พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1169 จำนวนไม่ถูกต้อง
การต่อสู้ครั้งนี้เหมือนจะใช้เวลานาน แต่ที่จริงเวลาประมือกันผ่านไปเร็วมาก
การรายงานข่าวก่อนตายของของหลี่ตงเหมี่ยวได้สะเทือนถึงตลาดสวรรค์ดาวหนานจื่อแล้ว
คนที่ได้รับข้อความขอความช่วยเหลือคือรองผู้บัญชาการของหลี่ตงเหมี่ยว รอจนกระทั่งเขารู้ตัวและหยิบระฆังดาราออกมา คนที่รายงานข่าวก็ถูกอวิ๋นอ้าวเทียนพบแล้ว ข้อความขอความช่วยเหลือที่รองผู้บัญชาการคนนั้นได้รับมีเพียง : ช่วยด้วย ใกล้จะ…
จากนั้นคนที่ส่งข้อความไปก็โดนอวิ๋นอ้าวเทียนฆ่าแล้ว ไม่มีข้อความตอนท้ายแล้ว
รองผู้บัญชาการรู้ว่าคนที่ส่งข่าวมาออกไปพร้อมผู้บัญชาการใหญ่ พอได้ยินข่าวแล้วตกใจมาก จึงรีบติดต่อหลี่ตงเหมี่ยว ปรากฏว่าหลี่ตงเหมี่ยวไม่ตอบอะไร เมื่อเชื่อมโยงกับข้อความขอความช่วยเหลือ ก็เดาได้ไม่ยากว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
รองผู้บัญชาการรีบขอเข้าพบท่านหัวหน้าภาคเพื่อรายงานสถานการณ์ ท่านแม่ทัพภาครู้จักเฮยกว่าฟู่เช่นกัน ทุกปีที่ถึงเวลาตกปลาสายรุ้งดิน เฮยกว่าฟู่ก็จะนำมาแสดงน้ำใจ ดาวหนานจื่อหัวหน้าภาคย่อมรีบติดต่อกับเฮยกว่าฟู่ เล่าข่าวที่ได้รับรายงานให้ฟัง แล้วถามว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่?
เฮยกว่าฟู่ยังสงสัยนิดหน่อย รอจนนางนำระฆังดารามาติดต่อจูเชียนซือลูกชายตัวเองแล้วไม่มีการตอบกลับ นางถึงได้กลัวขึ้นมา รีบเหาะฝ่าชั้นบรรยากาศ สำรวจหาตลอดทาง
ดวงดาวขรุขระที่ถูกจูเชียนซือโจมตีจนเป็นโพรงนั่นชัดเจนเกินไปแล้ว
เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ เฮยกว่าฟู่ก็เห็นศพของผู้ติดตามหกคน เห็นศพไร้ศีรษะของพวกหลี่ตงเหมี่ยว แล้วก็เห็นลูกชายตัวเองนใสภาพที่ยับเยินจนทนมองไม่ได้ลอยเงียบๆ อยู่กลางอากาศ สิ่งของบนร่างกายถูกปล้นไปหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น
“อ๊า…” เฮยกว่าฟู่ที่ส่ายหัวจนผมยุ่งกระเซิงคำรามกรีดร้องอย่างเศร้าโศก
ทว่าผู้ร้ายหนีไปแล้ว มองไปยังจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลรอบ ใครจะไปรู้ว่าผู้ร้ายที่ไหนยังทิศทางไหน…
หลังจากนั้นหนึ่งวัน จวนจอมพลสายมะเมีย
นอกประตูใหญ่ของตำหนักหลักที่กว้างใหญ่และมีบรรยากาศเป็นมงคล ชายวัยกลางคนไว้หนวดที่ใบหน้างามดุจหยกสวมชุดคลุมยาวสีเงินยินอยู่ เขาเอามือไขว้หลังยืนอยู่บนบันไดหิน กำลังทอดสายตามองไปไกลๆ คนคนนี้ก็คือหวงฮ่าว จอมพลสายมะเมีย หนึ่งในจอมพลสิบสองสายของตำหนักสวรรค์!
ตรงด้านหลังของเขา ชายชราชุดขาวคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ฟ้องร้องเรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนถูกปล้นฆ่าอยู่ในอาณาเขตอย่างเศร้าโศก พูดจบก็ตบปากตัวเองสองที “บ่าวชราสอนหลานไม่ดี! ล้วนเป็นความผิดของบ่าวชรา!”
เขาก็คือหลี่ตงหลี่จวิน ปู่ของเหมี่ยว เป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายหวงฮ่าวเช่นกัน เป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนจอมพล
เขารู้อย่างลึกซึ้ง ว่าการตายของหลานชายตัวเองไม่ได้สำคัญอะไร ถ้าหลานชายตัวเองตายคนเดียวก็จะจัดการง่าย แต่ดันไม่ตายดี ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่มาจากจวนจอมพลดันตายพร้อมกันรวดเดียวสามคน ครั้งนี้จะต้องวุ่นวายจนรู้กันทั้งแดนฝึกตนแน่นอน คนทั้งใต้หล้าต่างก็รู้จักตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถ้าเป็นคนที่ไม่มีเส้นสายไม่มีคนหนุนหลัง ก็ไม่มีทางขึ้นนั่งในตำแหน่งที่มั่งคั่งนี้ได้เลย ทว่าเรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แต่กลับประกาศออกมาอย่างเปิดเผยไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ที่ตายรวดเดียวสามคนจะมาจากจวนจอมพลสายมะเมียทั้งหมด ทั้งยังไม่ได้ตายในหน้าที่ด้วย แต่ตายในระหว่างทางที่ไปจัดการธุระส่วนตัวข้างนอก นี่มันคุณสมบัติแบบไหนกัน?เท่ากับเป็นผลักหวงฮ่าวไปสู่วิพากษ์วิจารณ์อันดุเดือดในรวดเดียว!
เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าใครกันที่ทำแบบนี้ คนที่กล้าแตะต้องขุนนางของตำหนักสวรรค์ เดิมทีก็มีไม่เยอะอยู่แล้ว แต่ใครๆ ก็รู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เป็นคนที่มีเส้นสายและภูมิหลัง ตำแหน่งระดับนี้ไม่มีอำนาจบัญชาการกองทัพสักเท่าไร กำลังพลเบื้องล่างมีไม่เยอะ ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถอะไรมากมาย คนที่ครองตำแหน่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของชนชั้นสูงผู้มีอำนาจ โดยทั่วไปไม่มีใครกล้าแตะต้อง ไม่มีใครอยากสร้างปัญหาใหญ่ให้ตัวเอง
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า คนที่ผิดมาแล้ว!” หวงฮ่าวกล่าวเสียงเรียบ สายตาที่ฉายแววเย็นชาเหลือบต่ำลงเล็กน้อย
หลี่จวินที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเอียงหน้ามองตาม เห็นต้องตีนบันไดหยกที่สูงสิบกว่าจั้ง สตรีวัยกลางคนที่หน้าตางดงาม เรือนร่างอวบอัดกลมกลึงคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับสาวใช้หลายคน เป็นเซิ่งอวี้หวน ฮูหยินของจอมพลนั่นเอง
พอเดินมาถึงใต้เท้าหวงฮ่าว เซิ่งอวี้หวนก็ย่อเข่าคำนับด้วยเสียงชัดใส “นายท่าน!”
“ฮูหยินมีธุระอะไร?” หวงฮ่าวเอ่ยถามเสียงราบเรียบ
เซิ่งอวี้หวนยืนตัวตรงแล้วมองหลี่จวินที่กำลังคุกเข่า จากนั้นก็ย้ายสายตากลับมาบนตัวหวงฮ่าว แล้วกล่าวแสดงความกังวล “นายท่าน ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหลานชายของพ่อบ้านหลี่หรือคะ?”
“ข่าวสารเจ้าไวเชียวนะ งั้นเจ้ารู้ไหมว่าทำไมถึงเกิดเรื่องกับพวกเขา?” หวงฮ่าวถาม
“…” ภายใต้สายตากดดันที่เกือบจะเย็นเยียบของสามีตัวเอง ซิ่งอวี้หวนค่อนข้างอึดอัดและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางตอบโดยไม่กล้าสบตาตรงๆ “หม่อมฉันไม่แน่ใจค่ะ กำลังจะมาถามพอดี”
“ไม่แน่ใจ?” หวงฮ่าวแสยะยิ้ม แล้วจู่ๆ ฝ่ามือก็ฟาดออกมาหนึ่งฉาดด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
เพี้ยะ! ท่ามกลางเสียงดังชัดใส เซิ่งอวี้หวนล้มคว่ำอยู่บนบันได้ กลิ้งตกลงไป สาวใช้ที่ติดตามมาด้วยตกใจทันที รีบเข้าไปประคองนางแล้ว
เซิ่งอวี้หวนที่ลุกขึ้นยืนอีกครั้งกัดริมฝีปากพลางเอามือปิดหน้า
หวงฮ่าวเอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้า ก้าวลงบันไดทีละก้าว มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม ส่วนเซิ่งอวี้หวนก็ทำสีหน้าหวาดกลัว เดินถอยลงบันไดโดยจิตใต้สำนึก
จนกระทั่งเข้าใกล้ตรงหน้านาง หวงฮ่าวก็โน้มตรงเล็กน้อยพร้อมมองต่ำ “ถ้าเจ้าเว้นกินสักหน่อยแล้วจะตายหรือไง? ชอบกินนั้นไม่ผิดหรอก ข้าเองก็ไม่คัดค้าน เจ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นที่อยากกินแล้วเหรอ? แต่ข้าเคยบอกกับเจ้าไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ตำแหน่งฐานะของเจ้าก็เห็นๆ กันอยู่ ทุกคนกำลังดูอยู่นะ! ถ้าอยากกินอะไรก็ให้บ่าวรับใช้ในบ้านไปทำสิ ขุนนางของตำหนักสวรรค์ไม่ใช่คนวิ่งเต้นทำงานส่วนตัวของเจ้า หูเจ้าหายไปไหนแล้ว?”
เมื่อเห็นเขาเดือดดาลแล้วจริงๆ เซิ่งอวี้หวนก็คุกเข่าบนบันไดทันที “หม่อมฉันยอมรับผิดแล้ว!”
“ยอมรับผิดก็ดีแล้ว ทหาร!” หวงฮ่าวยืนตัวตรง
“ขอรับ!” ทหารยามเกราะม่วงสองคนที่ยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนักทางซ้ายและขวาถลันตัวเข้ามา
หวงฮ่าวเหลือบตาลงมองเซิ่งอวี้หวนที่อยู่ใต้เท้า พร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “นำตัวฮูหยินไปขังในคุกใต้ดินหนึ่งร้อยปี ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามปล่อยนางให้ออกมาแม้แต่ก้าวเดียว!”
“รับทราบ!” หนึ่งในทหารยามเกราะม่วงสองคนดึงแขนข้างหนึ่งของเซิ่งอวี้หวนทันที ลากเดินออกไปโดยตรง
“นายท่าน!” เซิ่งอวี้หวนที่โดนลากตัวไปร้องวิงวอน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจอะไรทั้งนั้น
พ่อบ้านหลี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนบันไดอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาติดตามรับใช้อยู่ข้างกายจอมพลหวงมาหลายปี รู้อย่างลึกซึ้งว่าลงโทษฮูหยินแบบนี้เพื่อให้ตำหนักสวรรค์ได้เห็น ไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ ทำแบบนี้อย่างมากฮูหยินก็สูญเสียอิสระหนึ่งร้อยปี ในคุกไม่มีใครกล้าปฏิบัติกับฮูหยินอย่างโหดร้ายทารุณ คิดเสียว่าไปฝึกตนอยู่ในคุกก็แล้วกัน
“พ่อบ้านหลี่!” หวงฮ่าวเอียงหน้าเรียก
หลี่จวินที่กำลังคุกเข่าถลันตัวเข้ามาเอ่ยรับคำสั่งทันที
หวงฮ่าวกล่าวเสียงต่ำว่า “เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ผู้ร้ายยังหนีไปได้ไม่ไกล ข้าอยากจะเห็นว่าใครกันที่กล้าจงใจพุ่งเป้ามาที่ข้า! ถ่ายทอดคำสั่งไปให้เทพประจำดาวทั้งสามของมะเมียฟ้า มะเมียดิน มะเมียค ให้ปิดทางเข้าออกประตูดวงดาวทั้งหมดภายในอาณาเขตสายมะเมีย แล้วสอบสวนคนที่เข้าออกทุกคนอย่างเข้มงวด สั่งให้ท่านโหวทุกคน หัวหน้าภาคทุกคน แม่ทัพภาคทุกคน ผู้บัญชาการใหญ่ทุกคนรวมทั้งผู้บัญชาการใต้สังกัด นอกจากกำลังพลที่เฝ้ายาม นอกนั้นให้ตรวจสอบดาวเคราะห์ทุกดวงในอาณาเขตสายมะเมีย ไม่ต้องกลัวความยุ่งยาก กระจายกำลังตรวจตราบนท้องฟ้าให้ข้า ต่อให้เป็นนกตัวหนึ่งที่สีหน้าไม่ชอบมาพากลก็ต้องดักไว้ สั่งให้เทพแห่งภูผา เทพแห่งสายน้ำ เทพคงคา เทพแห่งผืนดินทั้งหมดในสายมะเมียตรวจสอบทุกคนในอาณาเขตที่น่าสงสัย สั่งให้เทพเจ้าเฝ้าประตู ผีหลักเมืองตรวจสอบทุกครัวเรือน ขอเพียงเจอนักพรตที่น่าสงสัย ก็ให้ตรวจสอบให้ข้าทันที สั่งทุกสำนักในสายมะเมียรวมทั้งนักพรตอิสระทั้งหมดที่ติดต่อกันให้ร่วมมือปฏิบัติการ แล้วติดต่อพระอาจารย์ของวัดใหญ่ต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือด้วย บอกพวกเขาไปว่า ขอเพียงเป็นคนที่ไม่มีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น ก็ให้จับตัวมาให้หมด ถ้ากล้าขัดขืนผู้ตรวจสอบ หรือปกป้องไม่ยอมรายงาน จะโดนลงโทษอย่างหนัก!”
“ขอรับ!” พ่อบ้านหลี่เอ่ยรับคำสั่ง ในใจรู้ว่าท่านจอมพลโมโหแล้วจริงๆ ครั้งนี้ระดมกำลังจำนวนมากจริงๆ แล้ว
ขระที่เขากำลังจะไปปฏิบัติตามคำสั่ง จู่ๆ ก็ได้ยินหวงฮ่าวบอกว่า “เตือนเทพประจำดาวมะเมียฟ้า มะเมียดิน มะเมียคนให้ข้าด้วย ถ้าครั้งนี้ใครกล้าหลอกตบตาข้า ข้าก็จะเอาจริงกับคนนั้น! ครั้งนี้ข้าต้องการคำอธิบาย!”
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ!” พ่อบ้านหลี่พยักหน้าแล้วเดินออกไป
ครั้งนี้เขาต้องปฏิบัติตามอย่างเข้มงวดเช่นกัน หลานชายของตัวเองตายแล้ว เขาเองก็อยากจับผู้ร้ายให้ได้
ที่ริมทะเลสาบสีดำ เงาคนสามคนเหาะลงมาจากท้องฟ้า ผู้ที่นำหน้ามาเป็นชายหนุ่มที่ตรงหว่างคิ้วมีลายงูสีดำ สวมเกราะรบของแม่ทัพใหญ่เกราะแดงหนึ่งแถบ ทางซ้ายและขวาเป็นทหารที่สวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วงห้าแถบ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหก
พอทหารสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาโบกมือ ทหารเลวเกราะทองหนึ่งพันคน ทหารสวรรค์เกราะดำสองพันคนก็ปรากฏตัว สามารถดูออกได้จากการสวมเกราะรบสีดำ ทหารสวรรค์เหล่านี้เป็นกำลังพลประจำการพร้อมรบของตำหนักสวรรค์ ในนั้นมองไม่เห็นทหารสวรรค์เกราะเงิน มีเพียงพวกทหารที่เฝ้าประตูตามตลาดสวรรค์เท่านั้นถึงจะสวมเกราะรบสีเงิน
เมื่อกำลังพลที่ดุร้ายน่าเกรงขามหลายพันคนปรากฏตัวบนท้องฟ้า เฮยกว่าฟู่ที่ปรากฏตัวอยู่ในป่าด้านล่างก็กลัวทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพโผล่มาด้วย สามารถใช้คนที่มีพลังระดับนี้ให้มาที่นี่ได้ เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้ามาที่นักพรตบงกชรุ้งอย่างนาง
“เจ้าคือเฮยกว่าฟู่เหรอ?” ชายหนุ่มที่สวมเกราะรบสีแดงกล่าวเสียงต่ำ
“ใช่!” เฮยกว่าฟู่ที่อยู่ข้างล่างกุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะไปบนฟ้า “เหตุใดทหารสวรรค์จึงมาที่นี่?”
แม่ทัพใหญ่เกราะแดงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “การตายของขุนนางตำหนักสวรรค์เกี่ยวข้องกับเจ้า เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ไปกับพวกเราสักรอบ”
เฮยกว่าฟู่อธิบายอย่างตระหนกว่า “ทหารสวรรค์ ข้าก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกัน สำหรับการตายของเหล่าขุนนางสวรรค์ ปีศาจต่ำต้อยผู้นี้ก็ไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน!”
“บังอาจฝ่าฝืนกฎ!” เสียงคำรามของแม่ทัพใหญ่เกราะแดงราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ พอกางนิ้วทั้งห้าตบลงไปด้านล่าง ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ฟ้าดินเกิดความผันผวน ภูเขาสะท้านแผ่นดินสะเทือน
ในที่สุดเฮยกว่าฟู่ที่ยืนตัวสั่นอยูด้านล่างก็ทนรับแรงกดดันอันหนักหน่วงไม่ได้ มวยผมพังสยาย คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังราวกับตีกลอง
แม่ทัพเกราะม่วงสองคนถลันตัวเข้าไป โยนเชือกมัดเซียนที่ทำจากผลึกแดงออกมา มัดเฮยกว่าฟู่เอาไว้ทันที หลังจากควบคุมนางได้ก็เก็บนางไปแล้ว
“ตรวจค้น!”
พอเอ่ยสั่ง ทหารสวรรค์สามพันคนก็เหยียบลงพื้นกระจายกันตรวจค้นทันที ปีศาจน้อยใหญ่ถูกจับไปสอบสวนหมด…
“พระเถระ เจ้าแอบซ่อนของไว้ส่วนตัวรึเปล่า?”
ในหลุมแอ่งของดวงดาวที่รกร้างดวงหนึ่ง ซือถูเซี่ยวตะคอกถามฉางเหลย
หลังจากเหาะมาเป็นเวลาสิบกว่าวัน โจรกลุ่มนี้ก็รู้สึกว่าปลอดภัยพอสมควรแล้ว จึงตัดสินใจจะแบ่งของโจรกัน ถึงได้เหาะมาเหยียบลงที่นี่
ระหว่างทางลูกศิษย์ของแต่ละคนก็ถูกรับตัวมาด้วยแล้ว ในเวลานี้ล้วนถูกปล่อยออกมาเดินเล่น อาการบาดเจ็บของมู่ฝานจวินก็ฟื้นตัวแล้วเช่นกัน คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกัน
เดิมทีการแบ่งทรัพย์ที่ปล้นมาคือเรื่องที่น่ายินดีสำหรับทุกคน ลำบากลำบานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในที่สุดผลตอบแทนก็มาถึงแล้ว
แต่นั่นไม่ถูก เพราะของที่ปล้นมาได้ไม่ตรงกับจำนวนที่ทุกคนจินตนาการไว้เลย
พระฉางเหลยที่ขาวอ้วนเถียงกลับทันที “ผีเฒ่า ทุกคนกำลังพูดถึงเจ้า เจ้าจะผลักมาให้ข้าทำไม? อาตมาเก็บของจากทหารยศเล็กไม่กี่คน ได้ของไม่เยอะก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนเก็บสมบัติของเป้าหมายหลักสามคน ทุกคนก็มองเห็นอยู่ตำตา หลอกลวงกันไม่ไหวหรอก ข้าจะบอกเจ้าให้นะ นี่คือสิ่งที่ทุกคนเสี่ยงชีวิตหามา ถ้าเจ้าอยากจะฮุบไว้คนเดียว ก็ต้องถามอีกสี่คนก่อนว่าตกลงรึเปล่า ถึงอย่างไรอาตมาก็เป็นคนแรกที่จะไม่ตอบตกลง”
“อย่ามองข้า! ข้าได้มาแค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าเม็ดเดียว!” จีฮวนโบกยาเจี๋ยตันสีทองวิบวับในมือให้ซือถูเซี่ยวที่กำลังมองมา
สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวซือถูเซี่ยวแล้ว ใบหน้าที่อยู่ข้างหลังหน้ากากปีกำลังทำสีหน้าอย่างไรก็ไม่รู้ สรุปว่าดวงตาฉายแววคับแค้นใจ กล่าวด้วยเสียงเย็นเยือกพิศวงว่า “มารดาเจ้าเถอะ พวกเจ้าถามหาคำอธิบายจากข้า แล้วจะให้ข้าไปขอคำอธิบายจากใครล่ะ?”
…………………………