พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1171 หนีรอดจากความตาย
เมื่อสามคนนี้ปรากฏตัว ก็ทำให้จอมมารที่เป็นจ้าวแห่งพิภพเล็กอย่างอวิ๋นอ้าวเทียนขนหัวลุกเหมือนกัน เป็นเพราะยามอยู่ต่อหน้านักพรตประเภทนี้ เขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะสู้สุดชีวิตด้วยซ้ำ
ที่โชคดีก็คือ แรงดึงมหาศาลกลุ่มหนึ่งมาเยือนในเวลาเดียวกัน
อวิ๋นอ้าวเทียนไม่จำเป็นต้องเดาก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นแรงดึงจากประตูดวงดาวที่อยู่ตรงหน้า เขาหันขวับกลับไปมอง แล้วพยายามใช้วรยุทธ์ทั้งหมดเร่ลงความเร็วพุ่งไปข้างหน้า ปีกทั้งคู่พลันรวบเก็บอยู่ข้างหลัง ขณะเดียวกันกระสวยเงินก็ระเบิดลำแสงออกมาครอบตัวเขาไว้ พาเขาหนีเข้าไปในประตูดวงดาวที่หมุนวนเป็นหลุมดำอย่างรวดเร็ว
“คิดจะหนีเหรอ?” หนึ่งในแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสามคนถามเหยียดหยามอย่างน่าตระหนก ยื่นกรงเล็บไปทางประตูดวงดาวตั้งแต่ไกลๆ
อวิ๋นอ้าวเทียนที่หนีเข้าประตูดวงดาวไปตกใจทันที ลำแสงที่หมุนวนครอบอยู่รอบกายสั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าจะพาเขาลอยถอยหลังกลับไป นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงความน่ากลัวของนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ในประตูดวงดาวที่มีแรงดึงมหาศาลขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยังสามารถใช้พลังกับเขาได้ผลอีก
ทว่าเขาก็ไหวตัวเร็วเช่นกัน ขณะที่กระสวยทองอันหนึ่งในมือระเบิดออก ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะร่ายอิทธิฤทธิ์โจมตีกระสวยเงินที่ปกป้องร่างกายจนแตกแล้ว เหมือนเป็นจั๊กจั่นที่หลุดออกจากเปลือก แล้วลำแสงที่สว่างตอนหลังก็ครอบตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว พาเขาเข้าสู่ความดำมืดไร้ที่สิ้นสุด นับว่ารอบพ้นภัยครั้งนี้ไปแล้ว หากชักช้ากว่านี้นิดเดียว เกรงว่าจะถูกประตูดวงดาวดึงจนร่างแลหกเป็นชิ้นๆ การรับมือเหตุไม่คาดคิดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ก็เพียงพอที่จะแสดงความสุขุมเยือกเย็นไร้ความลนลานของเขาได้แล้ว
“เฮ้อ! ไหวตัวได้ไม่ช้าเลย” คนที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ขยุ้มนิ้วมือดูดกลับมาได้เพียงลำแสงที่ระเบิดออก เหมือนขยุ้มกลับมาได้เพียงเปลือกเท่านั้น ขยุ้มคนกลับมาไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ เขาจึงโบกมือหนึ่งทีอย่างไม่ใส่ใจ ทำลายลำแสงกลุ่มนั้นเข้าในประตูดวงดาว
แม่ทัพใหญ่เกราะแดงสามคนไม่มีทางปล่อยอวิ๋นอ้าวเทียนไปเพียงเพราะเขาเข้าในประตูดวงดาวได้ เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ถึงแล้ว พวกเขาเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนรอบกาย แม้แต่กระสวยทองกับกระสวยเงินก็ไม่มีประโยชน์ ดันทุรังอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งตานทานแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาวพุ่งเข้าไป แข็งกร้าวดุดันมาก
เมื่อภาพตรงหน้าสว่าง อวิ๋นอ้าวเทียนที่พุ่งออกจากประตูดวงดาวก็ตกใจทันที ท่ามกลางลำแสงสีส้มขมุกขมัว เขาชนกับหินก้อนใหญ่ราวกับภูเขาเล็กๆ ที่กระแทกเข้ามาด้วยความเร็วจี๋ราวกับฝนดาวตก กระแทกเข้ามาอย่างรวดเร็วมาก
เดิมทีอวิ๋นอ้าวเทียนคิดจะถลันตัวหลบโดยพุ่งผ่านพื้นที่ว่างไปข้างหน้า แต่จู่ๆ ก็ตาเป็นประกาย เขาดันก้อนหินที่กระแทกเข้ามาจนตัวเองกระเด็นถอยหลัง แล้วใช้ดาบฟันจนเกิดเป็นช่องว่างในหิน ก่อนจะถลันร่างเข้าไปหลบในนั้น ปะปนไหลตามกระแสคลื่นอยู่ในก้อนหินที่วิ่งอยู่ในอวกาศราวกับพายุฝน
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ร่างของอวิ๋นอ้าวเทียนหดเข้าไปในก้อนหิน เงาคนสามคนพลันถูกพ่นออกมากลางอากาศ เมื่อเผชิญกับกระแสก้อนหินที่วิ่งอยู่ในอวกาศอย่างฉับพลันราวกับฝนตก สามคนที่ตกใจเล็กน้อยก็รีบโบกแขนเสื้อกวาด พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทำให้ฝนหินอวกาศที่พุ่งเข้ามาโจมตีเกิดเป็นคลื่นหินมโหฬารพันลึกอย่างฉับพลัน แล้วพวกเขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับขี่ลมฝ่าคลื่น…
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างหลังแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนที่หลบอยู่ในก้อนหินก็ยื่นตัวขึ้นมาหมอบอยู่บนก้อนหินแล้วแอบมองไปข้างหลังพักหนึ่ง เมื่อไม่เห็นความผิดปกติอะไร ก็รู้ว่าวิธีการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินของตนได้ผล แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไหวตัวเร็วเหมือนกัน
เขาไม่ได้หยุดอยู่กับที่นาน แต่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด รีบออกจากหินก้อนใหญ่ที่ใช้ซ่อนตัว กลิ้งไปมาอยู่ท่ามกลางหินระเกะระกะที่วิ่งเร็วราวกับฝนตก จนกระทั่งออกจากกลุ่มฝนหินอวกาศได้แล้ว เขาก็เปลี่ยนทิศทาง หนีไปยังจุดลึกของอวกาศอันกว้างใหไพศาลที่มีแสงสีรุ้งเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ แม่ทัพใหญ่เกราะแดงสามคนที่โจมตีฝนหินอวกาศอย่างบ้าคลั่งอยู่พักหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าตลอดทาง อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งพัดกระพือฝนหินอวกาศที่กระแทกเข้ามานับไม่ถ้วนออกไป หลังจากพุ่งออกจาก ‘เขตฝนตก’ พวกเขาก็ไม่เห็นเงาคนอยู่ในอวกาศอันกว้างใหญ่แล้ว เมื่อดูจากความเร็วของวรยุทธ์ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้
“ท่าไม่ดีแล้ว!” แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้าหันขวับกลับมา มองไปยังฝนหินอวกาศข้างหลังที่ผ่านมาตลอดทางไกลๆ แล้วโบกมือชี้
อีกสองคนเข้าใจความหมายที่เขาสื่อทันที ชั่วพริบตาเดียวทั้งสามก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ไล่ตามฝนหินอวกาศอีกครั้ง ร่วมมือกันร่ายอิทธิฤทธิ์บดจนฝนหินกลายเป็นฝุ่นผงตลอดทาง
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ฝนหินอวกาศที่ยาวเหยียดก็ถูกทั้งสามคนบดจนกลายเป็นฝุ่นผง ราวกับเมฆขาวลอบกระจายอยู่ในอวกาศ
สามคนที่พุ่งตัวมาเหยียบบนดาวดวงหนึ่งรีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองรอบข้างด้วยสีหน้าตึงเครียด จะเห็นเงาคนเสียที่ไหนกัน อวกาศกว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่ถ้าไม่รู้ทิศทางคร่าวๆ ที่ผู้ร้ายหลบหนี ต่อให้พวกเขาจะเร็วกว่านี้แต่ก็ไม่มีทางตามทัน
ผ่านไปเร็วมาก มีฝนหินอวกาศอีกระลอกพุ่งจากจุดใกล้ๆ ผ่านไป
“ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยเขาหนีไปได้!” แม่ทัพใหญ่ที่นำหน้ามาสีหน้ามืดครึ้มราวกับน้ำฝนจะหยดออกมา
อีกสองคนก็สีหน้าแย่เช่นกัน นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามคนร่วมมือกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้เขาหนีไปได้แล้ว ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปคงกลายเป็นที่หัวเราะเยาะ
หนึ่งในนั้นหัวเราะอย่างเดือดดาล “ไอ้ตัวดี! ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดตัวไปได้ตอนอยู่ใต้หนังตาพวกเรา มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ พอหลุดออกจากประตูดวงดาว ก็ใช้ฝนหินซ่อนตัว ฉวยโอกาสหนีไปซะแล้ว แค่ความใจเย็นในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินต่อเนื่องกันแบบนี้ ก็รู้แล้วว่านักพรตบงกชทองทั่วไปเทียบไม่ติด ไม่แปลกใจที่กล้ามาปล้นฆ่าขุนนางตำหนักสวรรค์!”
อีกคนหนึ่งถามว่า “พวกเจ้าไม่รู้สึกเหรอว่าปีกที่หลังเจ้าเวรนั่นมันดูคุ้นๆ?”
พอเขาพูดเตือน อีกสองคนก็เอียงหน้ามองมา ทั้งสามจ้องมองกัน ก่อนจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน!”
“จอมมารเฒ่านั่นตายไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานจะไร้การถ่ายทอดเสมอไป!”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกเรื่องนี้กัน เขาหนีไปได้ไม่ไหล ถ้าจับตัวได้ก็ย่อมรู้อะไรชัดเจนเอง สั่งให้กองกำลังที่อยู่แถวนี้มารวมตัวกันกระจายกำลังค้นหาบริเวณนี้ ข้าจะคอยดูว่าเขาจะหนีไปไหนได้!” แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็ใช่ ข้าก็อยากจะเห็นว่าเจ้าเวรนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร!” คนทางซ้ายพยักหน้าพูด แล้วหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดูตำแหน่ง จะได้แจ้งให้กำลังพลของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบได้ทันเวลา ใครจะคิดว่าหลังจากดูแผนที่ดาวไปได้ครู่เดียว เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว เอาแต่นิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น
เพื่อนรวมงานอีกสองคนมองออกถึงความผิดปกติของเขาทันที แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้าถามว่า “มัวชักช้าอะไร? ยังไม่รีบทำเวลาอีก?”
คนคนนั้นเงยหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ แล้วจู่ๆ ก็อุทานว่า “แดนอเวจี!”
“อะไรนะ?” อีกสองคนขมวดคิ้วถาม
เขาย้ำอีกครั้งว่า “พวกเราอยู่ที่แดนอเวจี พวกเรามาถึงนรกแล้ว!”
“พูดเหลวไหลอะไรกัน ตำหนักสวรรค์ส่งคนเข้ามาปิดล้อมทางเข้าออกนรกตั้งนานแล้ว!”
“หรือว่าแผนที่ดาวของพวกเรามีปัญหา? บนแผนที่ดาวของข้าบอกว่าตัวพวกเราอยู่ที่แดนอเวจี นอกจากปากทางเข้าออกสองจุด อีกหลายจุดที่อยู่นอกภาพพิกัดดาวหลัก ข้าก็หาสัญลักษณ์อะไรไม่เจออีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเขาบอกแบบนี้ อีกสองคนก็รีบนำแผนที่ดาวของตัวเองออกมาตรวจดู หลังจากดูแล้วทั้งสองก็ทำสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนจะมองหน้ากันอย่างเงียบงัน
จากนั้นทั้งสามก็มองไปรอบๆ สีรุ้งที่เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้าในท้องฟ้าตรงหน้า หมอกดาวสีสันรูปร่างต่างๆ เปลี่ยนแปลงอยู่ในอวกาศอย่างไม่อาจคาดเดา บางครั้งก็เหมือนพายุฝนที่ผันผวนไม่แน่นอน บางครั้งก็เหมือนสัตว์ป่าดุร้าย… แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้ากล่าวอย่างตะลึงว่า “เหมือน!”
อีกสองคนเงียบไป หลายปีก่อนทั้งสามเคยมาที่แดนอเวจี พอมาดูตอนนี้ถึงได้พบว่าค่อนข้างคล้าย
หนึ่งในนั้นถามว่า “หรือว่าตำแหน่งที่พวกเราเข้ามาก่อนหน้านี้เป็นประตูดวงดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบ?”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้านำระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอกแล้ว…
หลังจากนั้นหลายวัน อวิ๋นอ้าวเทียนก็หยุดอยู่ตรงหน้าหมอกดาวอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง เขายื่นมือมาปิดหน้าอกของตัวเอง หน้าผากมีเหงื่อซึมทีละนิด มองดูหมอกดาวรูปลูกท้อตรงหน้าอย่างค่อนข้างตกตะลึง ถ้าจะพูดให้ถูกมันเหมือนหัวใจสีแดงขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของสีสันในหมอกดาวก็เหมือนกับหัวใจดวงหนึ่งที่กำลังเต้นหดขยาย
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ราวกับมีเสียงดังมาจากสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เป็นเสียงหัวใจเต้น ‘ตึกๆ’ หลังจากได้ยินเสียงนี้แล้ว หัวใจของตัวเองก็เริ่มเต้นตามจังหวะนี้ด้วยเหมือนกัน ความรู้สึกหวาดผวาทำให้เขาเหงื่อกาฬไหลอย่างรวดเร็ว
ยิ่งถลำไปข้างหน้า ปฏิกิริยาหัวใจเต้นก็ยิ่งดัง ความรู้สึกนี้ทำให้เขาทรมานมาก เขาไม่กล้าไปข้างหน้าต่อ รีบหันตัวหนีออกจากตรงนั้น
จนกระทั่งหลุดพ้นจากเสียงหัวใจเต้นที่ทำให้คนทรมานแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็พุ่งตัวไปยังดาวเคราะห์ที่มืดครึ้มดวงหนึ่ง หลังจากเหยียบลงพื้นถึงได้พบว่าลมหายใจกลับมาเป็นปกติ เขาถึงได้เก็บปีกสองข้าง แล้วก้มหน้ามองดูใต้เท้าของตัวเอง เห็นเพียงหนอนตัวยาวสีเทาขาวที่ยุ่บยั่บโผล่ออกมาจากดิน พวกมันไต่ขึ้นมาบนเท้าเขา เห็นได้ชัดว่าบางตัวอยากเจาะเข้าไปในรองเท้าของเขา เห็นแล้วน่าขยะแขยง
วูบ! ปราณมารกลุ่มหนึ่งพรั่งพรูออกมาจากใต้เท้า ชั่วพริบตาเดียวก็ระเบิดหนอนจำนวนนับไม่ถ้วนจนกลายเป็นของเหลว เมื่อมีปราณมารปกป้องกัน เขาถึงได้กวาดมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็โบกมือเรียกพวกมู่ฝานจวินออกมา
พอทั้งสีโผล่หน้าออกมา ก็มองไปรอบๆ ทันที จากนั้นก็รีบไล่หนอนที่อยู่ใต้เท้า
สุดท้ายก็เป็นจีฮวนที่รับมือได้อย่างยอดเยี่ยม พอปราณปีศาจบนตัวเขากรอกลงไปใต้ดิน ก็เห็นหนอนตัวยาวนับไม่ถ้วนที่โผล่ขึ้นมาจากดินในรัศมีหลายร้อยเมตรดิ้นพล่านหนีกระเจิงทันที เสร็จแล้วเขาถึงได้หันมาถามว่า “จอมมาร ต้องใช้เวลานานขนาดนี้เลยเหรอกว่าจะรอดตัว?”
“นานขนาดนี้? ข้าหนีรอดจากความตายมาได้ เกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว…” อวิ๋นอ้าวเทียนแสยะยิ้ม เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
นักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพามคนเหรอ? พวกเขาได้ฟังแล้วหวาดผวา ถึงปากจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกโชคดี ถ้าครั้งนี้ไม่มีอวิ๋นอ้าวเทียน เกรงว่าคงจะอนาถแน่
แต่ละคนหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดู เมื่อแน่ใจแล้วว่ามาถึงแดนอเวจี ซือถูเซี่ยวก็ถามว่า “มาถึงนรกแล้ว ต่อไปจะทำยังไงล่ะ?”
จีฮวนถามกลับว่า “คำทำนายส่วนแรกของเทพพยากรณ์ถูกพิสูจน์แล้ว แสดงว่าเขาพูดไว้ไม่ผิด เจ้าว่าตอนนี้ควรจะทำอย่างไรล่ะ? แน่นอนว่า ‘รออย่างเงียบงันอยู่ในกรง’ รอเงียบๆ อยู่ในนี้อย่างซื่อสัตย์จริงจังแล้วกัน! ขนาดผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ก็ไม่กล้าเข้ามาเพ่นพ่านในนี้ ถ้าพวกเราไปเพ่นพ่านจะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรอกเหเรอ!”
พวกเขามองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าพร้อมกัน ในท้องฟ้าที่มืดครึ้มเริ่มมีฟ้าร้องฟ้าผ่า ฝนเริ่มตกแล้ว…
เวลาทำนาประจำปีมาถึงอีกแล้ว เงาคนสองคนเหาะลงมาจากท้องฟ้า มาเหยียบลงข้างป่าผืนเล็กข้างคันนา สองคนที่เหยียบลงพื้นทอดสายตามองไปยังชายชุดเขียวครามรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่กำลังใช้แรงงาน
ในบรรดาสองคนที่กำลังมองอยู่ คนหนึ่งที่สีหน้าเย็นเยียบ ใบหน้าผอมยาวขาวหมดจด คลุมชุดดำที่บ่า สวมหมวกทรงสูงสีดำก็คือเกาก้วน ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์
ส่วนอีกคนรูปร่างค่อนข้างเตี้ย คิ้วเข้มตาโต หนวดสั้นหน้าเหมือนม้า สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าทั้งตัว หน้าตาดูใสซื่อจริงใจมาก มือกำลังรูดหนวดสั้นอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งคู่ที่มีแววเป็นประกายกำลังกวาดมองพวกผู้หญิงที่กำลังทำงานอยู่ในทุ่งนาเป็นระยะ หลังจากมองไปสักพักก็ส่ายหน้าเบาๆ คนคนนี้ก็คือซือหม่าเวิ่นเทียน ทูตซ้ายตรวจการของตำหนักสวรรค์!
ทั้งสองไม่พูดอะไรสักคำ และไม่รีบร้อนด้วย ได้แต่รอเงียบๆ อยู่อย่างนั้น
หลังจากรอไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ถึงได้เห็นประมุขชิงแบกจอบเดินเข้ามา ครั้งนี้ทั้งสองถึงได้ยืนแยกเป็นสองฝั่ง เมื่อประมุขชิงเดินผ่ากลางระหว่างทั้งสองไปแล้ว ทั้งสองถึงได้หันตัวเดินตามหลังเขาอยู่ทางซ้ายและขวา
เมื่อวางจอบและนั่งลงแล้ว ประมุขชิงก็รับน้ำชาที่ซือหม่าเวิ่นเทียนยื่นให้มาดื่มจนหมดถ้วยในอึกเดียว เสร็จแล้วถึงได้มองเกาก้วนที่อยู่ข้างๆ พร้อมถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าก็มาเหมือนกันเหรอ เรื่องทดสอบทางนั้นเป็นอย่างไรบางแล้ว?”
“ทุกอย่างปกติดีขอรับ ได้ยินว่าเบื้องล่างเกิดเรื่องนิดหน่อย จึงตั้งใจรีบกลับมารอฟังคำสั่ง” เกาก้วนกุมหมัดตอบ
“เรื่องนี้ข้าให้เวิ่นเทียนไปตรวจสอบแล้ว” ประมุขชิงยื่นถ้วยน้ำชาคืนให้ซือหม่าเวิ่นเทียน แล้วถามว่า “ทางหวงฮ่าวระดมกำลังคนมากมาย สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
…………………………