พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1186 เบิกสติปัญญาโดยฉับพลัน
เหมียวอี้ทท่าเหมือนจนใจมาก สายตากลอกกลิ้งอยู่บนตัวเฮยทั่น ในใจคิดว่าตาแก่เยาคงบ้าไปแล้วสินะ เฮยทั่นไม่ได้มีวิชาอาคม มีแค่พลังอภินิหารโดยกำเนิดเท่านั้น ไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเกราะรบได้เลย ทุ่มยาเจี๋ยตันขั้นห้าไปสามสิบสามเม็ด กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำรึไง?
แต่ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจแล้ว สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้ให้เฮยทั่นควบคุม แต่มีไว้ให้เขาควบคุม ให้เขาควบคุมเพื่อปกป้องเฮยทั่น เยารั่วเซียนให้สิทธิพิเศษกับเจ้าโจรอ้วนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!
พวกอิงอู๋ตี๋ที่มองดูอยู่ไกลๆ สูดหายใจอย่างตกตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าสัตว์เทพตัวหนึ่งจะสวมเกราะรบผลึกแดงทั้งชุด รูปร่างใหญ่โตขนาดนี้ คาดว่าสีแดงผลึกที่ใช้ไปคงจะหลอมสร้างเป็นเกราะรบผลึกแดงเจ็ดสิบแปดสิบชุดกระมัง
ต้องทราบไว้ว่าการหลอมสร้างของวิเศษระดับผลึกแดงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก นักหลอมของวิเศษโดยทั่วไปยากที่จะควบคุมลักษณะพิเศษของมันได้ ต่อให้เป็นช่างตีเหล็กในโลกมนุษย์ก็เข้าใจหลักการนี้เช่นกัน ของที่ยิ่งทนทานก็ยิ่งทำยาก ระดับความยากของมันก็เหมือนกับระดับความทนทานของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขั้นตอนของการหลอมสร้างเกราะรบซับซ้อนกว่าขั้นตอนการหลอมสร้างอาวุธเยอะมาก โครงสร้างของดาบสักด้ามไม่ซับซ้อนเหมือนเกราะรบเลย
ถ้าหากหลอมสร้างคนเดียว การหลอมสร้างเกราะรบที่ใหญ่โตขนาดนี้ คาดว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปีคงทำไม่ทัน ตามมาตรฐานของพิภพใหญ่ แค่ค่าคนงานอย่างเดียวก็เยอะแทบแย่แล้ว การใช้เวลาไม่กี่สิบปีเพื่อหลอมสร้างของใช้เจ้าสักชิ้น ไม่ว่าใครก็ต้องคิดราคาแพงทั้งนั้น คนหลอมสร้างต้องหยุดฝึกตนหลายสิบปี ย่อมต้องการทำกำไรก้อนใหญ่ให้เพียงพอกับการชดเชยอยู่แล้ว
นอกจากนี้จำนวนผลึกสกัดที่แฝงอยู่ในผลึกแดงก็มีต่ำ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเกราะรบบนร่างกายสัตว์เทพตัวนี้มีมูลค่าเป็นอย่างไร ทุกคนเห็นแล้วต่างก็รู้สึกว่าฟุ่มเฟือยเกินไป นี่พวกเขายังไม่รู้นะว่าในนั้นทุ่มยาเจี๋ยตันขั้นห้าไปสามสิบสามเม็ด
ช่างเถอะ! เหมียวอี้ที่ปวดหัวใจเล็กน้อยมองไปที่เจดีย์งามวิจิตรในมืออวิ๋นจือชิวอีก
“หลังจากขยายใหญ่แล้ว เจดีย์นี้จะสูงห้าจั้ง ไม่สะดวกจะแสดงต่อหน้าคนนอก มันสะดุดตาเกินไปจริงๆ เดี๋ยวเจ้าค่อยไปขบคิดเอาเองทีหลังก็แล้วกัน” อวิ๋นจือชิวบอกเขา
สูงห้าจั้งเหรอ? แบบนั้นต้องสิ้นเปลืองสีแดงผลึกไปมากเท่าไรกัน? เหมียวอี้ดึงมุมปากเล็กน้อย ถามว่า “ใช้วัตถุดิบไปมากเท่าไรเพื่อหลอมสร้างออกมา?”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เพื่อที่จะทำของพวกนี้แข่งกับเวลา เยารั่วเซียนเรียกรวมยอดฝีมือหลอมของวิเศษของพิภพเล็กสามสิบกว่าคนให้มาช่วยกันทำ เขาคอยชี้แนะ แล้วคนอื่นก็ผลัดเวรกันมาทำ หลายสิบปีมานี้ไม่เคยได้หยุดเลย ถึงได้เร่งหลอมสร้างของออกมาได้ แถมของที่ใช้ผลึกแดงทำก็หลอมสร้างค่อนข้างยากลำบาก บวกกับเสาผลึกแดงที่เจ้านำมาจากดาวดำเนินเซียนก็มีพื้นที่ใหญ่เกินไป ถ้ารอสกัดตอนใกล้จะใช้งานก็สายเกินไปแล้ว เพราะแบบนี้เบื้องหลังก็เลยยังมีคนอีกหลายพันผลัดเวรกันเร่งสกัดเสาผลึกแดงที่เจ้าได้มาจากดาวดำเนินเซียน สามารถจัดหาวัตถุดิบให้เยารั่วเซียนหลอมสร้างได้ทุกเมื่ออย่างทันเวลา ภูเขาลูกหนึ่งถูกเผาจนแดงหมดแล้ว ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ไป เสาผลึกแดงยาวสิบกว่าจั้งต้นที่เจ้านำมาจากดาวดำเนินเซียนก็ยังไม่พอ ใช้โซ่ใหญ่อีกเส้นถึงจะครบ แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าอย่างเดียวก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าเม็ดแล้ว”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วทำหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ของสองชิ้นนี้ใช้เงินเป็นกองจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะร่ำรวยมาจากดาวดำเนินเซียน ก็คงจะจ่ายไม่ไหวจริงๆ จ่ายมากขนาดนี้เพื่อหลอมสร้างออกมา แต่เจดีย์งามวิจิตรก็เป็นแค่ของวิเศษขั้นห้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น ตามหลักการแล้วถ้าทุ่มผลึกแดงเยอะขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องหลอมสร้างเป็นของวิเศษขั้นหกได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ วรยุทธ์เจ้าไม่สูงพอ ของวิเศษขั้นหกเจ้าก็ควบคุมไม่ได้ เลยทำได้เพียงหลอมสร้างของวิเศษขั้นห้าให้เจ้าใช้ หนิวเอ้อร์ เรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก ตราบใดที่ทุ่มเงินแล้วสามารถรับประกันความปลอดภัยได้ ต่อให้จ่ายมากกว่านี้ก็คุ้มค่า ดังนั้นข้าจึงบอกเรื่องที่เจ้าต้องเผชิญให้เยารั่วเซียนรู้ เยารั่วเซียนรับปากแล้วว่าจะหลอมสร้างของวิเศษไว้ให้เจ้าป้องกันตัวอีกสองชิ้น ข้าให้วัตถุดิบเขาไปแล้ว เขาจะพยายามช่วยหลอมสร้างให้เจ้าก่อนที่การทดสอบจะมาถึง”
เหมียวอี้อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขาไม่อยากทุ่มกำลังทรัพย์มากเกินไป อยากจะเหลือของบางอย่างไว้ให้เป็นทรัพยากรของพวกอวิ๋นจือชิวในภายหลัง ถ้าหากเขาไม่อยู่แล้ว พวกอวิ๋นจือชิวจะได้ไม่ถึงขั้นขัดสน เขาเตรียมคิดวางแผนในกรณีที่กลับมาไม่ได้แล้ว
ทว่าในเมื่ออวิ๋นจือชิวทำไปแล้ว ตอนนี้เขาก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรให้นางอกสั่นขวัญแขวน
เหมียวอี้เก็บของวิเศษสองชิ้นไว้แล้ว ถ่วงอารมณ์ฝึกตนไว้ชั่วคราว หลายสิบปีมานี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบหน้าอวิ๋นจือชิว เตรียมจะอยู่เป็นเพื่อนนางสักหน่อย
ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันอยู่ในป่าภูเขาที่เงียบสงบ เสียงนกร้องราวกับมายา ทั้งสองยืนอยู่ตรงยอดเขาบนเกาะพลางทอดสายตามองไปไกล คลื่นสีมรกตหมื่นลี้ ทะเลใหญ่ท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองเดินเนิบนาบอยู่บนหาดทรายที่ถูกคลื่นซัดมากองรวมกันชั้นแล้วชั้นเล่า ทิ้งรอยเท้าสองคู่เอาไว้ พูดคุยถึงความทรงจำในปีก่อนๆ รำลึกความหลังกัน
เดิมทีเหมียวอี้อยากจะรั้งอวิ๋นจือชิวให้อยู่ผ่อนคลายสักสองวัน แต่อวิ๋นจือชิวกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรักใคร่มากเกินไป ไม่อยากรบกวนการฝึกฝนของเขา เพื่อที่จะช่วยให้เขาสำรวมใจให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะไปนางจึงพูดถึงเรื่องการฝึกฝน “เจ้าอยู่ฝึกฝนที่นี่ได้ผลเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ได้ผลอยู่บ้างนิดหน่อย ประสิทธิภาพที่มากที่สุดก็คือวรยุทธ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน
“ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารที่เจ้าบอก ได้ผลตามที่เจ้าต้องการหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างไม่แน่ใจ
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ตอนพูดน่ะง่าย แต่ข้าไม่รู้เลยว่าโดนพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองย้อนทำร้ายจนบาดเจ็บไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่มีทางแบ่งใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารได้เลย”
อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วขมวดคิ้ว ถามว่า “ทำไมเจ้าจะต้องแบ่งใช้หนึ่งทวนสิบสังหารให้ได้ล่ะ? ในเมื่อตัวมันเองมีอานุภาพมากมายขนาดนั้นอยู่แล้ว เจ้าจำเป็นต้องทำให้มันอ่อนลงด้วยเหรอ? เจ้าก็แค่ใช้มันเป็นท่าไม้ตายของตัวเองไม่ได้เหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าไม่แบ่งใช้ พอข้าใช้ท่านี้ครั้งเดียวพลังก็หมดแล้ว ไม่มีพลังเหลือไว้สู้ต่อตอนหลังเลย เจ้าคิดว่าข้าอยากจะลำบากแบบนี้เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ข้าเข้าใจที่เจ้าพูด แต่ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าก็แค่คิดไม่ตก ในเมื่อเจ้าไม่มีทางแบ่งท่านี้ได้ ในเมื่อทำไม่ได้แล้วทำไมต้องฝืน? ทำไมต้องดึงดันอยู่กับท่านี้ไม่ยอมเลิก ฝึกท่าใหม่ไม่ได้เหรอ? หนึ่งทวนสิบสังหารก็เป็นท่าหนึ่ง หนึ่งทวนหนึ่งสังหารก็เป็นท่าหนึ่งเหมือนกัน เจ้าใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารได้ แล้วทำไมจะใช้ท่าหนึ่งทวนหนึ่งสังหารไม่ได้ล่ะ? ทำไมจะต้องแบ่งหนึ่งทวนสิบสังหารออกให้กลายเป็นทวนเดียว เจ้าลองคิดกลับกันสิ เจ้าฝึกทวนเดียวไปเสียเลย อานุภาพก็เหมือนกับท่าที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้าแบ่งท่าหนึ่งทวนสิบสังหารไม่ใช่เหรอ เริ่มจากง่ายไปยากจะยิ่งสบายกว่าไม่ใช่หรือไง เจ้าจำเป็นต้องเริ่มจากระดับสูงขนาดนั้นด้วยเหรอ? ถ้าฝึกระดับยากเกินไปไม่ไหว ทำไมไม่วางลงก่อน ลองฝึกแบบง่ายๆ ดีมั้ย?”
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออกทันที ยืนมองนางอย่างตะลึงค้าง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโง่งง
อวิ๋นจือชิวยังนึกว่าตัวเองพูดจาไม่เหมาะสม โบกมือยิ้มทันที “ข้าไม่รู้สถานการณ์การฝึกของเจ้าชัดเจน ข้าก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยจากมุมมองของคนนอก ถ้าไม่ได้ก็ช่างเถอะ การที่เจ้าเอาแต่ฝึกแล้วพลังอิทธิฤทธิ์ย้อนทำร้ายตัวเอง ข้าแค่รู้สึกว่าไม่ใช่กลยุทธ์ระยะยาว ถ้าเจ้าทำแบบนั้นจะเกิดเรื่องได้ง่าย”
เพี้ยะ! จู๋ๆ เหมียวอี้ก็ตบต้นขา แล้วอุ้มอวิ๋นจือชิวขึ้นมาหมุนทันที พร้อมโห่ร้องอย่างดีใจว่า “วางลงก่อน! เจ้าพูดถูกแล้ว วางลง! คนที่อยู่นอกเหตุการณ์อย่างเจ้าพูดถูก ทำไมต้องดึงดันฝึกท่านี้ไม่ยอมวางด้วยล่ะ ก็แค่ต้องวางลง!”
คำพูดของอวิ๋นจือชิวทำให้เขาดีใจแทบบ้าแล้วจริงๆ เรียกได้ว่าเหมือนโดนไม้ตีแสกหน้าเตือนสติ ทำไมไม่วางลงล่ะ?
ใช่แล้ว! ทำไมไม่วางลง?
ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาคิดมาตลอดว่าจะแบ่งท่าหนึ่งทวนสิบสังหารมาใช้อย่างไร เพราะอานุภาพของท่าหนึ่งทวนสิบสังหารก็เห็นๆ กันอยู่ เขาตัดใจทิ้งอานุภาพของท่าหนึ่งทวนสิบสังหารไม่ลง ด้วยเหตุนี้เขาจึงลำบากไปแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร คำพูดเตือนสติที่เหมือนน้ำรดหัวของอวิ๋นจือชิวเพิ่งจะทำให้เขาพบว่าตัวเองมัวไปศึกษาสิ่งที่ไม่จำเป็น
หนึ่งทวนสิบสังหารก็คืออานุภาพของหนึ่งทวนสิบสังหาร ทำไมต้องทำให้มันอ่อนลงด้วยนะ ทำไมต้องดึงดันไม่ยอมปล่อย? วางลงแล้วเริ่มใหม่ไม่ได้หรือไง? เริ่มจากท่าง่ายๆ ก่อนไม่ได้เหรอ?
ไม่ใช่แค่เขา พวกอิงอู๋ตี๋ที่ได้รู้จักกับอานุภาพของหนึ่งทวนสิบสังหารก็ถูกเขาพาเข้าสู่ทางตันเช่นกัน ล้วนกลายเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด กลับเป็นคำพูดของคนนอกเหตุการณ์อย่างอวิ๋นจือชิวที่ทำให้เขานึกออกในฉับพลัน!
เมื่อเห็นเข้าทำท่าทางดีใจเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างในฉับพลัน อวิ๋นจือชิวที่โดนอุ้มหมุนจนกระโปรงปลิวก็เบิกบานใจไปด้วย นางหัวเราะคิกคักพร้อมทุบบ่าเขาเบาๆ “โดนเจ้าหมุนจนเวียนหัวหมดแล้ว รีบวางข้าลงเถอะ”
เหมียวอี้ที่วางนางลงกลับไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ กอดนางพลางจูบบนใบหน้านางอย่างบ้าคลั่ง หลังจากปล่อยมือออก เหมียวอี้ก็ใช้สองมือเท้าเอว พร้อมกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “คำพูดอันมีค่าดั่งทองของฮูหยินทำให้ข้าเข้าใจอย่างฉับพลัน เบิกสติปัญญาโดยฉับพลัน!”
“น้ำลายเหม็นเต็มหน้าข้าหมดแล้ว!” อวิ๋นจือชิวที่โดนเขาจูบจนน้ำลายติดเต็มหน้าสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด “ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย เจ้ารู้สึกว่าใช้ได้ผลก็พอแล้ว”
“ฮ่าๆ…” เหมียวอี้เงยหน้าหัวเราะลั่น ความห่อเหี่ยวที่สะสมในสภาพจิตใจเพราะหนึ่งทวนสิบสังหารถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น รู้สึกผ่อนคลายทั้งกายทั้งใจ อดใจไม่ไหวอยากจะลองดูสักหน่อยแล้ว
อวิ๋นจือชิวไม่อยากรบกวนการฝึกฝนของเขา จึงไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ นางกลับไปที่ตลาดสวรรค์ก่อน
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เหมียวอี้ก็หยุดประลองต่อสู้กับพวกอิงอู๋ตี๋ชั่วคราว เขามักจะโผล่อยู่บนหาดทรายริมทะเลบ่อยๆ ถือทวนพลางหลับตาตั้งสมาธิเผชิญหน้ากับทะเลกว้าง หลังจากรวบรวมจิงชี่เสินแล้วก็พลันแทงออกไปหนึ่งทวน
การทำแบบนี้ย่อมไม่สามารถทำให้เขาก้าวครั้งเดียวเหยียบถึงท้องฟ้าได้ เรื่องคิดท่าใหม่ไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
พวกอิงอู๋ตี๋ก็มักจะมองเหมียวอี้ที่อยู่บนชายหาดจากที่ไกลๆ บางครั้งก็เห็นเหมียวอี้แทงออกมาหนึ่งทวนอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็เห็นเหมียวอี้แทงออกมาหนึ่งทวนอย่างช้าๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังตระหนักอะไรบางอย่างได้
ตั้งแต่เปลี่ยนวิธีการฝึกฝนวิชาทวน พอเหมียวอี้กลับเข้ามาในถ้ำภูเขาก็มักจะรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในกรงขัง ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่อยู่ในถ้ำอีก แต่นั่งฝึกตนอยู่บนหินโสโครกริมทะเลแทน ไม่ว่าแสงแดดจะแก่กล้า ไม่ว่าจะมีพายุฝน ไม่ว่าจะมีคลื่นโหมซัดสาด เขาก็นั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ตลอด สัมผัสกับสรรพสิ่งแห่งฟ้าดิน ช่วยให้การสัมผัสรับรู้ของตัวเองผ่อนคลายและก่อตัว
หลังจากอิงอู๋ตี๋เข้าไปถามครั้งหนึ่งแล้วไม่ได้รับการตอบสนอง ก็ไม่เข้าใกล้เขาอีกแล้ว
ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน เสื้อผ้าบนตัวเหมียวอี้ก็หายไปหมดแล้ว ผมก็กลายเป็นยุ่งเหยิงไม่ได้มัดรวบ ปล่อยให้แผ่สยาย หนวดเคราะก็ไม่ได้โกนเช่นกัน
หูเฟยที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกินมีเจตนาดี อยากจะไปเตือนให้เหมียวอี้อาบน้ำสักครั้ง แต่กลับโดนอิงอู๋ตี๋ขวางไว้ “พยายามอย่าเข้าไปรบกวนเขา ตอนนี้เขาเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ใหม่ อยู่ในสภาวะหลงลืมตัวเองแล้ว สภาวะแบบนี้เกิดขึ้นได้ยาก ทุกคนคอยเฝ้ารอบๆ ไม่ให้มีคนเข้าใกล้ไปรบกวนก็พอ”
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าครุ่นคิด ส่วนอิงอู๋ตี๋ก็ติดต่อกับฝูชิงทางตลาดสวรรค์ ให้เขาบอกคนทางตลาดสวรรค์ให้เรียบร้อย ว่าพยายามอย่าให้เรื่องที่ตลาดสวรรค์มารบกวนเหมียวอี้
แต่ถ้าจะไม่ให้รบกวนเขาเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ยังอยู่ในตำแหน่ง เมื่อถึงกำหนดเวลาก็ต้องไปติดต่อกับทางจวนแม่ทัพภาคตงหัว
แต่นอกจากนี้ เหมียวอี้ก็แทบจะฝึกทวนและนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ริมชายหาดไม่ห่างไปไหน เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เคลื่อนไหวอยู่ในขอบเขตที่กำหนด สภาวะนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลาเกือบสิบปี ในสิบปีนี้ไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ ไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึก ดูดน้ำค้างยามเช้า กินลมหนาวตอนกลางคืน ฝึกฝนแบบปี้กู่[1] เสื้อผ้าบนตัวขาดหลุดรุ่ย ทั้งร่างกายโป๊เปลือย เพียงแต่สกปรกเกินไปจึงไม่มีใครมอง
ในวันหนึ่งหลังจากผ่านไปสิบปี บึ้ม! จู่ๆ เสียงระเบิดที่ดังสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ดังขึ้น!
…………………………
[1] ปี้กู่ 辟谷 คือวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า โดยหลีกเลี่ยงทานธัญพืชห้าชนิดได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว