนวด ทำไมหน้าดำคร่ำเครียดอย่างนั้นล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ครั้งนี้ซวยเพราะเจ้าแล้ว ตัวตนของพวกเจ้าถูกเปิดเผยที่ปราสาทดำเนินเซียนแล้ส เมื่อครู่นี้อาจารย์เพิ่งถามข้าด้วยตัวเอง!” จงหลีค่วยกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห
เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวมองหน้ากันเลิกลั่ก…
ส่วนฝูเสี่ยนที่อยู่ในตำหนักนภาครามก็หวาดกลัวยำเกรง หลังจากเล่าเรื่องที่จงหลีค่วยบอกให้ฟังแล้ว ก็บอกอีกว่าเหมียวอี้กับปราสาทดำเนินนภาเคยมีความขัดแย้งกัน
เวินหวนเจินไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ขมวดคิ้วเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เรื่องนี้ลูกศิษย์ของตัวเองทำไม่ถูกจริงๆ แต่ตามหลักการแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะมีค่าพอให้โหยวอีมาถามด้วยตัวเอง จึงเขย่าระฆังดาราเล่าเรื่องที่ลูกศิษย์บอกให้โหยวอีรู้ทันที
โหยวอีถามว่า : ลูกศิษย์ของเจ้าไปรู้จักกับคนที่ชื่อเหมียวอี้นั่นได้อย่างไร?
เวินหวนเจิน : ตอนแรกเขาไม่ได้เป็นคนของตำหนักสวรรค์ จะว่าไปแล้ว การที่เขาเข้าตำหนักสวรรค์ก็เกี่ยวข้องกับปราสาทดำเนินนภาเหมือนกัน…
เขาเล่าเรื่องความขัดแย้งระหว่างเหมียวอี้กับปราสาทดำเนินนภาให้ฟังคร่าวๆ อีก
โหยวอี : หมายความว่า เหมียวอี้นั่นไม่ได้มาแค่ดาวดำเนินเซียนกับดาวดำเนินนภา เขาไปที่ดาวแมกไม้ด้วยเหรอ?
เวินหวนเจิน : เหมือนจะเป็นอย่างนั้น มีปัญหาอะไรหรือ? วันนี้เจ้าแปลกๆ ไปนะ มีเรื่องอะไรกันแน่?
โหยวอีตอบเพียงว่า : เขากลับมาแล้ว!
ตอนแรกเวินหวนเจินยังไม่เข้าใจ ถามว่า : ใคร?
โหยวอีตอบ : เขา! เขายังไม่ตาย! เขากลับมาแล้ว!
ถึงแม้จะไม่เอยชื่ออกมา แต่น้ำเสียงที่เน้นหนักนี้ก็ทำให้เวินหวนเจินเข้าใจอะไรแล้วนิดหน่อย สองตาพลันเบิกกว้าง รีบเขย่าระฆังดาราถามทันที : เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเขายังไม่ตาย? เจ้าเห็นเขาเองกับตาเลยเหรอ?
ฝูเสี่ยนหันมองกระแสลมที่พัดม้วนอยู่ในตำหนักรอบๆ แล้วก็มองปรมาจารย์ที่กำลังทำสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิม ในใจแอบรู้สึกตระหนก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้ปรมาจารย์เสียอาการขนาดนี้ ต่อให้ลูกศิษย์ของตนจะพาสองคนนั้นไปที่ปราสาทดำเนินเซียน แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง?
โหยวอี : ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง! เรื่องผ่านมาหลายปี ใจคนยากจะคาดเดา สถานการณ์ไม่ชัดเจน เขาจะปรากฏตัวง่ายๆ ได้อย่างไร? ถ้าปรากฏตัวขึ้นมา ก็เป็นไปได้สูงว่าทางภูเขาหลิงซานจะรู้สึกได้ ถ้ารอให้ถึงเวลาที่เขารู้สึกว่าสามารถปรากฏตัวได้จริงๆ จะต้องเป็นเวลาที่ฟ้าสั่นปฐพีสะเทือน ฟ้าดินกลับตาลปัตรแน่นอน!
เวินหวนเจินเขย่าระฆังถามอย่างสะเทือนอารมณ์ : เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเขากลับมาแล้ว?
โหยวอี : คนสำรวจเส้นทางมาแล้ว! เคยไปที่ปราสาทแมกไม้มาก่อน แล้วก็ไปที่ของเจ้า แล้วก็มาที่ของข้า เขาตรวจสอบพวกเราแล้ว กำลังเตรียมพร้อม เขากลับมาแล้ว!
เวินหวนเจินตกใจ : คนสำรวจเส้นทาง? หนิวโหย่วเต๋อนั่นน่ะเหรอ?
โหยวอี : ใจคนยากจะคาดเดา เรื่องนี้ เจ้ารู้ ข้ารู้!
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวินหวนเจินก็ตอบว่า : เข้าใจแล้ว!
หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เวินหวนเจินที่เงียบไปพักหนึ่งก็บอกฝูเสี่ยนว่า : “อย่าให้ใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ รวมทั้งคนในสำนักด้วย ไม่ต้องไปตำหนิจงหลีค่วยลูกศิษย์ของเจ้าเหมือนกัน ให้ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น กำชับจงหลีค่วย ให้เขาอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อโดยไม่เผยเบาะแสอะไร ถ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นต้องการอะไร ก็ให้เขาให้ความร่วมมือ ถ้าเขามีเรื่องจำเป็นอะไรต้องขอให้สำนักช่วย ปราสาทดำเนินนภาก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยไม่เสียดายอะไร อย่าให้เกิดความผิดพลาด!”
ตกตะลึง! ฝูเสี่ยนตกตะลึงพรึงเพริด ให้จงหลีค่วยลูกศิษย์ตนให้ความร่วมมือกับหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? แล้วก็ให้ปราสาทดำเนินนภาสนับสนุนจงหลีค่วยอย่างเต็มที่ นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน?
จงหลีค่วยในตอนนี้กำลังด่าทอเหมียวอี้อยู่บนดาราจักร หวงฝู่จวินโหรวก็ได้อาศัยบารมีไปด้วยไม่น้อย ถึงขั้นด่าว่า ‘คู่สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมีย’ ด่าจนทั้งสองอับอายที่จะโต้ตอบ
รอจนกระทั่งฝูเสี่ยนผู้เป็นอาจารย์ส่งข้อความมาอีกครั้ง ใบหน้าของจงหลีค่วยก็ราวกับโดนตะคริวกิน อ้าปากค้างพูดไม่ออกแล้ว มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่แปลกประหลาดไร้ที่เปรียบ…
ณ ตำหนักเมฆาเลื่อนลอย โหยวอีเก็บระฆังดาราแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะบอกจิ่งฉงว่า “กลับไปตรวจสอบมาหน่อย ว่าเรื่องหนิวโหย่วเต๋อกับหวงฝู่จวินโหรวนั่น หลิวฮั่นบอกคนอื่นไปกี่คนแล้ว ขอเพียงเป็นคนที่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เจ้าต้องรวบรวมตัวมาให้หมด ห้ามให้ขาดไปแม้แต่คนเดียว แล้วหาที่สงบๆ ให้พวกเขาฝึกตน ห้ามให้พวกเขาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อภายนอก ใครเปิดเผยก็ลงโทษคนนั้น ถ้ามีคนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจริงๆ ไม่สนว่าจะเป็นใคร เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ประหารชีวิตได้เลย เข้าใจมั้ย?”
“…” จิ่งฉงตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งทันที “ศิษย์น้อมรับคำสั่ง!”
…………………………