พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1161 ได้ข้อคิดอีกอย่าง
นั่นคือการอธิบายอย่างตาลีตาลานจริงๆ กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะบังคับให้ตนคว้านตาทิพย์ทิ้ง มีพลังอภินิหารเยอะขนาดนี้ดีจะตาย เมื่อหญิงงามอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางหลบพ้นสายตาไปได้
“เจ้าจะร้อนรนอะไรนักหนา? ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าคว้านออกเสียหน่อย” อวิ๋นจือชิวพูดแขวะ
เหมียวอี้ลองถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยินใจกว้างขนาดนี้จริงเหรอ ไม่ให้ข้าคว้านทิ้งจริงๆ เหรอ? ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสมจริง ข้าจะคว้านออกก็ได้”
เหมียวฮูหยินทำสีหน้าค่อนขอด “ถ้าเจ้าไม่ใช้ตาทิพย์แล้วยังสามารถมองทะลุเสื้อผ้าคนอื่นได้ แบบนั้นต่อให้ไม่มีตาทิพย์ ข้าก็ต้องควักลูกตาสองข้างของเจ้าทิ้งอยู่ดี ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะหน้าด้านถึงขนาดใช้ตาทิพย์จ้องมองตอนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงของคนอื่น”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว หัวเราะไม่ออกด้วย เป็นไปไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะทำเรื่องที่โจ่งแจ้งแบบนั้นต่อหน้าผู้หญิงของคนอื่น
แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ถ้าข้าอยากจะเห็นจริงๆ ก็ไปหลบไกลๆ หน่อยก็ได้ แบบนั้นไม่โดนจับได้หรอก
ทว่านี่เป็นเพียงความคิดหนึ่งที่ทำให้เขาแอบยิ้มดีใจเท่านั้นอง ความจริงเขาไม่ได้ไร้ยางอายถึงขั้นนั้น ใช่ว่าตัวเองจะไม่เคยเห็นผู้หญิงเสียหน่อย ทั้งฮูหยิน ทั้งอนุภรรยาและหญิงชู้ของตน แต่ละคนหน้าตาสวยโดดเด่นทั้งนั้น ตอนนี้ยังมีบางคนที่ตนยังไม่ได้แตะต้องด้วยซ้ำ เพลิดเพลินไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่ได้ลามกจกเปรตถึงขั้นไปแอบดูผู้หญิงคนอื่นหรอก
เรื่องนี้หัวเราะเสร็จแล้วก็ปล่อยผ่าน เห็นเป็นเรื่องล้อเล่นเท่านั้น เหมียวอี้วกกลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง “ข้าจะลองเพิ่มพลังอิทธิฤทธิ์ดูสักหน่อย ดูว่าจะสามารถรบกวนจิตใจเจ้าได้รึเปล่า”
อวิ๋นจือชิวยืนให้ความร่วมมือทันที
ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างผิดหวัง ใช้พลังอิทธิฤทธิ์จนเกือบหมดแต่ก็ยังทำให้อวิ๋นจือชิวมีปฏิกิริยาอะไรไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าถ้ามีแค่ตาทิพย์อย่างเดียวจะไม่สามารถใช้พลังอภินิหารเหมือนเสิ้นหมีได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเสิ้นหมีทำได้อย่างไร เรื่องนี้ทำให้เขานึกเสียดายทีหลัง ถ้ามีพลังอภินิหารเหมือนเสิ้นหมี ในภายหลังตอนเจอศัตรูก็จะมีประโยชน์มาก น่าเสียดาย!
เป็นที่แห่งเดิมนั้นเอง เขาใช้เวลาอีกเกือบครึ่งวันเพื่อฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ โดยมีอวิ๋นจือชิวอยู่ข้างกาย คอยระแวดระวังรอบข้างให้เขา
จนกระทั่งพลังอิทธิฤทธิ์ฟื้นตัวกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกเฮยทั่นออกมาอีก เพื่อพิสูจน์การคาดเดาว่าตัวเองสามารถมองทะลุเสื้อผ้าได้
สองสามีภรรยากำลังยืนเคียงกันและเงยหน้ามองบนท้องฟ้า ส่วนเฮยทั่นก็เหาะวนฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า ไม่นานก็พ่นเมฆหมอกผืนใหญ่ออกมา แล้วซ่อนตัวอยู่ในนั้นโดยไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร
เสาแสงยิงออกมาจากหว่างคิ้วของเหมียวอี้อีกครั้ง ตาทิพย์เปิดออก เฮยทั่นที่หลบเงียบๆ อยู่ในเมฆหมอกไม่มีที่ให้ซ่อนตัว เหมียวอี้มองเห็นตำแหน่งที่มันซ่อนตัวอยู่อย่างชัดเจน
หลังจากเห็นเขาเลิกใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “มองเห็นมั้ย?”
“มองเห็นได้ สงสัยสิ่งที่ข้าเดาจะไม่ผิด” เหมียวอี้พยักหน้า
“ถ้าสิ่งที่เจ้าเดานั้นถูกต้อง ถ้ามีความโปร่งแสงในระดับหนึ่งก็จะสามารถมองทะลุได้ ก็แสดงว่าตาทิพย์สามารถตรวจดูตามการหักเหของแสง หรือพูดได้อีกอย่างว่า หลักการที่เจ้าบอกว่าถ้ามีภูเขาหรือก้อนหินบังจะมองไม่เห็นก็ไม่จริง ถ้าเป็นการมองเห็นจากการหักเเหมือนกัน แล้วทำไมจะอ้อมไปมองสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภูเขากับก้อนหินไม่ได้? เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าจะสื่อมั้ย?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างสงสัยนิดหน่อย
เหมียวอี้ทำท่าครุ่นคิด แล้วถามกลับถามว่า “จะลองดูอีกหน่อยมั้ยล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วลอยออกไป ร่างนางซ่อนอยู่ด้านหลังหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ลองดูสิ!”
หว่างคิ้วเหมียวอี้เปล่งแสง ตาทิพย์เปิดออกอีกครั้ง จ้องมองไปที่หินขนาดใหญ่ก้อนนั้น ขณะที่มองก็เพิ่มพลังอิทธิฤทธิ์ขึ้นอีก ความคิดของเขาต้องการจะมองเห็นด้านหลังก้อนหิน แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นอย่างที่คาดไว้ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการมองเห็นของตาทิพย์ลอยไปรอบๆ หินก้อนใหญ่ และชั่วพริบตาเดียวก็มองเห็นอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างหลังอย่างชัดเจน
“น้องชิว เจ้าพูดไว้ไม่ผิด ข้ามองเห็นแล้วจริงๆ” เหมียวอี้ตะโกนบอกอย่างตื่นเต้น แล้วก็พูดเสริมอีกว่า “เจ้ากำลังลูบจมูก ลูบหัว ลูบหู”
“ลองดูอีกสักครั้ง!” พออวิ๋นจือชิวพูดจบ ก็เหาะออกมาจากด้านหลังก้อนหิน เหาะไปเหยียบลงด้านหลังภูเขาที่อยู่ไกลๆ
ดวงตาอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้สะกดรอยตามไป จ้องไปภูเขาลูกนั้น ภายใต้การควบคุมของพลังจิต สายตาของตาทิพย์เคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ไม่นานก็เห็นสภาพของด้านหลังภูเขาอย่างชัดเจน เห็นอวิ๋นจือชิวนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่งและโผล่หน้าออกมาเงี่ยหูฟัง แต่ครั้งนี้เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังอิทธิฤทธิ์หมดเปลืองไปอย่างรวดเร็วรุนแรงยิ่งขึ้น
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังทันที “เห็นแล้ว เจ้านั่งอยู่บนก้อนหิน” พูดจบก็หยุดใช้ดวงตาทิพย์
เงาคนที่อยู่ด้านลังภูเขาถลันวูบกลับมา อวิ๋นจือชิวเหยียบลงตรงด้านหน้าของเขา แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นประหลาดใจ “ลองอีกครั้งสิ เจ้าไปด้านหลังดาวเคราะห์แล้วลองดูว่าจะเห็นข้าที่ยืนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า”
เมฆหมอกที่อยู่บนท้องฟ้าลอยสลายไปทีละนิด เหมียวอี้เรียกเฮยทั่นมาอยู่เป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิว แล้วโยนยาแก่นเซียนเข้าปาก หลังจากฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์แล้วก็รีบเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากลอยไปอยู่ด้านหลังดาวเคราะห์และหยุดยืนอยู่บนท้องฟ้า เหมียวอี้ก็เปิดตาทิพย์อีกครั้ง ควบคุมพลังจิตควบคุมหมายจะมองด้านหลังดาวเคราะห์
เขารู้สึกได้ว่าสายตาของตาทิพย์กระจายไปรอบๆ ดาวเคราะห์ แต่ผลปรากฏว่าพลังอิทธิฤทธิ์ไหลออกอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวความรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงก็มาเยือน
เขามีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงรีบหยุดใช้ตาทิพย์ โยนยาแก่นเซียนเข้าปากก่อน จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมา ติดต่ออวิ๋นจือชิวอย่างค่อนข้างอ่อนเพลีย : ไม่ไหวแล้ว! มองไม่เห็น
อวิ๋นจือชิวถาม : เป็นเพราะพื้นที่ดาวเคราะห์ใหญ่เกินไปหรือเปล่า?
เหมียวอี้ : นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือวรยุทธ์ของข้ายังไม่สูงพอ ทนรับการใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ไหว ข้ารู้สึกได้ ว่าถ้ามีพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุนเพียงพอ ก็คงจะเลี้ยวผ่านพื้นที่ขนาดใหญ่แล้วมองเห็นเจ้าได้ ไม่พูดแล้ว ข้าจะฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ก่อนแล้วค่อยไปหา ตอนใช้พลังเมื่อครู่นี้ทำเอาพลังอิทธิฤทธิ์ของข้าเกือบหมดเกลี้ยง เกือบสลบแล้ว!
อวิ๋นจือชิว : เจ้าฟื้นฟูอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องมาแล้ว ข้ากับเฮยทั่นจะไปหาเอง
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็ขี่เฮยทั่นมาถึงดาวเคราะห์ฝั่งนี้
ถึงแม้ดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงนี้จะไม่ถือว่าใหญ่โตมาก แต่ถ้าใครสักคนจะซ่อนตัว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาพบได้อย่างราบรื่น แต่ยังดีที่มีเฮยทั่นอยู่ เฮยทั่นสามารถสัมผัสได้ว่าเหมียวอี้อยู่ตรงไหน แทบจะแบกอวิ๋นจือชิวมุ่งตรงสู่ตรงกลางระหว่างภูเขาหินสองลูกที่เหมียวอี้ซ่อนตัว
หลังจากเหยียบลงพื้น ทั้งคู่ก็คอยคุ้มกันเหมียวอี้
นี่ก็คือข้อดีของเฮยทั่น ไม่เหมือนสัตว์เทพพวกนั้นที่โดนร่ายอิทธิฤทธิ์ลบความทรงจำแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ให้จดจำเจ้าของคนใหม่ แน่นอน เดิมทีอาชามังกรก็มีความสามารถนี้อยู่แล้ว ตอนแรกที่อยู่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ต่อให้มันจะแยกจากเหมียวอี้ไกลขนาดไหน แต่เฮยทั่นก็ยังหาเขาพบ ต่อให้ไม่พูดเรื่องพวกนี้ แต่สัตว์เทพที่รักษาสติปัญญาไว้ครบถ้วน มีความสามารถในการปรับตัวได้เองอย่างเฮยทั่น สัตว์เทพที่ถูกซื้อไปขายมาพวกนั้นเทียบไม่ติดอยู่แล้ว
นี่ก็คงนับว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนกับสัตว์ซึ่งพูดคนละภาษาเดินมาด้วยกันตลอดทางโดยไม่ทอดทิ้งกัน ถ้าไม่มีเหมียวอี้ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากสนับสนุน ก็ไม่มีการวิวัฒนาการของเฮยทั่นในวันนี้ ส่วนความจงรักภักดีที่เฮยทั่นมีต่อเหมียวอี้ก็เป็นสิ่งที่แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน มันเองก็ไม่ได้โง่ ใครที่ดีกับมันจริงๆ หรือดีกับมันหลอกๆ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้มันแยกออกแล้ว เดินมาด้วยกันตลอดทางตั้งแต่ยังอ่อนด้อยต่ำต้อย พวกเขาเข้าใจกันและกัน
เมื่อมองดูเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ แล้วลูบเฮยทั่นที่กำลังสั่นหัวส่ายหางช้าๆ คอยระแวดระวังรอบข้าง ในใจอวิ๋นจือชิวก็ทอดถอนใจไม่หยุด
ในสายตานาง ถึงแม้เหมียวอี้ไม่จะไม่สุภาพบุรุษคนดีอะไร แต่ลึกๆ แล้วมีอีกด้านที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพมากเกินไป ด้วยเหตุนี้กับบางเรื่องเขาจึงดูเหลาะแหละไม่เด็ดขาด ทว่าความเป็นจริงในแดนฝึกตนนี้ คนที่สามารถทำการใหญ่ สามารถยืนอยู่ในจุดสูงและก้มมองสรรพสิ่งได้ มีใครบ้างที่ไม่เหยียบศพศัตรูหรือมิตรสหายเพื่อก้าวเดินขึ้นไปบ้าง เวลาที่ต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ที่สำคัญและต้องตัดสินใจเลือก ถ้าใต้เท้าไม่เหยียบศพมิตรสหายบ้าง ก็ไม่มีทางเดินขึ้นได้สูงถึงระดับนั้น
กับประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตร เห็นได้ชัดเจนว่ามาสาบานร่วมเป็นพี่น้องเพราะผลประโยชน์ แต่หลังจากอยู่ด้วยกันนานจนเริ่มผูกพันกันแล้ว คนอย่างหนิวเอ้อร์ก็ไม่มีทางทำเรื่องทรยศได้ลง นี่คือจุดที่แย่ในสายตาของอวิ๋นจือชิว ยกตัวอย่างเช่นการทดสอบหนึ่งร้อยปีครั้งนั้น นางกล้าแน่ใจได้เลยว่าถ้าหนิวเอ้อร์กลับมาไม่ได้ พวกฝูชิงจะต้องลงมือกับพวกนางแน่นอน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นให้พวกฝูชิงไปร่วมการทดสอบแล้วกลับมาไม่ได้ หนิวเอ้อร์ก็ไม่มีทางทำอย่างนั้น
ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวเอ้อร์โชคดีและมีเรื่องมหัศจรรย์ช่วยสนับสนุน ภายใต้แนวโน้มของสถานการณ์ ต่อให้จะรับมือกับเรื่องฉุกเฉินได้เก่งว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าทำเรื่องที่ไม่รู้จักแยกแยะข้อดีข้อเสียพวกนั้นตอนอยู่ที่พิภพเล็ก ก็คงจะโดนหกปราชญ์ฆ่าตายไปแปดร้อยรอบตั้งนานแล้ว ถึงขั้นไม่ต้องให้หกปราชญ์ลงมือเองด้วยซ้ำ มีหรือที่จะรอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ ทว่าเรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้าเหมียวอี้ใช้เหตุผลและสติปัญญามากเกินไป ถ้าใช้สติปัญญาเหมือนหยางชิ่ง นางก็ไม่มีทางเดินร่วมทางกับเหมียวอี้ได้เลย ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป นางก็รู้สึกว่าเป็นโชคชะตาจริงๆ
แต่กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อคนเราขึ้นมาอยู่ในจุดที่แบ่งแยกลำดับสูงต่ำ แบ่งแยกลำดับผลประโยชน์ อวิ๋นจือชิวก็ไม่คิดว่าจะมีคำว่าพี่น้องร่วมสาบานคงอยู่อีกต่อไป นั่นคือคำพูดของคนที่หาทางผูกมัดจิตใจด้วยเล่ห์เพทุบายเท่านั้น ถึงตอนนั้นแม้แต่พี่น้องแท้ๆ ก็ยังสะสางบัญชีกันได้เลย ในโลกมนุษย์ของพิภพใหญ่ มีตั้งกี่ราชวงศ์ที่เข่นฆ่ากันเองเพื่ออำนาจกษัตริย์? หลักการก็เหมือนกัน! ลองเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ ถ้าพวกฝูชิงสำคัญตัวเองมากเกินไป จนเกิดเป็นนิสัยที่คิดไปเองว่าพี่น้องร่วมสาบานอย่างพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับเหมียวอี้ ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อไปพวกฝูงชิงก็จะค่อยๆ ตัดสินใจเรื่องราวมากมายที่ตลาดสวรรค์เองโดยพลการ จะเริ่มนึกว่าตัวเองสามารถตัดสินใจแทนเหมียวอี้ได้ และแน่นอนว่าจะอ้างเหตุผลว่าทำไปเพราะหวังดีกับทุกคน แต่เมื่อเวลานานไปก็จะแบ่งแยกลำดับความสำคัญไม่เป็น จะเกิดความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าเดิม จะไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมราชาในโลกมนุษย์เหล่านั้นจึงมักจะบุกเบิกอาณาจักรได้แต่แบ่งปันอาณาจักรไม่ได้ สมบัติลาภยศข้าสามารถให้พวกเจ้าได้ แต่ใต้หล้ากลับแบ่งกันไม่ได้ หลังจากครองใต้หล้าได้แล้ว ก็ต้องให้สหายและพี่น้องที่ร่วมฝ่าฟันมาด้วยกันยอมศิโรราบ ถ้าไม่ยอมก็ต้องฆ่า!
ในเมื่อเหมียวอี้ทำไม่ลง อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงช่วยเขาทำ เคาะระฆังเตือนภัยให้พวกผู้ชิงก่อน ให้พวกฝูชิงละทิ้งอำนาจที่จะนั่งอยู่ระดับเดียวกับเหมียวอี้!
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ อวิ๋นจือชิวคิดว่าเหมียวอี้ขาดศักยภาพในการเป็นสิงห์ร้ายที่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยาน เขาสามารถทำให้ตระกูลครองใต้หล้าได้ แต่กลับปกครองใต้หล้าได้ยาก!
นางไม่ได้คิดว่าเหมียวอี้จะต้องปกครองใต้หล้าอะไรแบบนั้น แต่คิดว่าในเมื่อเขาเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของทุกคนแล้ว ก็ต้องปกครองและควบคุมทุกคน เรื่องไมตรีจิตต้องแยกแยะเวลา ถ้าวุ่นวายจนตอนสุดท้ายแตกความสามัคคี แปรพัตร์กลายเป็นศัตรูกัน แบบนั้นก็จะตัดกำลังของทุกคน ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น!
แต่ก็เป็นเพราะอย่างนี้ อวิ๋นจือชิวที่กำลังลูบตัวเฮยทั่นถึงได้ทอดถอนใจ ตอนที่ยังอ่อนแอต่ำต้อย ไม่ว่าใครก็ต้องพยายามรวบรวมทรัพยากรฝึกตนเพื่อตัวเองทั้งนั้น ในสถานการณ์ที่ตัวเองมีทรัพยากรฝึกตนไม่พอ ใครมันสร้างเกราะรบให้อาชามังกรของตัวเองบ้าง? ถ้าอาชามังกรตายแล้วอย่างมากก็แค่เปลี่ยนตัวใหม่ มันไม่ใช่สิ่งที่ราคาแพงมากในแดนฝคกตน จะมีใครที่ทำแบบเหมียวอี้บ้าง? ในทางตรงกันข้าม หากไม่ได้ทำแบบนี้ เฮยทั่นก็คงสู้รบจนตายตอนที่ออกรบพร้อมกับเหมียวอี้ไปนานแล้ว ตอนแรกที่เหมียวอี้ทำเหราะรบให้เฮยทั่น เหมียวอี้ก็ไม่รู้ด้วยวว่าเฮยทั่นสามารถวิวัฒนาการได้
ดังนั้นจึงโชคดีที่เหมียวอี้ปกป้องเฮยทั่นมาตลอด ถึงได้เห็นเฮยทั่นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ถึงได้แลกมาด้วยเฮยทั่นที่จงรักภักดีต่อเจ้าของ เรียกว่าทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ!
เช่นเดียวกัน ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง อวิ๋นจือชิวถึงได้รู้สึกว่าอยู่กับผู้ชายแบบเหมียวอี้แล้วสงบใจ อวิ๋นจือชิวสามารถเชื่อใจเหมียวอี้ได้โดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไรเลยแม้แต่น้อย ถ้านางประสบอันตรายขึ้นมา เหมียวอี้จะต้องยอมทุ่มเทเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องและช่วยชีวิตนางแน่นอน เพราะแบบนี้นางถึงได้ยอมปิดตาข้างเดียวกับบางเรื่องที่เหมียวอี้ทำ มีเรื่องมากมายที่นางมีความคาดหวังสูงกับเหมียวอี้มาตลอด แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้หวังสูง
ท้องฟ้าเงียบสงบ เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวนี้ อวิ๋นจือชิวคิดเรื่องอะไรไปแล้วมากมาย
เมื่อได้ยินเสียงเหมียวอี้ลุกขึ้นยืนหลังจากฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว อวิ๋นจือชิวก็หายเหม่อลอย นางจ้องตรงหว่างคิ้วเขาพร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม “หนิวเอ้อร์ ครั้งนี้เริ่มจากได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดิน แล้วก็บังเอิญได้ตาทิพย์ข้างนี้มา สำหรับเจ้าแล้วมันคือของดีที่ทำให้ศักยภาพของเจ้าแข็งแกร่ง เจ้านี่โชคดีจนน่าอิจฉา ขนาดปีศาจหอยนั่นโจมตีเจ้า แต่ก็ยังทำให้เจ้าได้ของดีมาชิ้นหนึ่งเลย มอบพลังอภินิหารให้เจ้า คนเรานี่พอเปรียบเทียบกันแล้วก็น่าโมโหจริงๆ”
“ใครใช้ให้ข้าได้แต่งงานกับฮูหยินดีๆ ล่ะ จะเห็นได้ว่าน้องชิวมีโหงวเฮ้งว่าจะมีสามีรวย!” เหมียวอี้ได้ยินแล้วยิ้มอย่างร่าเริง ยื่นมือไปช้อนคางนางเล็กน้อย “โชคดีที่ไม่ได้ตกอยู่ในมือเฟิงเสวียน!”
“เชอะ! เจ้าจงใจทำให้ข้าสะอิดสะเอียนให้มั้ย?” อวิ๋นจือชิวที่โดนสะกิดปมด้อยส่อเค้าว่าจะปรี๊ดแตกทันที
เหมียวอี้ไอแห้งๆ หนึ่งที แล้วรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไปดาวดำเนินเซียนครั้งนี้ นอกจากจะได้สมบัติแล้ว แต่ข้าว่าตาทิพย์อาจจะไม่ใช่ดอกผลที่ใหญ่ที่สุด ข้ารู้สึกว่าข้าได้ข้อคิดที่ยิ่งใหญ่และสำคัญอีกอย่างหนึ่ง”
“อะไร?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างแปลกใจทันที
“ช่วงนี้ข้าได้อยู่เงียบๆ กับหงเฉินสองสามวัน ตอนนั้นข้าครุ่นคิดไตร่ตรองไปด้วย ทำให้พบต้นสายปลายเหตุแล้วนิดหน่อย” เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดกล่าวอย่างลังเล
“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวพูดเหยียดหยามว่า “ถ้าจะเปลี่ยนประเด็นพูดก็เลือกเหตุผลให้มันดีๆ หน่อยสิ ตอนอยู่กับหงเฉินเจ้าครุ่นคิดอะไรอยู่? คิดว่าจะพลอดรักกับคนใหม่ยังไงใช่มั้ย? คำโบราณกล่าวไว้ไม่ผิดหรอก แต่ไหนแต่ไรมาก็ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของคนใหม่ ใครเล่าจะได้ยินเสียงร้องไห้ของคนเก่า!”
เหมียวอี้ปวดประสาทขึ้นมาทันที “ถ้าเจ้าดึงดันจะพูดอย่างนี้ ข้าก็หมดหนทางแล้ว ข้าพูดความจริงนะ ข้อคิดอีกอย่างเกี่ยวข้องกับตาทิพย์ของข้า เจ้าไม่ได้สังเกตเหรอว่าตาทิพย์ใช้วิธีการไหนมาอยู่ตรงหว่างคิ้วของข้า?” เขายื่นมือชี้ตรงหว่างคิ้วตัวเอง
อวิ๋นจือชิวชะงักไปชั่วครู่ แล้วถามว่า “เจ้าหมายถึงช่องว่างตรงนั้นน่ะเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ “ตอนนั้นปีศาจหอยโจมตีข้า อยากจะเอาชนะข้าให้ได้ แต่ข้ารวบรวมสมาธิต่อต้านเขา ความเปลี่ยนแปลงที่เขาสร้างไว้บนตัวข้า ข้ารู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ตอนนั้นพลังอิทธิฤทธิ์ของเขามีไม่ครบแล้ว หลังจากโจมตีไปหนึ่งครั้ง พลังอิทธิฤทธิ์ก็ค่อนข้างมีจำกัด ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย แต่เขากลับสามารถอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอสร้างช่องว่างในร่างกายข้าได้ เป็นพวกที่มีศักยภาพไม่ธรรมดา ทำเรื่องยากได้อย่างสบายๆ ขั้นตอนและวิธีการที่เขาสร้างช่องว่างตรงหว่างคิ้วข้า ข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจน จำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น เจอบทเรียนกับตัวชัดเจนขนาดนี้ ทำให้ข้าตระหนักอะไรได้แล้ว”
…………………………