พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1175 ข้าดวงซวย
“ทดสอบอีกแล้วเหรอ? เทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง…หนึ่งหมื่นปี?” เหมียวอี้ราวกับมุมปากโดนตะคริวกิน ถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าจะทดสอบอย่างไรขอรับ?”
“เฮ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจอีกแล้ว ทำใจบอกไม่ลงจริงๆ “แดนอเวจี นรกที่ผู้ร้ายที่ฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สามคนหนีไปนั่นแหละ”
เหมียวอี้อุทานถามทันทีว่า “อะไรนะ? ไปทดสอบที่นรกเหรอ? อย่าบอกนะว่าจะให้พวกเราไปจับตัวนักโทษหลบหนีที่นรก? สถานที่ที่แม้แต่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ยังปราบปรามไม่ไหว ให้ทหารเล็กๆ อย่างพวกเราไป จะต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้งล่ะ? ฮูหยิน ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ว่านรกเป็นแบบไหน ราชินีสวรรค์กำลังล้อเล่นใช่มั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินยิ้มเจื่อน “ก็ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เจ้าจินตนาการหรอก การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้ให้พวกเจ้าไปเข่นฆ่ากันในนรก แต่ต้องการให้พวกเจ้าไปสืบดูสถานการณ์ในนรก อย่างเช่นวาดแผนที่อะไรแบบนี้ ถ้าเจ้าเข้าไปในนรกแล้วพบว่าอันตรายเกินไป ก็สามารถหาที่หลบได้ เจ้าจะไม่ทำอะไรเลยก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่า…คนอื่นสามารถหลบได้ แต่คงไม่ดีถ้าคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่จะหลบ ถ้าออกมาแบบไม่มีผลงาน ก็อาจจะถูกถอดจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่”
“งั้นข้ายังจะไปทำไมอีก? จะซ้ายจะขวาก็โดนถอดจากตำแหน่งทั้งนั้น ทำไมยังต้องไปเสี่ยงอันตรายอีก” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าร่วมการทดสอบ จะโดนลดขั้นให้เป็นพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง และภายในหนึ่งหมื่นปีก็จะไม่ถูกใช้งานด้วย แต่ถ้าหลังจากเข้าร่วมการทดสอบแล้วไม่มีผลงาน ก็จะถูกถอดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสลืมตาอ้าปากอีกครั้ง จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกละเลยหนึ่งหมื่นปี หลังจากจบเรื่องข้าจะบอกท่านโหวให้ อย่างมากก็ไม่ต้องอยู่ในระบบของตลาดสวรรค์แล้ว มีข้าอยู่แลอยู่ ที่อื่นก็ยังมีอนาคตรออยู่” ปี้เยว่ฮูหยินพูดปลอบใจ
เหมียวอี้กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “แต่ข้าน้อยไม่เหมือนคนอื่นนะ! ครั้งก่อนข้าน้อยตัดหัวคนไปสามพันกว่าคน ข้าน้อยแทบจะล่วงเกินผู้มีอำนาจหมดทั้งราชสำนักแล้ว ถ้าข้าน้อยต้องไป ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนฆ่าตายทั้งเป็น!”
“เฮ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้าอย่างจนใจ นี่ก็คือสิ่งที่นางกังวลที่สุด
เจ้านายและลูกน้องล้วนตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงจิ้งจอกสีชมพูดที่มองเหมียวอี้ด้วยแววตาซ้ำเติม
หลังจากผ่านไปนาน เหมียวอี้ก็เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าการทดสอบจะเริ่มขึ้นเมื่อขอรับ?”
ปี้เยว่ฮูหยินตอบว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาอีกหลายสิบปี ต้องรอให้การทดสอบที่มีอยู่ตอนนี้จบลงก่อน รอให้ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้กลับเข้าตำแหน่งหมดแล้ว ถึงจะดำเนินการทดสอบที่นรก แต่อีกไม่นานก็จะประกาศข่าวเรื่องลงชื่อสมัครการทดสอบสนามต่อไป หลายสิบปีนี้เป็นเวลาลงชื่อสมัคร ดังนั้นเจ้ายังมีเวลาพิจารณา”
“ฮูหยิน ท่านช่วยไปถามให้ข้าสักหน่อยได้มั้ย ข้าน้อยผ่านการทดสอบมาแล้วหนึ่งครั้ง ทั้งยังได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ด้วย สามารถหลีกเลี่ยงการทดสอบครั้งนี้ได้หรือเปล่า?” เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เรื่องนี้…” ปี้เยว่ฮูหยินตอบอย่างไม่แน่ใจ “เกรงว่าคงจะไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ราชินีสวรรค์ออกคำสั่งลงมาแล้ว กำหนดชัดเจนว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทุกคนต้องเข้าร่วม เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเพื่อเจ้าเพียงคนเดียว”
เหมียวอี้นิ่งเงียบ
ปี้เยว่ฮูหยินพูดปลอบใจอีกว่า “ที่จริงเจ้าก็สามารถคิดไปในทางที่ดีได้นะ ราชินีสวรรค์บอกไว้แล้ว ว่าต่อไปนี้ตำแหน่งระดับผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ขึ้นไปจะต้องเลือกจากคนที่เคยผ่านการทดสอบในนรกมาก่อน ดังนั้นขุนนางใหญ่ทั่วราชสำนักถึงได้ถือโอกาสนี้ช่วงชิงอันดับดีๆ ก่อน ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบครั้งนี้แล้ว ในภายหลังสิ่งนี้ก็จะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับเจ้าในการเลื่อนขั้นในระบบตลาดสวรรค์”
เมื่อเห็นว่ายากจะผ่านพ้นด่านตรงหน้า เหมียวอี้จะไปพิจารณาเรื่องที่อยู่ไกลตัวได้อย่างไร หลังจากเงียบไปนานก็ถามว่า “ฮูหยิน ถ้าหากข้าน้อยหาทางออกทางอื่นได้ หวังว่าฮูหยินจะสามารถปล่อยไปได้”
ปี้เยว่ฮูหยินงงไปชั่วขณะ ก่อนจะถามว่า “ตัวเจ้าอยู่ในรายชื่อการทดสอบแล้ว ใครจะดึงเจ้าออกมาได้ง่ายๆ ตระกูลโค่วเหรอ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ข้าน้อยแค่เตรียมจะลองคิดหาวิธีการดูหน่อย ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ!”
ปี้เยว่ฮูหยินรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าใครที่เจอเรื่องแบบนี้ อารมณ์ก็คงไม่ดีทั้งนั้น จึงพูดปลอบใจอีกครั้ง “ถ้าไม่ไหวจริงๆ อย่างมากก็ไปเข้าร่วมการทดสอบ ข้าจะให้ท่านโหวดูสักหน่อยว่าตำแหน่งเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองในสังกัดมีที่ไหนที่ค่อนข้างเข้าท่าบ้างหรือเปล่า หนึ่งหมื่นปีไม่ถือว่ามากมายอะไรสำหรับคนในแดนฝึกตน อย่างมากก็เริ่มใหม่อีกครั้งหลังจากหนึ่งหมื่นปีนั้น”
เหมียวอี้ซาบซึ้งในน้ำใจแล้ว ต่อให้จะตอบตกลงแต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้บัญชาการใหญ่ให้หมดวาระที่เหลือก่อน หลายสิบปีนี้ยังกอบโกยได้อีกไม่น้อย เขาจึงกล่าวอำลาตรงนี้
หลังจากกลับมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้ก็ยืนอยู่บนหลังคาจวนขุนนาง ยืนเอามือไขว้หลังอย่างเงียบเหงา ทอดสายตามองสิ่งปลูกสร้างละลานตาของตลาดสวรรค์ ความรู้สึกซับซ้อนมาก
ถ้าตัวเองหัวเดียวกระเทียมลีบ ก็จะไม่กังวลอะไรขนาดนั้นเลยจริงๆ แต่ตอนนี้ตัวเขาเกี่ยวข้องกับคนเยอะเกินไป
ตอนนี้ตรงหน้าเขามีเพียงสามเส้นทางให้เดิน
เป็นฝ่ายถอนตัวออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ จากนั้นก็ถูกลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง เฝ้าศาลของเทพแห่งผืนดินหนึ่งหมื่นปี แต่เขารู้สึกไม่ยอมหากต้องทิ้งอำนาจมหาศาลที่อยู่ในมือ ถ้าขาดอำนาจไป พวกอวิ๋นจือชิวก็จะสูญเสียหลักประกันไปหนึ่งชั้น ความรับผิดชอบบางอย่างเขาจำเป็นต้องแบกรับไว้
การถอนตัวออกจากตำหนักสวรรค์ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เหตุผลแบบเดียวกับทางเลือกแรก ถ้าสูญเสียอำนาจไปแล้ว ทั้งยังเคยไปล่วงเกินคนไว้เยอะขนาดนั้น แค่คิดก็รู้ถึงจุดจบแล้ว
ถ้าไปเข้าร่วมการทดสอบ คนมากมายที่เขาเคยไปล่วงเกินไว้ก็คงไม่ปล่อยเข้าไปอยู่ดี
สรุปก็คือไม่ว่าทางไหนก็ลำบากทั้งนั้น
ยังมีเส้นทางที่สี่ เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหลังคาหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง เป็นระฆังที่เกาก้วนทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ให้เขาไว้ ตอนแรกเกาก้วนอยากจะดึงเขาไปเป็นลูกน้อง ให้เขาไตร่ตรองให้ดีแล้วติดต่อไป ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่เขาก็ต้องลองดูสักหน่อย
พอเขย่าระฆังดารา ก็ติดต่อเกาก้วนได้อย่างรวดเร็ว : ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน คารวะท่านทูตขวา!
เกาก้วนตอบกลับว่า : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ : เรื่องที่ท่านทูตขวาพูดครั้งก่อน ข้าน้อยไต่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ข้าน้อยยินดีจะติดตามรับใช้ท่านทูตขวา!
เกาก้วน : ตอบตกลงตอนนี้สายไปแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทุกคนล้วนอยู่ในรายชื่อการทดสอบครั้งถัดไป ราชินีสวรรค์ออกคำสั่งมาเอง รอให้เจ้ากลับมาจากการทดสอบแล้วค่อยว่ากัน!
เหมียวอี้แอบด่าบรรพบุรุษเขาสิบแปดรุ่น ถ้าข้าสามารถกลับมาจากการทดสอบได้อย่างราบรื่น ข้าจะยังมาหาเจ้าทำพระแสงอะไรล่ะ?
แต่ดูจากท่าทีของอีกฝ่าย ต่อให้ตอนหลังจะพูดอย่างไรก็คงไม่สนใจเขาแล้ว เหมียวอี้ที่โดนเมินใจคอแห้งเหี่ยวมาก เก็บระฆังดาราอย่างเงียบ เส้นทางที่สี่ไม่ผ่านแล้ว
เป่าเหลียนที่เดินเข้ามาในลานบ้านเงยหน้ามองนายท่านบนหลังคา ไม่รู้ว่านายท่านกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกว่านายท่านค่อนข้างรู้สึกโดดเดี่ยว นางกุมหมัดคารวะพร้อมรายงานว่า “นายท่าน ผู้บัญชาการมู่หรงขอพบค่ะ!”
เหมียวอี้ได้สติกลับมา ลอยลงจากชายคาแล้วบอกว่า “เชิญเข้ามา!”
ผ่านไปไม่นาน มู่หรงซิงหัวก็เร่งฝีเท้าเดินกระโปรงส่ายเข้ามา หลังจากทำความเคารพแล้ว นางก็เดินเล่นเนิบนาบอยู่ข้างกายเหมียวอี้ “นายท่าน ข้าได้ยินข่าวมาจากเฉาว่านเสียงนิดหน่อย ได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะต้องเข้าร่วม…”
เหมียวอี้ยกมือห้าม “ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”
มู่หรงซิงหัวรีบถามว่า “นายท่านจะตัดสินใจยังไง?”
“ข้ามีแผนของตัวเองแล้ว!” เหมียวอี้พูดเพื่อขายผ้าเอาหน้ารอด ไม่ได้เปิดเผยความคิดที่แท้จริง
ตอนที่กล่าวอำลา มู่หรงซิงหัวที่หันตัวจากไปก็หันกลับมามองหลายครั้ง ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร สุดท้ายก็กลืนคำพูดลงไป เรื่องแบบนี้ถ้าพูดอะไรไปก็ดูเหมือนปลอม นางเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน ได้แต่เดินจากไปพร้อมถอนหายใจเบาๆ
เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในลานบ้านจนพลบค่ำ จู่ๆ ก็เห็นเหมียวอี้หยุดเดิน เป่าเหลียนที่มองอยู่ไกลๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจอะไรได้ เห็นเพียงเขาหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อใคร
เหมียวอี้ติดต่อเยารั่วเซียน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตรของพิภพเล็กแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาเยารั่วเซียนก็ไม่เคยพูดดีๆ กับเขาอยู่แล้ว พอเปิดปากก็ถามทันทีว่า : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ไม่บ่นอะไรเขามากเช่นกัน : ตาแก่เยา ก่อนหน้านี้ท่านใช้เวลาหนึ่งร้อยปีในการหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร ถ้ารวบรวมกำลังคนทั้งหมดของสำนักงามวิจิตร ท่านคาดว่าต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะหลอมสร้างเสร็จ?
เยารั่วเซียน : ก็พูดยาก ดูอารมณ์ก่อน!
เหมียวอี้ : อย่าพูดไร้สาระ ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับท่าน ใช้ผลึกแดงหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตร แล้วทำเกราะรบผลึกแดงให้เฮยทั่นสักชุดด้วย ท่านเองก็รู้ว่าเฮยทั่นวิวัฒนาการแล้ว ของสองอย่างนี้รวมกัน ท่านต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะหลอมสร้างเสร็จ?
ทางเยารั่วเซียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับว่า : รีบมากเลยเหรอ?เกิดเรื่องอีกแล้วเหรอ?
เหมียวอี้ : อาจจะมีปัญหานิดหน่อย เตรียมตัวให้พร้อม กันไว้ดีกว่าแก้
เยารั่วเซียน : ถ้าเจ้าหาวัตถุดิบได้เพียงพอ ภายในห้าสิบปีก็น่าจะทำให้เจ้าได้แล้ว
เหมียวอี้ : ดี! เรื่องวัตถุดิบไม่ใช่ปัญหา ท่านคำนวณดูสักหน่อย เดี๋ยวกลับไปข้าจะเอาวัตถุดิบไปให้
เยารั่วเซียน : พาเจ้าโจรอ้วนกลับมาก่อน ต้องวัดขนาดตัวมันก่อนถึงจะตัดสินใจได้
เหมียวอี้ : ไม่มีปัญหา!
เยารั่วเซียน : ข้าเตรียมจะแต่งงานกับศิษย์น้องปลายปีนี้ ถ้าเจ้าสะดวก ถือโอกาสพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลับมาดื่มสุรามงคลด้วย
ยังจะมีศิษย์น้องคนไหนได้อีก? เหมียวอี้พูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าเยารั่วเซียนจะยังต้องการโม่จวินหลันอยู่ สงสัยจะรักฝังใจไม่เคยลืมเลือน นี่คงจะเป็นสาเหตุที่เขาตอบตกลงอย่างสบายใจว่าจะกลับมาเป็นเจ้าสำนักงามวิจิตร
ลางเนื้อชอบลางยา เหมียวอี้ก็ไม่ได้ว่าอะไร ตอบกลับไปว่า : ยินดีด้วยๆ เมื่อถึงตอนนั้นจะพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลับไปดื่มสุรามงคลของท่านแน่นอน
เยารั่วเซียน : งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราอีกอันมาติดต่อปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน
ประโยคแรกของอวิ๋นอ้าวเทียนก็คือ : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ : ท่านปู่ มีเรื่องจะปรึกษากับท่านสักหน่อย รบกวนท่านมาที่ตลาดสวรรค์สักเที่ยวได้มั้ย
อวิ๋นอ้าวเทียน : ไปไม่ได้ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เลย
เหมียวอี้ : คุยในระฆังดาราไม่ชัดเจน มีเรื่องต้องคุยให้ละเอียด มาคุยแบบต่อหน้ากันเถอะ ถ้าท่านไม่สะดวก เดี๋ยวข้าไปหาทางก็ได้
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้อาวุโส จะเรียกให้ไปนั่นมานี่ก็จะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ที่สำคัญที่สุดคือเขามีเรื่องจะฝากฝัง เวลาจะขอร้องคนอื่นย่อมต้องไม่ถือตัว
ทางอวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไป แล้วตอบอีกว่า : เจ้ามาไม่ได้หรอก มีอะไรก็พูดในระฆังดาราเลยแล้วกัน
เหมียวอี้ : ข้าไปไม่ได้เหรอ? ท่านอยู่ที่ไหน?
สถานที่ที่อวิ๋นอ้าวเทียนไปได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไปไม่ได้
อวิ๋นอ้าวเทียน : อย่าพูดมาก มีวาจาก็รีบเอ่ย มีตดก็รีบเบ่ง
เหมียวอี้จนใจ ตอบกลับไปว่า : ไม่รู้ว่าท่านได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือเปล่า ช่วงนี้ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์สามคนในอาณาเขตสายมะเมียโดนลอบทำร้าย ตำหนักสวรรค์ต้องการปรับปรุงตลาดสวรรค์ ข้าดวงซวย กลายเป็นเป้าหมายที่จะถูกปรับปรุง…
เหมียวอี้บ่นอยู่นาน เล่าเรื่องที่ตัวเองต้องไปเข้าร่วมการทดสอบในนรกให้ฟัง จุดประสงค์ก็ไม่ใช่เพราะอะไร เขาหวังว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะมองอวิ๋นจือชิวเป็นหลานสาว ถ้าเขากลับมาไม่ได้ ก็หวังให้อวิ๋นอ้าวเทียนดูแลนางมากๆ บอกว่าฝ่ายนี้จะไม่ปฏิบัติต่ออวิ๋นอ้าวเทียนอย่างขาดความยุติธรรมแน่
…………………………