พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1156 โอ้อวด
ในภูเขานอกเมืองของดาวเทียนหยวน
“แยกกันกลับตรงนี้ เจ้ากลับเข้าเมืองไปก่อน” เหมียวอี้บอกหวงฝู่จวินโหรว
หวงฝู่จวินโหรวเองก็รู้ว่าทั้งสองกลับไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าให้คนอื่นเห็นแล้ว นางเองก็ไม่มีทางอธิบายได้เช่นกัน เพียงแต่ก่อนจะไปนางยังทำสีหน้าสงสัย จ้องตรงหว่างคิ้วของเขาพร้อมถามว่า “บาดแผลของเจ้ายังไม่สมานตัวอีกเหรอ?”
เหมียวอี้ย่อมไม่มีทางบอกนางว่าตรงหว่างคิ้วของตัวเองมีดวงตาที่สามงอกออกมา ระหว่างทางที่กลับมาเขาเคยแอบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู พบว่าดวงตาที่สามได้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับกายเนื้อของเขาโดยสมบูรณ์แล้ว มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา หลังจากที่คุ้นชินแล้ว ‘ลูกตา’ นั่นถึงขั้นมองซ้ายมองขวาตามจิตใต้สำนึกของเขา ไม่เป็นอุปสรรคอะไรเลยสักนิด ทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าในการโจมตีครั้งสุดท้ายเสิ้นหมีได้ทำอะไรไว้กับเขากันแน่
ดูจากสถานการณ์เขากก็นับว่าเข้าใจแล้ว ถ้าคว้านดวงตาที่สามนี่ทิ้ง ดวงตาปกติอีกสองข้างของเขาก็จะต้องสูญเสียการมองเห็นไปสักระยะหนึ่ง รอการฟื้นฟูอย่างช้าๆ
“ถึงเวลาเดี๋ยวก็สมานตัวเอง” เหมียวอี้ตอบแบบขายผ้าเอาหน้ารอด แล้วโบกมือบอกใบให้นางรีบกลับไป
หวงฝู่จวินโหรวกลอกตามองเขา แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “อย่าลืมข้อตกลงของเจ้ากับข้าล่ะ” พูดจบถึงได้เหาะขึ้นฟ้าจากไป
หลังจากมองคล้อยหลังนางไปแล้ว เหมียวอี้ถึงได้หันกลับมาถามจงหลีค่วย “ลุงหนวด จะให้ข้ากลับไปอธิบายเป็นเพื่อนท่านที่ปราสาทดำเนินนภามั้ย?”
“ตอนนี้ยังกลับไปไม่ได้ อาจารย์ให้ข้าสำนึกความผิดของตัวเองอยู่ข้างนอก” จงหลีค่วยตอบ
“ไม่กลับแล้วเหรอ?” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ค่อนข้างรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ อีกฝ่ายมองตนเป็นสหาย แต่ตัวเองกลับใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย ทั้งยังทำให้อีกฝ่ายพลอยลำบากไปด้วย จึงยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่า “ไม่กลับก็ไม่กลับ เดี๋ยวข้าจะหาที่พักในเมืองให้ท่านสักแห่ง”
“ข้าจะหาที่หลบฝึกตนในภูเขาแถวๆ นี้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหาข้าที่นี่แล้วกัน” จงหลีค่วยส่ายหน้า
“ท่านไม่โกรธข้าแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“โกรธปล้วจะมีประโยชน์เหรอ?” จงหลีค่วยถามกลับ
เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้เขา “ยาแก่นซียนหนึ่งล้านเม็ด ท่านเอาติดตัวไว้ใช้ก่อน ถ้าไม่พอค่อยมาหาข้า”
จงหลีค่วยหยิบมาดูในมือ เป็นยาแก่นซียนกองใหญ่จริงๆ จึงแสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ใครๆ ก็พูดกันว่าตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์อุดมสมบูรณ์มาก สงสัยจะเป็นแบบนี้จริงๆ ควักออกมาครั้งเดียวก็เป็นยาแก่นซียนหนึ่งล้านเม็ดเลย ช่างร่ำรวย! เจ้าให้ข้าจริงเหรอ?”
“เอาไปเถอะน่า เป็นเพื่อนกันไม่ต้องเกรงใจกันหรอก” เหมียวอี้โบกมือ มองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มอีกว่า “ท่านบอกขนาดของกระบี่วิเศษกับขนาดร่างกายตัวเองมา เดี๋ยวกลับไปข้าจะทำเกราะรบผลึกแดงกับกระบี่วิเศษผลึกแดงขั้นห้าให้ท่านสักชุด ใช้ดีกว่าเกราะม่วงบนตัวท่านแน่นอน”
จงหลีค่วยเหล่ตามมองเขา “ข้าไม่มีเงินจ่ายเจ้าหรอกนะ”
เหมียวอี้กล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “พูดเรื่องเงินกับเพื่อนมันทำลายความสัมพันธ์นะ จะดีจะร้ายข้าก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ จะทำสักชุดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก มอบให้ท่านแบไม่คิดเงินเลย” รู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายพลอยลำบากไปด้วย แถมครั้งนี้ก็ได้สมบัติมาจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องชดเชยให้กับบาดแผลทางจิตใจอีกฝ่ายสักหน่อย ในด้านนี้เขาไม่มีทางขี้งก
จงหลีค่วยก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน นำแผ่นหยกออกมา เขียนพวกขนาดร่างกายลงไป แล้วตบที่หน้าอกเหมียวอี้ จากการกระทำนี้จะเห็นได้ว่าในใจยังมีความโกรธ ถึงแม้อาจารย์ของเขาจะไม่ถือสาหาความแล้ว แต่ในใจเขาก็ยังหงุดหงิด กำลังถือคติว่า การเอาของจากคนต่ำช้า ถ้าไม่เอาก็เสียของอยู่ดี แถมในใจยังด่าอีกว่า ขุนนางสุนัข!
ในสายตาของเขา ถ้าไม่ใช่ขุนนางโลภ อาศัยแค่เงินเดือนพวกนั้นจะทำของพวกนี้ได้อย่างไร
“ท่านวางใจได้ ข้าจะพยายามจัดการให้ท่านโดยเร็วที่สุด” เหมียวอี้มองดูขนาดที่เขียนไว้ในแผ่นหยก แล้วกล่าวรับประกันตรงนั้นเลย
จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบกระจกออกมาแต่งหน้าปลอมตัวอีก จงหลีค่วยที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วเอามือไขว้หลังถามว่า “เจ้าเด็กนี่ ชอบชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำเรื่องที่บอกคนอื่นไม่ได้มาตลอดใช่มั้ย กลับอาณาเขตตัวเองแล้วจะปลอมตัวทำไม?”
“เฮ้อ! ในตำหนักสวรรค์อยู่ยาก ตอนนี้ไม่อยากให้คนรู้ว่าข้ากลับมาแล้ว” เหมียวอี้พูดแก้ตัวส่งเดช ที่จริงตอนนี้เตรียมจะหลบเมียไปฟื้นฟูร่างกาย ถ้าคว้านดวงตามที่สามออกมาแล้ว แล้วตัวเองถูกปี้เยว่ฮูหยินเรียกพบตอนมองอะไรไม่ชัดเจน แบบนั้นจะแย่ขนาดไหน
พูดซ้ำไปซ้ำมามากพอแล้ว ก่อนที่จะไป เหมียวอี้ก็บอกจงหลีค่วยอีกว่า “อยู่ที่นี่ถ้าพบปัญหาอะไร ก็ให้ติดต่อข้าทันที ข้าจะส่งคนมาช่วยท่านจัดการทันที”
จงหลีค่วยพยักหน้า ในจุดนี้เขาเชื่อได้ อยู่ที่ดาวเทียนหยวนเจ้าหนุ่มนี่นับว่าอยู่ใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง
พอเข้ามาในเมือง เหมียวอี้ก็มุ่งตรงไปที่ร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวที่ติดต่อกันไว้ก่อนหน้านี้กำลังรอเขาอยู่ในลานบ้านแล้ว
พอทั้งสองเจอหน้ากัน อวิ๋นจือชิวก็ถามพร้อมแววตาเฝ้าคอย “มีของอะไรจะให้ข้าดูเหรอ?”
นางรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเหมียวอี้ได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินมาไว้ในมือ สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ ทุกครั้งที่ชายคนนี้ออกไปนอกบ้าน จะต้องไม่กลับมามือเปล่าแน่นอน คนที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยและเป็นเมียจอมจัดการมาจนชินจะชื่นชอบการนับเงินมาก ไม่อย่างนั้นถ้าเห็นแต่เงินในบ้านจ่ายออก ไม่เห็นมีเงินเข้าบ้าน ในใจจะรู้สึกไม่สงบมากเอามากๆ
เป็นเพราะช่วงนี้นางใช้จ่ายเงินในบ้านจนรู้สึกกลัวแล้ว แค่เปิดร้านค้าสามร้านให้พวกอวี้หนูเจียวอย่างเดียว ก็เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลแล้ว ถึงแม้การมีเส้นสายของเหมียวอี้จะค่อนข้างมีสิทธิพิเศษ แต่ก็ยังต้องจ่ายเงินไปก้อนใหญ่ ไหนจะค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ อีก
“ครั้งนี้ทำเงินก้อนใหญ่แล้วจริงๆ!” เหมียวอี้กระซิบข้างหูนาง พูดจบก็โอบกอดนางทันที
อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกายอย่างที่คาดไว้ นางส่ายก้นพร้อมดึงแขนเสื้อเขา แล้ววิ่งเหยาะๆ ตามขึ้นบันไดไป ถ่ายทอดเสียงถามว่า “รีบบอกข้ามา ได้มาเท่าไร เยอะกว่าตอนไปร่วมการทดสอบครั้งก่อนรึเปล่า?”
“แค่ของชิ้นเดียวที่ได้มาก็ได้เยอะกว่าครั้งก่อนแล้ว” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ
“ของอะไร?”
“กลับไปแล้วจะบอก”
ทั้งสองเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ด้วยกัน อวิ๋นจือชิวโบกมือสั่งอย่างกระตือรือร้นทันที “นายท่านกลับมาแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ รีบนำน้ำชามาให้นายท่าน!”
พอเข้ามานั่งลงในศาลา เหมียวอี้ก็ชี้ที่น้าตัวเอง อวิ๋นจือชิวถอดเครื่องปลอมตัวให้เขาด้วยตัวเองทันที แต่พอเห็นบาดแผลตรงหว่างคิ้วของเขา ก็ยังถามอย่างตกใจว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไป?”
“เรื่องมันยาว เดี๋ยวค่อยบอกทีหลัง นวดไหล่ให้ข้าก่อน” เหมียวอี้ชี้ที่ไหล่สองข้างของตัวเอง
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ยังเดินมาข้างหลังเขา บีบนวดไหล่สองข้างให้เขา “อย่ามายั่วให้ข้าอยาก เป็นของอะไรกันแน่ รีบนำออกมาให้ข้าดู”
เหมียวอี้หลับตาดื่มด่ำความผ่อนคลาย ไม่ยอมบอกสักที ยั่วให้นางอยากรู้อยู่อย่างนั้น
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถือน้ำชาเข้ามา พอเห็นเหมียวอี้วางมาด ทั้งสองก็เม้มปากหัวเราะพร้อมกัน
เหมียวอี้เปิดตาครึ่งหนึ่งจ้องทั้งสอง “หัวเราะอะไร? ข้าว่าพวกเจ้าสองคนจะเอาใหญ่แล้วนะ กล้าหัวเราะเยาะข้า มานวดขาให้ข้า!”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวเอ่ยรับ แต่ยังคงเม้มปากหัวเราะเหมือนเดิม พวกนางนั่งคุกเข่าทางซ้ายและขวาข้างขาเหมียวอี้ แล้วนวดทุบต้นขาให้เขา
ภาพเหตุการณ์แบบนี้ อวิ๋นจือชิวเห็นแล้วทั้งโมโหทั้งอยากขำ ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ นางบิดหูท่านขุนนางเหมียวหนึ่งที “อวดดีอะไรนักหนา? ข้าแค่ยอมให้เจ้าหน่อยเดียว เจ้าก็เริ่มวางมาดเสียแล้ว รีบบอกมาว่าของคืออะไร ไม่อย่างนั้นข้าจะบิดหูเจ้าลงมา”
เหมียวอี้เจ็บจนร้อง “โอ้ยๆ” รีบให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถอยไป ไม่กล้าเล่นแล้ว ยอมบอกอย่างซื่อสัตย์ “ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ด!”
“อะไรนะ?” อวิ๋นจือชิวหยุดบิดหูทันที ทั้งยังช่วยนวดหูให้เขาด้วย นางเดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยตาเป็นประกาย “รีบเอาออกมาให้ข้าดู”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตกตะลึงเช่นกัน ยังไม่ต้องพูดถึงราคา ยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดคือสิ่งที่กว่าจะได้มาต้องฆ่านักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ก่อน
เหมียวอี้กระดกนิ้วเรียกอวิ๋นจือชิว หลังจากบอกใบ้ให้นางเอาหูมาใกล้ๆ ก็กระซิบพึมพำข้างหูนางสองสามประโยค
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินประโยคพวกนั้นเริ่มเอามือปิดปากหัวเราะ
อวิ๋นจือชิวกลับทำสีหน้าไม่ถูก เตะหน้าหน้าแข้งเขาหนึ่งที แล้วถลึงตาบอกเขาว่า “เจ้าคนเหม็นสาบหน้าด้านไร้ยางอาย อย่ามาให้ข้าทำ ข้าทำไม่เป็น” นางชี้สาวใช้ทั้งสองที่กำลังแอบหัวเราะ “ไปให้พวกนางสองคนทำสิ สาวใช้สองคนนี้ถูกฝึกสอนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ทำได้หลายแบบ”
“นั่นมันไม่เหมือนกันนี่!” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย “เจ้าก็ไปขอให้พวกนางสองคนสอนสักหน่อยสิ”
“ไปตายซะ!” อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนอับอายจนโมโห กล่าวด้วยสีหน้าแดงเรื่อว่า “เจ้าจะส่งมาหรือจะไม่ส่งมา ถ้าไม่ส่งมาอย่าหาว่าข้าแปรพักตร์นะ สุราคำนับมิยอมดื่ม อยากดื่มสุราลงทัณฑ์เหรอ?”
เหมียวอี้ค่อนข้างจนใจ พลิกมือโยนยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดเม็ดหนึ่งออกมา
ขณะถือยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดที่มีหมอกลอยวนเวียนพลิกดูไปมา อวิ๋นจือชิวที่ตาเป็นประกายจนแทบจะเปล่งแสงก็เดาะลิ้นไม่หยุด นางหันตัวมายื่นให้หญิงรับใช้ทั้งสอง “พวกเจ้าดูสิ ดูให้ดี เปิดหูเปิดตาสักหน่อย ของแบบนี้ปกติไม่มีโอกาสให้เห็นหรอกนะ”
ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ถึงฐานะของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ในบ้าน ขนาดของแบบนี้ยังนำออกมาดูต่อหน้าทั้งสองได้อย่างง่ายดาย นำมาผ่านมือทั้งสองอย่างง่ายดาย หญิงรับใช้ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าอีกประเดี๋ยวบรรดาหรูฮูหยินก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นเหมือนกัน เดี๋ยวฮูหยินจะต้องซ่อนเอาไว้แน่นอน ไม่มีทางนำออกมาต่อหน้าคนอื่น
ของสิ่งนี้ไม่เกี่ยวว่ามีเงินหรือไม่มีเงิน เพราะยามปกติหาซื้อไม่ได้ในตลาด เป็นของที่ใช้สำหรับหลอมสร้างไว้ในอาวุธระดับสูงเท่านั้น ลองนึกถึงของวิเศษที่ใช้สิ่งนี้ทำสิ อานุภาพการโจมตีของมันจะเทียบเท่ากับพลังของนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคนหนึ่งเลย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าราคาสูงขนาดไหน
เป็นสมบัติล้ำค่าที่มีจำนวนจำกัดอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่มีวาสนาได้เห็นแม้จะอยู่มาทั้งชีวิต แต่พวกนางสองคนไม่ใช่แค่มีวาสนาได้เห็น ทั้งยังได้ถือชื่นชมอยู่ในมือด้วย
หลังจากหยิบของมาชื่นชมในมือได้สักประเดี๋ยว พวกนางก็ส่งกลับคืนให้อวิ๋นจือชิว อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าโปรดปรานจนวางไม่ลง แต่กลับทำสีหน้ากลุ้มใจ “ของมันก็ดีอยู่หรอก! แต่ไม่มีทางนำมาเปลี่ยนเป็นทรัพยากรฝึกตนได้เลย ถ้านำไปแลกจะต้องสะเทือนถึงบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ เรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย หนิวเอ้อร์ สงสัยจะต้องเก็บไว้เป็นสมบัติสืบทอดตระกูลให้ลูกชายเจ้าแล้วล่ะ”
เหมียวอี้เหล่ตามองท้องนาง ไม่ต่อความยาวสาวความยืดเรื่องมีลูก เพราะเขารู้ว่าในใจผู้หญิงคนนี้วู่วามอยากจะเป็นแม่คน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางหยั่งเชิงเขาเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะปัจจัยแวดล้อมในตอนนี้ไม่เหมาะสม ผู้หญิงคนนี้คงจะไม่ได้พูดเฉยๆ แล้ว คงจะเอาจริงแน่นอน
เขาเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ถ้าเจ้าตอบตกลงเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะให้เจ้าดูของดีอีกนิดหน่อย”
อวิ๋นจือชิวรีบเก็บยาเจี๋ยตันในมือ แววตาเป็นประกายอีกครั้ง “ยังมีของอะไรอีก?”
“เจ้าตอบตกลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้กล่าว
“เอาของมาดูก่อนว่ามีค่าพอให้ทำอย่างนั้นมั้ย” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย!” พอเขาโบกมือ ก็มีเสียงดังก๊องแก๊ง กำไลเก็บสมบัติที่กองเหมือนภูเขาไหลพุ่งออกมาแล้ว เรียกได้ว่าเป็นฉากที่อลังการงานสร้าง
…………………………