พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1187 ได้เก็บเกี่ยวความรู้ไม่น้อยเลย
อิงอู๋ตี๋และคนอื่นๆ ที่นั่งฝึกตนอย่างสงบอยู่ในถ้ำตัวเองรีบโผล่ออกมา เห็นเพียงคลื่นยักษ์กระพือขึ้นที่ผิวทะเล แล้วสะท้อนกลับมาในขณะที่สั่นสะเทือน คลื่นยักษ์ระลอกหนึ่งโผเข้ามาโจมตีทั้งเกาะราวกับจะครอบฟ้าคลุมดิน
ราชาปีศาจทะเลครามถลันตัวขึ้นไปอยู่บนฟ้า โบกมือผลักไปรอบๆ ทำให้คลื่นยักษ์ที่โจมตีเข้ามาราวกับมีชีวิตขึ้นมาทันที คลื่นยักษ์พัดม้วนกลับไป เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตลอดทางไปยังมหาสมุทรที่อยู่ไกลๆ
สายตาของทุกคนรีบมองไปทางเหมียวอี้ที่อยู่ริมทะเลทันที เห็นเพียงเหมียวอี้ชี้ทวนไปทางมหาสมุทร ยืนเงียบๆ อยู่อย่างนั้น
“ฮ่าๆ…” จู่ๆ ก็เห็นเหมียวอี้เงยหน้าหัวเราะลั่นขึ้นฟ้า
พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้เขากำลังหัวเราะอะไร แต่เห็นเหมียวอี้ที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งตกอยู่ในความเงียบงันอีก สักประเดี๋ยวก็เห็นเขาแทงทวนออกไปทางมหาสมุทรหนึ่งทวน
ชั่วพริบตานี้ ชิงเฟิงที่ลอยอยู่บนฟ้าพลันเบิกตากว้าง จ้องมองหัวทวนที่เหมียวอี้แทงออกมาแบบตาไม่กะพริบ จ้องจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองที่หมุนวนอยู่บนหัวทวน
บึ้ม! วาดผ่านผิวทะเลราวในแนวเฉียงกับฝนดาวตก จุดหมายที่โดนโจมตีจมลงจนเกิดเป็นหลุมน้ำวนขนาดใหญ่ คลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าที่เด้งขึ้นจากผิวทะเลโผกลับมาอีกครั้ง ต้องอาศัยให้ราชาปีศาจทะเลครามร่ายอิทธิฤทธิ์ข่มไว้ ทำให้กำแพงคลื่นยักษ์ม้วนกลับไป ไม่อย่างนั้นทั้งเกาะต้องโดนคลื่นโจมตีแน่นอน
“เขาฝึกฝนสำเร็จแล้ว” ชิงเฟิงที่ลอยอยู่บนฟ้ากล่าวเสียงเรียบ
“อะไรนะ?” อิงอู๋ตี๋หันกลับมาถาม
“ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารของเขาถูกแบ่งสำเร็จแล้ว หลังจากแบ่งแล้วก็ไม่โดนพลังอิทธิฤทธิ์ย้อนทำร้ายอีก” ชิงเฟิงกล่าว
เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้ได้เริ่มฝึกท่าใหม่ไปแล้ว แค่นึกว่าเหมียวอี้แบ่งท่าหนึ่งทวนสิบสังหารสำเร็จแล้ว
“สำเร็จแล้ว…” อิงอู๋ตี๋พึมพำ มองไปทางเหมียวอี้ที่อยู่ริมทะเลอย่างตกตะลึง “ความพยายามไม่ทรยศคนตั้งใจจริงๆ ด้วย เมื่อมีท่านี้จะต้องเป็นเสือติดปีกแน่นอน”
เหมียวอี้ที่อยู่บนชายหาดเก็บทวนในมือ หันตัวมาอย่างช้าๆ มองไปหาทุกคนที่อยู่บนท้องฟ้า ถลันตัวขึ้นไป แล้วกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชื่นมื่นว่า “ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว เก็บตัวฝึกฝนมาหลายปี ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว ข้ามีความมั่นใจที่จะไปทดสอบในนรกยิ่งกว่าเดิมแล้ว!”
คนที่เหลือส่งสายตาให้กัน ถึงแม้ทุกคนจะเดาออกแล้วว่าเขาต้องไปทดสอบในนรก แต่เขาก็ไม่เคยบอกเลย ครั้งนี้นับว่าเปิดเผยอย่างเป็นทางการแล้ว
“ยินดีกับนายท่าน!” อิงอู๋ตี๋และคนอื่นๆ กุมหมัดแสดงความยินดี
“พี่สามไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนนอกแบบนี้!” เหมียวอี้หัวเราะลั่น อารมณ์ดีใช้ได้เลย ในที่สุดก็ก็เดินออกมาจากการเก็บตัวฝึกฝนหลายปีนี้แล้ว
ส่วนหูเฟยเอามือปิดปากหัวเราะ แล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ควรจะไปอาบน้ำสระผมสักหน่อยนะ”
ตอนนี้ทุกคนได้รับการเตือนจากพวกฝูชิงแล้ว ว่าไม่สามารถเรียกว่าคุณชายห้าได้อีก ทุกคนจึงเปลี่ยนเป็นเรียกผู้บัญชาการใหญ่หรือไม่ก็นายท่าน
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ มองดูเสื้อผ้าที่ขาดหลุดรุ่ยของตัวเอง แล้วยกมือลูบหนวดเคราที่ยาวเฟื้อย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง โบกมือถูปากตัวเอง หนวดเคราทีคลุมเต็มปากถูกถอนออกมาทั้งโคนทันที สะอาดเรียบร้อยราวกับใช้มีดโกน จากนั้นก็ถลันตัวเหาะออกไป ไปอยู่ใต้น้ำตกระหว่างภูเขาที่อยู่ไม่ไกล ไปยืนชำระล้างอยู่ในนั้นโดยตรง
พวกเขาทยอยกันเหาะลงไป ส่วนเลี่ยหวนก็ดึงแขนหูเฟยอย่างค่อนข้างเดือดดาล “ผู้ชายอาบน้ำมีอะไรน่าดูนักหนา!”
หูเฟยที่โดนดึงไว้กลอกตาเถียงกลับว่า “มีแค่เจ้าที่เข้าหอโคมเขียวได้ แต่ข้าห้ามดูคนอาบน้ำงั้นเหรอ?”
เมื่ออาบน้ำเสร็จจนสดชื่น เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่กลับมาแล้ว หูเฟยก็ช่วยหวีผมมัดผมให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง และพวกเขาก็เตรียมอาหารรสเลิศล้ำค่าเอาไว้เต็มโต๊ะ ต้องทราบไว้ว่าในระหว่างสิบปีนี้เหมียวอี้ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด ไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ด
เหมียวอี้ที่อารมณ์ชื่นบานชูจอกสุราดื่มกับทุกคนอย่างถึงอกถึงใจ เขาดีใจมากจริงๆ
หลังจากกินอิ่มแล้วก็ผ่อนคลายสักหน่อย เหมียวอี้เข้าไปในถ้ำอีกครั้ง ฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์สักหน่อย
เพื่อรับประกันว่าคุ้นเคยกับท่าใหม่ที่ฝึกฝนอย่างเพียงพอ เขาจึงฝึกฝนต่อเพื่อใช้ท่านี้ได้อย่างมั่นคงแข็งแรง ออกนอกถ้ำมาทดลองฝีมือทุกวัน
หลังจากฝึกฝนอย่างมั่นคงหนึ่งปี ในความสมบูรณ์แบบก็ยังมีจุดที่บกพร่องอยู่ นั่นก็คือท่านี้ยังคงใช้พลังอิทธิฤทธิ์มหาศาลเหมือนเดิม ถึงแม้จะไม่ได้สิ้นเปลืองเหมือนท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร แต่ก็ใช้งานท่านี้มากไม่ได้อยู่ดี ถ้าใช้หลายครั้งก็ยังทำให้ตัวเองสิ้นเปลืองจิงชี่เสินจนหมด จะทำให้เกิดอาการเดียวกับตอนใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร
ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ ถ้าอยากแสดงอานุภาพของท่านี้ ก็จะต้องรวบรวมจิงชี่เสินและพลังอิทธิฤทธิ์ให้เพียงพอแล้วใช้ออกมา
ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ท่านี้ไม่สามารถแสดงออกมาได้ทุกเมื่อเหมือนกับท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร จำเป็นต้องพิจารณาความหนักเบา ไม่สามารถใช้พลังของตัวเองให้หมดในรวดเดียว นี่ก็คือข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ถึงอกถึงใจ ไม่ต้องพะวงว่าจะใช้อย่างเต็มที่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถใช้ได้อย่างทันท่วงที ตอนนี้ท่านี้กลับแตกต่างกับท่าไม้ตายของชิงเฟิงไม่เท่าไร ก่อนชิงเฟิงจะลงมือก็ต้องพิจารณาก่อนเหมือนกัน
แบบนี้ไม่เป็นผลดีเวลาต่อสู้ เหมียวอี้อยากจะพยายามแก้ไขปัญหานี้ แต่สุดท้ายก็พบว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่จะสามารถแก้ไขได้ตอนนี้เลย
กุญแจสำคัญของข้อบกพร่องนี้ก็ยังเป็นวรยุทธ์ของเขา พลังงานในร่างกายมีเขาแค่เท่านี้ แถมสิ่งที่จะรับประกันอานุภาพของท่านี้ได้ก็คือพลังงานที่ใช้จะต้องเพียงพอ เดิมทีพลังงานในร่างกายของเขาก็ไม่พออยู่แล้ว ตอนลงมือไม่ชั่งน้ำหนักไม่ได้เลย มีเพียงการรอให้วรยุทธ์ของตัวเองแข็งแกร่งเพียงพอก่อน พลังงานในร่างกายถึงจะเพียงพอ เกรงว่าต้องรอแบบนั้นถึงจะสามารถใช้ท่านี้ได้อย่างอิสระราบรื่น
ก็เหมือนเอาน้ำหนึ่งอ่างกับมหาสมุทรมาเปรียบเทียบกัน ถ้าเป็นน้ำหนึ่งอ่างเจ้าจะต้องระวังเวลาสาดออกไป ไม่อย่างนั้นอาจจะสาดหมดในรวดเดียว ส่วนน้ำในมหาสมุทรย่อมมีเพียงพอให้เจ้าใช้ได้อย่างอิสระราบรื่นอยู่แล้ว
ปัญหานี้มีเพียงการรอให้วรยุทธ์สูงขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เหมียวอี้ชื่นชอบวิธีการใช้ท่านี้ด้วยมือเปล่าของชิงเฟิง สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อการสู้ในระยะใกล้ หากในศึกเดือดเกิดเหตุไม่คาดคิดจนต้องสูญเสียอาวุธ สิ่งนี้จะแสดงบทบาทได้มากแน่นอน
แต่พอทดลองแล้วก็ก็ยังไม่เข้าใจเลย ถึงได้เชิญชิงเฟิงไปเดินเล่นและสืบถามในภูเขา
ป่าไม้เงียบสงบ ใบไม้ตกปลิวว่อน ใบไม้แห้งและตะไคร่น้ำ เสียงนกร้องไพเราะ
หลังจากฟังความสงสัยของเขาแล้ว ชิงเฟิงที่เงียบไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน ที่จริงข้ารู้สึกฉงนใจมากที่นายท่านสามารถแสดงท่านี้โดยอาศัยอาวุธได้ นี่คือปัญหาที่ข้าอยากจะแก้ไขมาตลอด ถึงยังไงเวลาใช้มือเปล่าสู้กับคนมีอาวุธก็เสียเปรียบมากเกินไป แต่ข้าไม่มีทางใช้ท่านี้ผ่านอาวุธได้เลย ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนั้น เกรงว่าจะเป็นคนละเส้นทางแต่จุดหมายเดียวกัน ถ้านายท่านสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็เท่ากับแก้ไขโจทย์ยากของของข้าน้อยเหมือนกัน ดังนั้นข้าน้อยก็ไม่มีทางคลายความสงสัยให้นายท่านได้เช่นกัน”
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ชิงเฟิงไม่น่าจะปิดบังอะไร เพราะท่านี้ของชิงเฟิงไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์แสดงบนอาวุธได้จริงๆ
สุดท้ายทั้งสองก็พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของท่าที่ตัวเองใช้ ต่างก็หวังว่าจะได้ความรู้อะไรบ้าง ปรากฏว่าปัญหาที่ทั้งคู่เผชิญมีความแตกต่างกัน เป็นคนละเส้นทางกันโดยสิ้นเชิง
เหมียวอี้ใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารรวบรวมจิงชี่เสินให้เชื่อมต่อกับพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อฝึกท่านี้ออกมา ในเนื้อแท้ไม่มีอะไรแตกต่างกับท่าหนึ่งทวนสิบสังหารสักเท่าไร เป็นการปล่อยท่าอย่างบ้าคลั่งล้วนๆ จำเป็นต้องอาศัยสื่อนำ ก่อนหน้านี้ตอนที่พลังอิทธิฤทธิ์ย้อนทำร้าย ระดับของอาวุธที่ใช้ก็แทบจะถึงขั้นระเบิดตัวเอง กายเนื้อย่อมทนรับการปล่อยพท่าอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ได้ยาก จำเป็นต้องเป็นหนึ่งเดียวกับทวน ใช้ทวนเป็นจุดหมุนเวียนพลังอิทธิฤทธิ์
ส่วนชิงเฟิงนั้นต่างกัน ท่าของเขาก็เหมือนกับการตัดก้อนแป้ง ต้องดึงอานุภาพที่ต้องการจะปล่อยให้ได้จำนวนหนึ่งก่อน ดึงมารวมเป็นจุดเดียวกัน แล้วค่อยปล่อยสิ่งที่เตรียมไว้โจมตีออกไป ไม่มีปัญหาเรื่องการปล่อยท่าอย่างบ้าคลั่งเหมือนเขื่อนกั้นแม่น้ำพัง
สรุปก็คือท่าหนึ่งคือการโจมตีโดยปล่อยท่าอย่างบ้าคลั่ง อาศัยการควบคุมขนาดพลังเพื่อควบคุมอานุภาพการโจมตี ส่วนอีกท่าหนึ่งกักเก็บขนาดของพลังเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากกักเก็บจนถึงจุดหนึ่งก็ค่อยโจมตีให้ถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้อานุภาพการโจมตีของเหมียวอี้จึงมีลักษณะการระเบิดมากกว่า ส่วนอานุภาพการโจมตีของชิงเฟิงก็มีลักษณะการผ่านทะลุได้มากกว่า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หลังจากทำความเข้าใจซึ่งกันและกันจนกระจ่างแล้ว เหมียวอี้ถึงพยักหน้าช้าๆ เดินไปข้างหน้า “ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกันได้แล้ว”
ชิงเฟิงพูดต่อว่า “ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ วิธีการโจมตีสองประเภทนี้ล้วนเป็นการโจมตีที่เหนือกว่าระดับวรยุทธ์ ดังนั้นเมื่อสืบสาวจนถึงแก่นแท้แล้ว ก็ยังเป็นเพราะวรยุทธ์ของพวกเราไม่พอ ไม่มีทางควบคุมอานุภาพการโจมตีแบบนี้ได้อย่างอิสระราบรื่น ถ้าวรยุทธ์ของนายท่านสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ความสามารถในการปกป้องกายเนื้อสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยอาวุธก็สามารถใช้ท่านี้ได้เหมือนกัน”
เหมียวอี้ส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “ใครจะไปรู้ว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร ข้าอยากจะเตรียมตัวให้รอบคอบสำหรับการทดสอบครั้งนี้ ถ้าประมือกันแล้วเสียอาวุธไว้ ข้าจะได้มีหลักประกันเพิ่มอีกชั้น”
“แบบนี้…” หลังจากชิงเฟิงทำท่าลังเลนิดหน่อย ก็บอกว่า “ถ้าจะแค่ฝึกเพื่อเตรียมไว้เฉยๆ ข้าน้อยก็มีอีกวิธีการหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่”
“หืม!” เหมียวอี้หยุดฝีเท้าแล้วหันมาถาม “หมายความว่ายังไง?”
ชิงเฟิงหยุดเดินตามเขา “นายท่านแค่ต้องใช้อาวุธปล่อยอานุภาพของท่านี้ ถ้าตอนประมือกันสวมเกราะรบ ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เกราะรบให้เป็นเหมือนอาวุธเพื่อแสดงอานุภาพของท่านี้ได้หรือไม่ ถ้าสามารถทำได้ การที่นายท่านสวมเกราะรบก็เท่ากับใช้ท่านี้ด้วยมือเปล่าเหมือนกันไม่ใช่หรอกเหรอ?”
เหมียวอี้อึ้งทันที จากนั้นก็ตบหน้าผากตัวเองแรงๆ กระทืบเท้าบอกว่า “ทำไมข้าลืมเรื่องนี้ไปได้!”
พอพูดจบก็พลิกฝ่ามือ เกราะรบผลึกแดงปรากอยู่ในมือ แล้วพลิกม้วนขึ้นตัวเสียงดังเปาะแปะ ชั่วพริบตาเดียวก็สวมเกราะรบเสร็จแล้ว เขายกมือสองข้างดูถุงมือเกราะรบที่ปกป้องฝ่ามือ สุดท้ายก็กำหมัด ครุ่นคิดวิธีการควบคุมทวนอย่างเงียบๆ
หลังจากเตรียมจิงชี่เสินกับพลังอิทธิฤทธิ์อย่างเหมาะสมแล้ว จู่ๆ ก็เกิดเงาหมัดที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หมัดข้างหนึ่งชกขึ้นฟ้าในแนวเฉียง
ชิงเฟิงพลันหรี่ตา สังเกตเห็นจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองที่หมุนวนตอนปล่อยหมัดออกมา
บึ้ม! พุ่มของต้นไม้ที่ใหญ่บดบังท้องฟ้ากลายเป็นผงแป้งในทันที อานุภาพที่หลงเหลือสะเทือนไปถึงป่าไม้ในรัศมีสิบกว่าจั้ง ชั่วพริบตาเดียวก็พลิกปลิวไปรอบๆ แบบถอนรากถอนโคน
พวกอิงอู๋ตี๋ปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าแล้วมองมาข้างล่างอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงต้นไม้ใบหญ้าหายไปเป็นวงใหญ่ เหมียวอี้กับชิงเฟิงยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายดี เพียงแต่เหมียวอี้สวมเกราะรบทั้งตัวแล้ว
“เหอะๆ! คำพูดของชิงได้ปลุกคนให้ตื่นจากฝัน สำเร็จแล้วจริงๆ ด้วย!” เหมียวอี้ที่ดีใจไม่หายมองไปรอบๆ “เพียงแต่ยังไม่คุ้นชินกับการควบคุมท่าแบบนี้ ไม่สามารถควบคุมอานุภาพได้ สะเทือนไปถึงป่าไม้รอบข้าง”
ชิงเฟิงกุมหมัดกล่าวว่า “ยินดีกับนายท่าน”
“ดีที่มีเจ้าคอยเตือน! การเก็บตัวฝึกฝนบนเกาะครั้งนี้ได้เก็บเกี่ยวความรู้ไม่น้อยเลย!” เหมียวอี้ยิ้มพลางมองหมัดสองข้างของตัวเอง นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะไม่เพียงแค่ได้แก้ปัญหาใหญ่ของท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร ทั้งยังได้วิธีการโจมตีท่านี้โดยไม่ใช้อาวุธควบคุมด้วย เพิ่มความสามารถในการปกป้องชีวิตตัวเองได้เยอะมาก มีความมั่นใจกับการไปนรกมากขึ้นหลายส่วน
พอเงยหน้าขึ้น เห็นอิงอู๋ตี๋ลอยอยู่บนฟ้า ก็กล่าวเสียงดังว่า “พี่สาม เรียกรวมคน กลับกันเถอะ!”
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มคนก็เหาะออกจากเกาะอย่างรวดเร็ว เร่งกลับถึงตลาดสวรรค์ สำหรับเหมียวอี้ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวฝึกฝนบนเกาะอีกแล้ว ปัญหาที่อยากจะแก้ไขก็แก้ไขได้แล้ว อาศัยเวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ ถ้าอยากจะประมือกับพวกอิงอู๋ตี๋เพื่อเพิ่มความเร็วก็คงไม่ได้ผลสักเท่าไร วรยุทธ์ของเขาก็เห็นๆ กันอยู่ ต่อให้เร็วกว่านี้ก็ไม่เร็วไปถึงไหน การใช้เวลาที่เหลือเพิ่มวรยุทธ์ ไม่ว่าจะอยู่บนเกาะหรืออยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องออกจากตลาดสวรรค์มาเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก
…………………………