พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1166 บงกชรุ้งแล้วยังไง
“ทิศทางไม่คลาดเคลื่อน กำลังมาทางนี้ คาดว่าอีกไม่นานก็จะถึงแล้ว”
บนดาวขรถขระดวงหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ อวิ๋นอ้าวเทียนเก็บระฆังดาราแล้วหันมาบอกสหายร่วมปล้นทั้งสี่คน
และนี่ก็เป็นข้อความสุดท้ายเช่นกัน เมื่ออวิ๋นเซี่ยวส่งข้อความมา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครส่งข่าวมาแล้ว คนที่ดักซุ่มอยู่ตลอดทางรายงานข่าวเสร็จแล้วจากไปล่วงหน้า ไปยังจุดรวมตัวที่กำหนดไว้
จีฮวนพยักหน้า แล้วเอียงหน้าบอกซือถูเซี่ยวว่า “ผีเฒ่า ต้องพึ่งเจ้าแล้ว ต้องให้แพ้เท่านั้น ห้ามให้ชนะ ล่อคนมาทางนี้ ทุกคนอย่าสู้แบบอาลัยอาวรณ์ ให้รีบสู้รีบจบ พยายามอย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสเผยไพ่ลับ ล้อมสังหารในรวดเดียว อย่าให้พวกเขามีโอกาสส่งข้อความขอความช่วยเหลือ แบบนี้จะทำให้พวกเรามีเวลาเพียงพอในการหนีเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย”
ซือถูเซี่ยวไม่ตอบอะไร เขาที่เดิมที่สวมหน้ากากอยู่แล้วดึงหมวกไอ้โม่งมาปิดบังใบหน้าอีก สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายสีดำทั้งตัว แต่งตัวตามแบบฉบับโจร
คนอื่นๆ ก็แต่งตัวแบบนี้เหมือนกัน แม้แต่อวิ๋นอ้าวเทียนก็เลิกแต่งตัวแบบเปิดเผยแล้ว ล้วนใส่เสื้อผ้าสีดำแบบเรียบง่าย สวมหมวกไอ้โม่งสีดำ ดวงตาสองข้างที่โผล่ออกมาสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นทั้งสี่ก็แยกย้ายกันไปรอบๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์แยกแผ่นดินมุดเข้าไปโดยตรง
ซือถูเซี่ยวที่อยู่ลำพังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินไปด้านหลังหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ โผล่ร่างกายออกมาครึ่งเดียว จ้องสำรวจทิศทางที่คาดการณ์ไว้
หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วยาม ในที่สุดเงาร่างของเก้าคนเป้าหมายก็ปรากฏอยู่ในท้องฟ้าไกลๆ ซือถูเซี่ยวยกเท้าร่ายอิทธิฤทธิ์กระทืบพื้นดิน ส่งสัญญาณให้อีกสี่คนเตรียมตัว
รอจนกระทั่งตอนที่เป้าหมายใกล้จะถึง ซือถูเซี่ยวก็ถลันตัวพุ่งออกมา มาสกัดอยู่กลางท้องฟ้าในแนวขวาง ยืนกอดอกลอยอยู่บนท้องฟ้า ขวางทางคนกลุ่มนี้อย่างชัดเจน
เมื่อเก้าคนที่มาเห็นว่ามีคนคลุมหน้ามาขวางทางกะทันหัน พวกหลี่ตงเหมี่ยวที่นำหน้าก็สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสามเงยหน้าพร้อมกัน กดข่มความเร็วของคนที่เหาะอยู่ด้านหลัง ผ่อนความเร็วเพื่อเหาะไปข้างหน้าพร้อมกัน
ตอนที่ทั้งสองฝ่ายเจอกันในระยะที่ไม่ไกลกันนัก ก้าคนนั้นก็หยุดอยู่กับที่พร้อมกัน คุมเชิงอยู่กับซือถูเซี่ยว หลี่ตงเหมี่ยวร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนถามว่า “ใครกันมาทำตัวลิงหลอกเจ้าอยู่ตรงนี้?”
“ถนนนี้ข้าบุกเบิก ต้นไม้นี้ข้าปลูกเอง ถ้าอยากจะผ่านเส้นทางนี้ ก็ทิ้งเงินค่าผ่านทางเอาไว้!” ซือถูเซี่ยวที่กำลังยืนกอดอกน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแหบพร่า
ที่แท้ก็เป็นโจรนี้เอง ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าปล้นผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามของตำหนักสวรรค์ คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ
“ที่นี่ไม่มีถนนไม่มีต้นไม้ เจ้าเวรนี่สมองมีปัญหาแล้วมั้ง ขนาดพูดจาให้รู้เรื่องยังทำไม่ได้เลย!” กัวเฉิงซิ่วมองเพื่อร่วมงานแล้วหัวเราะใส่
หลี่ตงเหมี่ยนแสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา ปล้นกลางทางจนมาเจอพวกเราแล้ว รู้รึเปล่าว่าพวกเราเป็นใคร?”
“สนใจทำไมว่าพวกเจ้าเป็นใคร ทิ้งของบนตัวเจ้าเอาไว้ แล้วปู่คนนี้จะปล่อยให้พวกเจ้าผ่านไป!” ซือถูเซี่ยวกล่าว
“บังอาจ! ผู้บัญชาการใหญ่ของตำหนักสวรรค์ทั้งสามคนอยู่นี่แล้ว ยังกล้ากำเริบเสิบสานอีก!” ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังหลี่ตงเหมี่ยวตะคอก
“ขู่ข้าเหรอ?” ซือถูเซี่ยวพูดเหยียดหยามว่า “บิดาของพวกเจ้าอยู่นี่แล้ว ถ้าเด็กๆ ยังไม่เชื่อฟัง ไม่ยอมส่งของมาให้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ!”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทั้งเก้าคนก็ทำสีหน้าดุร้ายทันที กล้าอ้างตนเป็นพ่อของพวกเขา
พอหลี่ตงเหมี่ยวโบกมือ ก็มีหมอกสีทองพ่นขึ้นมาบนร่างกายทันที เมื่อเกราะรบของทหารเลวหกแถบปรากฏวิบวับอยู่บนร่างกาย เจ้าตัวก็แสยะยิ้มถามว่า “ตอนนี้เชื่อรึยัง? มายอมให้จับแต่โดยดี แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ซือถูเซี่ยวทำท่าทางตกตะลึงเหมือนเห็นผี เรียกได้ว่าหันหน้าแล้วหนีทันที
จั่วอิงกงเอามือกดแขนหลี่ตงเหมี่ยวที่ทำท่าจะตามไป “คนคนนี้เห็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าตรงหว่างคิ้วของเจ้าแล้วยังกล้ากำเริบเสิบสาน จะต้องมีที่พึ่งแน่นอน พี่หลี่ระวังว่าจะมีอุบาย!”
“ลองดูเดี๋ยวก็รู้!” หลี่ตงเหมี่ยวสะบัดแขนเขาออก แล้วชูดาบยาวถลันตัวไล่ตามไป
คนอื่นๆ สวมเราะรบและตามไปในทันที จั่วอิงกงกับกัวเฉิงซิ่วสบตากันแวบหนึ่ง แล้วนำคนตามไปเช่นกัน
“โจรชั่วอย่าหนีนะ!” หลี่ตงเหมี่ยวพลันตะคอก
วรยุทธ์ของซือถูเซี่ยวกับหลี่ตงเหมี่ยวต่างกันเกินไปจริงๆ ถึงแม้จะหนีนำหน้ามาก้าวหนึ่ง แต่ก็ยังถูกไล่ตามทันไวมากอยู่ดี
เมื่อเห็นสถานการณ์ล่อแหลม ซือถูเซี่ยวที่กำลังหลบหนีก็พลันปรบมือสองครั้ง ทำให้มีปราณหยินลอยวนเวียนในชั่วพริบตาเดียว ทั้งร่างหมุนวนอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน เห็นเงาคนพุ่งออกมาคนแล้วคนเล่า สุดท้ายตัวเขาก็ดีดหายไปเช่นกัน
หลี่ตงเหมี่ยวที่ตามมาติดๆ อึ้งไปชั่วขณะ ตรงหน้ามีโจรสิบคนที่สภาพเหมือนกันจนแยกไม่ออกไว้ใครตัวจริงใครตัวปลอม ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะไล่ตามคนไหนดี สองคนที่ตามอยู่ข้างหลังก็งุนงงเช่นกัน
ยังไม่ต้องสนใจอะไรมากขนาดนั้น หลี่ตงเหมี่ยวที่ตามทันฟันดาบเข้าไปอย่างรวดเร็ว ปั้ง! โจรคนหนึ่งระเบิดกลายเป็นหมอกหยินสลายหายไปภายใต้ดาบของเขา
“ไล่ตามหนึ่งคนต่อหนึ่งคน!” หลี่ตงเหมี่ยวตะโกนสั่ง เขาเองก็ไล่สังหารคนคนหนึ่งไป ลูกน้องสองคนก็แยกกันไล่ตามแบบหนึ่งต่อหนึ่งเช่นกัน
“มิน่าล่ะถึงกล้าปล้นที่นี่ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ พี่จั่ว มาร่วมมือกันเถอะ อย่าให้เขาหนีไป ไม่อย่างนั้นหลี่ตงเหมี่ยวจะเสียหน้า!” กัวเฉิงซิ่วที่ตามมาดูการต่อสู้อยู่ข้างหลังเอียงหน้าบอก
จั่วอิงกงพยักหน้า สองคนนั้นโบกมือทันที พาลูกน้องที่สวมเกราะรบไล่ตามไปเช่นกัน ล้อมปราบร่างที่แยกเป็นหลายร่าง
เคล็ดวิชาของซือถูเซี่ยวแปลกประหลาดจริงๆ ความเร็วสู้อีกฝ่ายไม่ได้ เห็นอยู่ตำตาหลายครั้งว่าโดนตามทันแล้ว แต่กลับอาศัยวิชาแยกร่างจนรอดพ้นวงล้อมไปครั้งแล้วครั้งเล่า จะเห็นได้ว่าการที่พวกจีฮวให้เขามาล่อศัตรูก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ภายใต้การล้อมปราบของคนเก้าคน ร่างแยกของซือถูเซี่ยวถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ที่จริงเขาก็มีวิธีร่ายอิทธิฤทธิ์แยกร่างให้ได้หลายร่างกว่านี้ แต่ดันแยกออกมาเก้าร่างเพื่อให้คนเก้าคนนี้ไปทำลาย สุดท้ายก็ทำท่าเหมือนหนีไม่พ้น อับจนหนทางจนหนีไปอยู่บนดาวดวงนั้น พอเหยียบลงพื้นก็ชูมือสองข้างพร้อมตะโกนทันที “ยอมแพ้! อย่าโจมตี ข้ายอมให้จับตัวแต่โดยดี!”
ขณะที่เหยียบลงพื้น พื้นดินก็ถูกเขาทำให้สะเทือนจนเป็นรอยแยกเหมือนใยแมงมุม
ผู้ติดตามหกคนถลันตัวเข้ามาล้อมเขาไว้ทันที มีคนโยนเชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งออกมาแล้ว มัดซือถูเซี่ยวเอาไว้ตรงนั้น
พอดาบและทวนหลายด้ามกดจ่ออยู่บนร่างกายของซือถูเซี่ยว ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสามถึงได้เหยียบลงพื้นอย่างสงบใจ
หลี่ตงเหมี่ยวแสยะยิ้ม ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง รอบข้างก็พลันมีเสียงระเบิด “บึ้ม” จั่วอิงกงตกตะลึงพรึงเพริด อุทานอย่างร้อนใจว่า “ท่าไม่ดีแล้ว โดนกับดัก!”
หกคนที่กำลังใช้อาวุธจ่อบนตัวซือถูเซี่ยว พอได้ยินแบบนั้นก็ต้องการจะกำจัดซือถูเซี่ยวทิ้งก่อน ทั้งดายทั้งทวนแทบจะแทงเข้าไปในร่างของซือถูเซี่ยวพร้อมกัน
ปั้ง! หมอกหยินระเบิดออก หกคนนั้นสังหารร่างที่แยกออกมา เชือกมัดเซียนก็ก็มัดความว่างเปล่าเช่นกัน ตกลงบนพื้นแล้ว ไม่รู้แล้วว่าซือถูเซี่ยวหายไปไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะหายไปในอากาศ
ทั้งหกคนงงงันประหลาดใจ
หลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกง กัวเฉิงซิ่วตกใจกับความเคลื่อนไหวรอบข้าง ขณะกำลังรีบกวาดมองไปรอบๆ ก็เห็นคนโพกหน้าสี่คนพุ่งเข้ามา ทันใดนั้นก็ตกตะลึงอีกครั้ง พวกเขาพลันก้มหน้ามอง พบว่ามีคนฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสามเสียสมาธิมองไปรอบๆ แอบใช้โซ่ที่ทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์สามเส้นมัดบนเท้าของพวกเขาแล้ว
ตอนนี้ทั้งสามถึงได้พบว่าตัวเองติดกับดักร้ายอย่างต่อเนื่องกัน!
ทั้งสามก็ไม่เล่นๆ เหมือนกัน รีบร่วมมือกันฝ่าวงล้อมพุ่งขึ้นฟ้า
บึ้ม! ผิวเดินระเบิดออก ทั้งสามอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ดึงซือถูเซี่ยวที่หลบอยู่ใต้ดินขึ้นมาต่อหน้าต่อตา
ซือถูเซี่ยวคนเดียวจะดึงทั้งสามคนไหวได้อย่างไรกัน แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญหรอก กลัวก็แต่ทั้งสามที่วรยุทธ์สูงเกินไปจะหนีไปได้ บทบาทหน้าที่ของเขาก็คือทำให้พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกัน ถ่วงเวลาพวกเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขาหนีขึ้นมา ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันไม่ให้หนีรอดไปเหมือนปลาหลุดแห ส่วนเรื่องกำจัดสามคนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวล
ประสบการณ์เข่นฆ่าสู้รบของห้าปราชญ์ก็เรียกได้ว่าโชกโชน ในหมู่ ‘สหายโจร’ ต่างก็รู้จักกันค่อยข้างดี
ตอนที่ซือถูเซี่ยวถูกดึงขึ้นมาเหนือพื้นดิน จีฮวนที่พุ่งเข้ามาก็ระเบิดหมอกปีศาจบนร่างกาย แล้วก่อตัวกลายเป็นหัตถ์ปีศาจหลายสิบข้างอย่างรวดเร็ว มันยาวขึ้นราวกับกรงเล็บมารปีศาจ โจมตีไปยังผู้ติดตามหกคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง ซือถูเซี่ยวที่ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นจะได้ไม่ถูกหกคนนี้โจมตี
ส่วนฉางเหลยก็พุ่งเข้ามาจากข้างหน้าด้วยมือเปล่า พุ่งกายเนื้อเข้าใส่ทวนยาวของคนคนหนึ่งราวกับไม่สนความเป็นความตาย
คนคนนั้นตกตะลึงมาก ยังไม่เคยเห็นวิธีการต่อสู้ที่ไม่กลัวตายแบบนี้มาก่อน เสียบทวนเข้าไปในหน้าอกของฉางเหลยอย่างแรงแล้ว
ปรากฏว่าบนตัวฉางเหลยมีแขนโผล่ออกมาอีกข้างหนึ่ง ควงไม้ขักขระด้ามหนึ่งขึ้นมา ปั้ง! ทุบบนศีรษะของอีกฝ่ายอย่างแรง
คนที่โดนทุบจนกระอักเลือดยังนึกว่าตัวเองตาลาย เขาพบว่านี่มันเรื่องประหลาดอะไรกัน ทวนยาวของตัวเองแทงโดนหน้าอกของฉางเหลยแล้วชัดๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกดึงอยู่ในมืออีกข้างของฉางเหลย พอไม้ขักขระในมือฉางเหลยหมุน ปลายไม้ที่เป็นกรวดแหลมก็กวาดตัดคอหอยของคนที่กระอักเลือดทันที
ฉางเหลยที่ถือไม้ขักขระหมุนตัวสังหารไปที่อีกคน ราวกับเป็นเทพสังหารจริงๆ ถ้าไม่เห็นตัวจริง ใครจะไปคิดว่านี่คือพระที่ออกบวช
เหมือนจะช้าแต่เวลาผ่านไปเร็วมาก ซือถูเซี่ยวที่ถูกดึงขึ้นมาจากพื้นดินไม่ใช่วรยุทธ์ปะทะกับพวกหลี่ตงเหมี่ยวตรงๆ เลย ถ้าสู้ก็ไม่ชนะด้วย เขาสะบัดมือโยนโซ่ในมืออกมา
มู่ฝานจวินที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วยื่นมือรับ พอหมุนแขนโซ่ก็พันอยู่บนแขนตัวเอง โดนสามคนนั้นดึงขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง
พวกหลี่ตงเหมี่ยวรีบเรียกอาวุธผลึกแดงออกมา แล้วฟันไปที่โซ่ใต้เท้าอย่างบ้าคลั่ง
มู่ฝานจวินที่อยู่ข้างล่างทำสายตาตาดุดันทันที พอสะบัดแขนหนึ่งครั้ง อัสนีบาตหลายสายก็ฟาดขึ้นไป เห็นกระแสไฟฟ้าบนแขนมู่ฝานจวินแยกเป็นสามสายเลื้อยขึ้นตามโซ่ทันที
“เอื้อ…” สามคนที่เปลี่ยนมาใช้อาวุธผลึกแดงฟันโซ่ใต้เท้าร้องครางออกมา ร่างกายสั่นเทิ้มอยู่กลางอากาศ
ทั้งร่างมู่ฝานจวินมีอัสนีบาตกะพริบแสงไม่หยุด ดึงโซ่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นอวิ๋นอ้าวเทียนถือดาบใหญ่โลหิตสังหารเข้ามา นางถึงได้เก็บอัสนีบาตบนตัว
เห็นอวิ๋นอ้าวเทียนโบกดาบฟันต่อเนื่องกันหลายครั้งอยู่กลางอากาศ
ฉึกๆๆ ศีรษะสามใบของหลี่ตงเหมี่ยว จั่วอิงกง กัวเฉิงซิ่วกระเด็นขึ้นมา ในดวงตาฉายแววหวาดผวา เหมือนต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะมาตายที่นี่
ทั้งสามยังไม่ทันได้ประมือกับอีกฝ่ายก็ตายเสียแล้ว ในแววตาหวาดผวาของศีรษะสามใบฉายแววคับแค้นรางๆ ตายอย่างไม่เป็นธรรม!
“บังอาจ!” ในดาราจักรพลันมีเสียงตะโกนดังมา
ทั้งห้าคนแบ่งสมาธิหันไปมอง ทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด เห็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งชกหมัดคลั่งออกมากลางอากาศหนึ่งที
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจูเชียนซือที่มาต้อนรับนั่นเอง!
พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดออก ปฏิกิริยาแรกของทั้งห้าคือหนีกระเจิดกระเจิงอย่างรวดเร็ว
บึ้ม! ราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ตรงกึ่งกลางดวงดาวที่ขรุขระเกิดเป็นหลุมลึกรอยหมัด
บึ้ม! มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง อานุภาพของหมัดนั้นเจาะทะลุดวงดาวขรุขระดวงนี้ไปแล้ว ด้านหลังดวงดาวระเบิดฝุ่นดินออกมาจำนวนมาก ดาวดวงหนึ่งที่มีขนาดเส้นรอบวงหลายสิบลี้ถูกจูเชียนซือชกจนทะลุแล้ว ตรงกลางปรากฎช่องว่างขนาดใหญ่ จะเห็นได้ว่าพลังเข้มแข็งกล้าแกร่งขนาดไหน
ในนาทีถัดมา จูเชียนซือไล่สังหารตามมาแล้ว มู่ฝานจวินเป็นคนแรกที่เขาพุ่งเข้าใส่
ภายใต้ความวิตกกังวล มู่ฝานจวินโบกมือกวาดโซ่ที่ล่ามศพไร้หัวสามศพออกมา
จูเชียนซือที่พุ่งเข้ามาช้อนจับโซ่เอาไว้ พอสะบัดหลังมือ โซ่ก็กระเพื่อมออกมาราวกับระลอกคลื่น
พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ มู่ฝานจวินจะปล่อยมือหนีไปก็ไม่ทันแล้ว ถูกโซ่ที่กระเพื่อมกลับมาฟาดโดนแผ่นหลัง ปั้ง!
อั้ก! มู่ฝานจวินกระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ชุดสีดำรวมกับหน้ากากระเบิดออกปลิวว่อนกระจัดกระจายราวกับผีเสื้อ เกราะรบผลึกทองบริสุทธิ์ที่อยู่ในนั้นทนการโจมไม่ไหวแม้เพียงครั้งเดียว มันพังทลายกลายเป็นฝุ่นสีทอง ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นออกไป
ในบรรดาคนสี่คนที่หนีกระจัดกระจาย อวิ๋นอ้าวเทียนหันกลับมามองแวบหนึ่ง ในดวงตาแดงก่ำเป็นสีเลือดจางๆ ปราณมารบนร่างกายลอยวนเวียน ตอกเสียงดุดันว่า “ถ้าแยกกันไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น ถ้าเขาไม่ตายพวกเราก็ตาย บงกชรุ้งแล้วยังไงวะ ร่วมมือกันฆ่าเขา!”
…………………………