พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1193 คนทรยศ
เหมียวอี้เดินมาตรงหน้าซูลี่เช่นกัน แล้วเอียงหน้าบอกว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
ตอนนี้เขาไม่อยากก่อเรื่อง เส้นสายและภูมิหลังของคนพวกนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าสู้กันขึ้นมาต่อให้ปี้เยว่ฮูหยินจะไม่ช่วยพวกเขา แต่ก็จะไม่ทำอะไรพวกเขาเหมือนกัน ถ้ามีปี้เยว่ฮูหยินอยู่ด้วย ตนก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้
ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ก็ต้องหาจุดที่สามารถแก้ปัญหาได้ในรวดเดียว ไม่อย่างนั้นคนที่เล่นอยู่ในกติกานี้ก็จะทั้งละโมบทั้งโหดร้าย!
คนพวกนี้ก็ได้รับการบอกใบ้เจตนาจากร้านค้าใหญ่ๆ ที่อยู่เบื้องหลังตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน ว่าไม่อยากให้หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตกลับมา!
ต่อให้เบื้องหลังจะไม่มีใครบอกใบ้เจตนา แต่ในฐานะที่อยู่ภายใต้เส้นสายต่างๆ การกู้หน้ากลับมาให้เส้นสายที่อยู่เบื้องหลังตัวเองก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เหมียวอี้ทำให้ร้านค้าแต่ละร้านเสียหายหนักมาก เสียทั้งฉากหน้าเสียทั้งภายใน พวกเขาย่อมต้องการให้เหมียวอี้เสียหน้าอยู่แล้ว ถ้าสั่งสอนแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกินแล้วล่ะ หรือว่าเรื่องแบบนี้ยังต้องให้พวกจอมพล เทพประจำดาวเอ่ยปากกำชับด้วยตัวเองว่าให้พวกเจ้าสู้กับตัวละครเล็กๆ? ถ้าต้องทำแบบนั้น การเลี้ยงพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร? เป็นไปไม่ได้ที่คนใหญ่คนโตจะเอ่ยปากพูดอะไรแบบนี้ เรื่องเล็กๆ ย่อมต้องให้ตัวละครเล็กๆ ไปจัดการ ถ้าให้ตัวละครใหญ่ๆ ลงมือเองจะเป็นการลดฐานะเกินไป ส่วนตัวละครเล็กๆ ก็มีเอาไว้ขับดุนฐานะให้ตัวละครใหญ่ๆ
แต่จนใจที่ไม่สะดวกจะลงมือกับเหมียวอี้ที่นี่ ปี้เยว่ฮูหยินไม่ได้มีไว้ในตำแหน่งเฉยๆ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาความบันเทิงก่อนล่วงหน้า จึงได้จงใจสร้างความอัปยศให้แบบนี้
ซูลี่กลับเป็นฝ่ายถอยหลังไปเอง เหมือนไม่กล้าอยู่ใกล้กับเหมียวอี้มากเกินไป พอถอยไปอยู่ระหว่างคนกลุ่มนั้นแล้ว ถึงได้บอกว่า “เจ้าบอกให้ข้าไปแล้วข้าต้องไปงั้นเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นหัวหน้าข้ารึไง? พอมาถึงที่นี่แล้วทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด อยู่ในสถานะรอการทดสอบ ไม่ถึงคราวให้เจ้าเรียกข้าไปนั่นมานี่หรอก!”
“ฮ่าๆๆ…” ทุกคนได้ยินแล้วหัวเราะลั่น
เหมียวอี้ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาเย็นเยียบลงในทันที ในชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จึงจ้องซูลี่อย่างเย็นเยียบ มองจนซูลี่ชาวาบหนังศีรษะ ถึงอย่างไรก็อยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายปี อำนาจในการข่มเหงของผู้บัญชาการใหญ่หนิวครอบคลุมทั้งตลาดสวรรค์มาโดยตลอด ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเหมือนเสือที่ออกมานอกป่า แต่สำหรับเขาแล้วก็ยังมีอานุภาพหลงเหลืออยู่
แปะๆ! ผู้บัญชาการใหญ่ติงเจ๋อเฉวียนเรียกได้ว่าปรบมือแสดงความยินดี ถามอย่างกลัวว่าใต้หล้าจะไร้เรื่องวุ่นวาย “พี่ซู เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวเลวทรามต่ำช้า มันเรื่องอะไรกันแน่ล่ะ?”
เมื่อถูกกระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซูลี่ก็แข็งใจรวบรวมความกล้า ชี้เหมียวอี้พร้อมบอกกับทุกคนว่า “คนคนนี้ใช้อำนาจที่ตำหนักสวรรค์ประทานให้มาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว กุเรื่องใส่ร้ายร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ เลื่อนตำแหน่งให้แต่ญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งยังใช้อำนาจข่มขู่ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ลามกโลภสมบัติ ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ดาวเทียนหยวน เรียกได้ว่าทำชั่วสารพัดอย่าง ถ้าแบบนี้ไม่เรียกเลวทรามต่ำช้า แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเลวทรามต่ำช้าล่ะ!”
เขารู้ว่าครั้งนี้ได้ล่วงเกินเหมียวอี้อย่างถึงที่สุดแล้ว แต่จะไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาฟังคำสั่งเหมียวอี้แล้วมาตามหาเรือนพัก พอคนอื่นได้ยินว่าเขาคือคนของเหมียวอี้ ก็ถูกหลี่หวนถังที่อยู่ข้างนอกตำหนิทันที หลังจากมาถึงเรือนพักแล้ว พวกจางฮั่นฟางก็ถามเขาเพียงคำเดียว ว่าจะอยู่กับพวกเขาหรือจะอยู่กับเหมียวอี้
ไม่ต้องพิจารณาอะไรมากเลย บางครั้งคนเราก็ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ซูลี่บอกทันทีว่ายินดีจะติดตามพวกเขา แต่พวกจางฮั่นฟางต้องการให้เขาตัดขาด ต้องการให้เขามอบตัว พิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่คนของเหมียวอี้ ดังนั้นจึงเกิดภาพอย่างที่เห็น
เรื่องราวก็เรียบง่ายแบบนี้ เหมียวอี้เองก็เข้าใจการตัดสินใจเลือกของซูลี่ เขาเข้าใจถึงความจนใจของซูลี่ ขนาดเขาเองยังรู้สึกจนใจเลย ซูลี่ไม่อยากรนหาที่ตายมาติดตามเขาก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่หลังจากซูลี่พูดแบบนี้ออกมา คุณสมบัติก็ต่างออกไปแล้ว
“ฮ่าๆ…” มีคนไม่น้อยหัวเราะจนตัวโยน ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะโดนลูกน้องของตัวเองดูหมิ่นต่อหน้าฝูงชน พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของหนิวโหย่วเต๋อ ก็รู้สึกว่าน่าขำจริงๆ
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของกลุ่มคน เหมียวอี้จ้องซูลี่พร้อมบอกว่า “ซูลี่ ถ้าเจ้าอยากจะต่อสู้เพื่ออนาคต ข้าก็ไม่ขัดขวางเจ้าหรอก เจ้ากลัวว่าข้าจะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ข้าก็ไม่โทษเจ้าเช่นกัน แต่มีอยู่คำหนึ่งที่เจ้าต้องจำไว้ให้ดี ข้าไม่ถือสาที่คนเรามีปณิธานต่างกัน แต่ถ้าเป็นคนทรยศ ถ้าไม่ปล่อยไปเด็ดขาด!”
ซูลี่รู้สึกกินปูนร้อนท้อง หันมองซ้ายมองขวา
ฮูหยินของหัวหน้าภาคบางคน ผู้บัญชาการใหญ่เหยียนซู่ยืนขึ้นกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาขู่กันได้อย่างป่าเถื่อน ไม่ปล่อยไปเหรอ? ยังไม่รู้เลยว่าใครจะไม่ปล่อยใครกันแน่!”
เหมียวอี้ไม่แก้ตัวกับนาง ยื่นนิ้วชี้ไปที่ซูลี่อย่างจริงจัง เขาไม่ได้พูดอะไรอีก พลันหันตัวเดินจากไปแล้ว
พอออกมาจากเรือนพัก ก็เดินไปหาเรือนพักทีละห้อง ผลักประตูลานบ้านเข้าไปทีละหลัง
ผลปรากฏว่าเป็นอย่างที่คาดไว้ คนที่ตามดูเอาสนุกอยู่ข้างหลังเล่นงานเขาจริงๆ เรือนพักสิบหลังที่จัดไว้ให้ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ทั้งสิบถูกครอบครองไว้หมดแล้ว
เหมียวอี้ขี้เกียจจะเถียงกับพวกเขา หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับปี้เยว่ฮูหยิน ถามไปตรงๆ ว่า : ฮูหยินต้องการจะเล่นงานข้าน้อยให้ตายเลยใช่มั้ย?
เขาไม่ได้มาฟ้องปี้เยว่ฮูหยินให้ช่วยเหลือ แค่อยากจะแน่ใจสักหน่อยว่าคนพวกนี้มีปี้เยว่ฮูหยินคอยอนุญาตอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ข้างล่างมีคนกลุ่มนี้ก่อกวน ข้างบนมีปี้เยว่ฮูหยินอนุญาต เขาก็เลิกคิดได้เลยว่าจะเข้าร่วมการทดสอบอย่างราบรื่น ถ้าถูกกดดันจนหมดหนทางจริงๆ เขาก็ไม่ต้องพิจารณาอีกแล้ว ว่าถ้ามีเรื่องกับปี้เย่วฮูหยินแล้วจะอยู่ทำมาหากินที่ดาวเทียนหยวนต่อได้อย่างไร ย่อมต้องแตกหักกับปี้เยว่ฮูหยินโดยไม่สนใจอะไรแล้ว เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงติดต่อกับเกาก้วน ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์โดยตรง ฟ้องร้องต่อฝ่ายตรวจการของตำหนักสวรรค์!
ปี้เยว่ฮูหยิน : ทำไมผู้บัญชาการใหญ่หนิวถามแบบนี้?
เหมียวอี้ถาม : แล้วทำไมในเขตคฤหาสน์รวมพลก่อนการทดสอบแห่งนี้ คนคุมกับทุกคนถึงร่วมมือกัน แม้แต่ที่ยืนก็ไม่เหลือให้ข้าน้อยเลย?
ปี้เยว่ฮูหยิน : มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? รอก่อน
ผ่านไปไม่นาน ปี้เยว่ฮูหยินก็นำหลันเซียงและคนอื่นๆ เหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงตรงหน้าเหมียวอี้ แค่นางมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้มีเรื่องกับคนพวกนี้ พอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว ชั่วพริบตานี้ในใจนางเดือดดาลนิดหน่อย นางคิดว่าต่อให้พวกเจ้าจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อ แต่ก็ต้องรอให้ข้าส่งตัวเขาไปก่อนสิ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเจ้าจะเล่นงานอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว ถ้าก่อเรื่องตอนนี้แล้วรู้ไปถึงหูราชินีสวรรค์ ถ้าการทดสอบครั้งแรกที่ราชินีสวรรค์จัดตั้งเองเกิดปัญหาที่อาณาเขตข้า แล้วจะให้ราชินีสวรรค์มองข้าอย่างไร?
ท่านโหวเทียนหยวนสั่งนางมาแล้ว ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ราชินีสวรรค์มีอำนาจนอกวังหลัง จะต้องปฎิบัติอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นราชินีสวรรค์ก็อาจจะไม่เสียดายที่จะเชือดไก่ให้ลิงดู!
จางฮั่นฟางและคนอื่นๆ พากันหดหัว นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเรียกปี้เยว่ฮูหยินออกมาโดยตรง ตอนอยู่งานเลี้ยงที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวในปีนั้น ก็ไม่เห็นว่าเหมียวอี้จะกล้าเถียงอะไรเลย ตอนนี้พวกเขาหันตัวเงียบๆ อยากจะหนีไป ซูลี่ก็ตกใจเช่นกัน
“หยุดนะ!” ปี้เยว่ฮูหยินตะคอกเสียงเข้ม ตะคอกหยุดทุกคน แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เหมียวอี้ตอบตรงๆ อย่างไม่กังวลว่า “คนพวกนี้ครอบครองเรือนพักทุกหลังไปหมดแล้วขอรับ ข้าน้อยไม่มีที่อยู่”
“อย่ามาใส่ร้ายป้ายสี ใครบอกว่าพวกเราครอบเรือนพักไปหมด เจ้ามีพยานหลักฐานรึเปล่า?” ซางหรูเยว่ถาม
“พยานบุคคลก็อยู่ฝ่ายเจ้าหมดแล้วไง” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ
“งั้นก็แปลว่าไม่มี…”
“หุบปากให้หมด ไม่เห็นหัวข้าเลยรึไง?” หลังจากปี้เยว่ฮูหยินพูดตัดบท ก็หันมองรอบๆ พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะคอกอีกครั้ง “กงอวี่เฟย!”
พอเสียงดังออกไป เงากระโปรงเงาหนึ่งก็แฉลบเข้ามา กงอวี่เฟยโผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้ นางคำนับอย่างยำเกรง “ฮูหยิน!”
“เจ้าดูแลงานแบบนี้น่ะเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินตะคอกถามตรงนั้นทันที
กงอวี่เฟยเหลือบมองพวกจางฮั่นฟางแวบหนึ่ง แล้วแข็งใจตอบว่า “ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร ฮูหยินได้โปรดชี้แนะสักหน่อย!”
ปี้เยว่ฮูหยินจ้องนางอย่างเย็นเยียบ แต่สุดท้ายก็ยังพูดวางมาดพอเป็นพิธีเท่านั้น “จัดหาที่พักให้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดเหตุอะไรอีกข้าจะเอาเรื่องเจ้า!”
“รับทราบ!” กงอวี่เฟยเอ่ยรับคำสั่ง
“แล้วก็พวกเจ้าอีก!” ปี้เยว่ฮูหยินโบกมือชี้คนกลุ่มนั้น “ถ้ากล้าก่อเรื่องอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า!” พูดจบก็หันไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วสะบัดแขนเสื้อนำคนเหาะกลับไปทันที
เหมียวอี้หรี่ตาจ้องเงาร่างของนางที่หายไปในจวนแม่ทัพภาคบนยอดเขา เขาเข้าใจแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินไม่แม้แต่จะซักถามคนพวกนี้เลย ด้วยท่าทีแบบนี้ ก็แสดงออกชัดเจนแล้วว่าปี้เยว่ฮูหยินยังเข้าข้างคนพวกนั้น แต่ก็มองออกเช่นกัน ว่าปี้เยว่ฮูหยินไม่อยากให้สมาชิกที่เข้าร่วมทดสอบเกิดเรื่องขึ้นก่อนจะถูกส่งตัวออกไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาเลย
“ผู้บัญชาการใหญ่หนิว เชิญเถอะ!” จู่ๆ กงอวี่เฟยก็ยื่นมือเชิญอย่างไม่เกรงใจ
เหมียวอี้มองเห็นความเคียดแค้นในแววตาของนาง ตอนนี้ยังทำอะไรนางไม่ได้ ทำได้เพียงจดจำบัญชีนี้ไว้ก่อน เขาเดิมตามนางไป โดยที่ข้างหลังมีเสียงเยาะเย้ยถากถางดังตามมาเป็นแถบ
เรือนพักยังคงเป็นเรือนพักหลังเดิมเหมือนกับตอนแรก ตอนนี้ไม่มีใครกล้าวิ่งเข้ามาพูดแล้วว่าเรือนพักหลังนี้มีเจ้าของ ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้ปี้เยว่ฮูหยินก็ออกหน้าเอง ผู้บัญชาการใหญ่พวกนั้นไม่กล้ามีเรื่องกับปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน ในภายหลังยังต้องทำมาหากินอยู่ภายใต้ท่านโหวเทียนหยวนอีก
ที่พวกเขาไปเข้าร่วมการทดสอบ ไม่ใช่เพราะจะวิ่งเข้าไปเสียงอันตราย แต่ทำไปเพื่อรับมือกับการทดสอบล้วนๆ พอเข้าไปในนรกแล้วก็ต้องหาที่ซ่อนตัว รอให้การทดสอบจบแล้วค่อยกลับมาอีกที จะมีผลงานหรือไม่มีผลงานก็ไม่สำคัญ พวกเขาไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าจะต้องรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เอาไว้ การปกป้องชีวิตต่างหากที่สำคัญ พวกเขาเองก็ถูกกดดันจนหมดหนทางเช่นกัน ถ้าไม่เข้าร่วมการทดสอบ ก็จะถูกลดขั้นให้ไปเป็นพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองตั้งหนึ่งหมื่นปี! พวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองได้ค่าตอบแทนแค่นิดเดียว ไม่พอให้เป็นเศษเงินสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขาด้วยซ้ำ ถ้าอาศัยค่าตอบแทนเล็กน้อยนั่นประทังชีวิตหนึ่งหมื่นปี ก็จะต้องขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนจำนวนมาก นี่ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่เป็นหนึ่งหมื่นปี โหดเกินไปแล้ว ต่อให้มีภูมิหลังเส้นสาย แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจัดหาทรัพยากรฝึกตนมาเติมให้เจ้าโดยสูญเปล่าเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปี ภายใต้ความจนใจ จึงทำได้เพียงไปอยู่ที่นรกสักหนึ่งร้อยปี พอออกจากนรกไปแล้ว ต่อให้จะไม่ได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์อีก แต่อย่างน้อยก็ยังย้ายไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่อื่นได้ เพียงแต่ทรัพยากรลดลงก็เท่านั้นเอง สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างไม่มีปัญหา นี่ก็คือข้อดีของการมีภูมิหลังเส้นสาย
คนอื่นๆ ที่ลงชื่อสมัครย่อมไม่ได้โชคดีแบบนี้ สาเหตุที่พวกเขาลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบ ก็เพราะต้องการจะฝ่าฟันเพื่ออนาคต คนที่ไปเดิมพันในนรก ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกทะเยอะทะยานที่กลุ้มใจเพราะไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ
นี่ก็คือจุดที่เหมียวอี้ชอบ หลังจากได้ที่พักแล้ว เขาก็เดินไปทั่วเพื่อหาพรรคพวก หวังว่าจะสร้างพันธมิตรมาปกป้องตัวเองเหมือนตอนอยู่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ทว่าการทดสอบครั้งนี้ต่างจากการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร และต่างจากการทดสอบของตำหนักสวรรค์ครั้งก่อนด้วย เพราะครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นการเข่นฆ่ากัน แค่ให้ไปสืบสถานการณ์ในนรกเฉยๆ ถ้าใครอยากจะเป็นพันธมิตรกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดัง ก็แสดงว่าอยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้ว
แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว ท่านขุนนางเหมียวไม่มีพันธมิตรสักคน นอกจากทุกคนหลบหนีให้ห่างเขาแล้ว ยังได้ยินคำพูดเยาะเย้ยถากถางไม่น้อยด้วย เพราะพวกเขาโดนพวกจางฮั่นฟางดึงไปเป็นพวกตั้งนานแล้ว พวกเขาไม่ต้องไว้หน้าเหมียวอี้ก็ได้ แต่ยังต้องไว้หน้าพวกจางฮั่นฟาง พวกเขาไปนรกเพื่อเสี่ยงอันตรายไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ละคนล้วนกอดความหวังที่จะมีชีวิตกลับมา หลังจากกลับมาแล้ว ไม่ว่าจะยังได้อยู่ที่ตลาดสวรรค์หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ทำงานเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ พวกแม่ทัพภาค หัวหน้าภาค หัวหน้าภาคใหญ่อะไรที่อยู่เบื้องบนก็ยังเป็นคนของผู้มีอำนาจพวกนั้นไม่ใช่เหรอ
ที่เรียกว่าปรับปรุงตลาดสวรรค์อะไรนั่น ในสายตาของสมาชิกทั่วไปที่เข้าร่วมการทดสอบ นี่คือการเปลี่ยนน้ำแกงโดยไม่เปลี่ยนยา[1]แท้ๆ เลย พวกเขาแค่อยากจะฉวยโอกาสครั้งนี้ให้ตัวเองไต่เต้าเท่านั้น
…………………………
[1] เปลี่ยนน้ำแกงโดยไม่เปลี่ยนยา 换汤不换药 อุปมาว่าเปลี่ยนรูปแบบแต่ไม่เปลี่ยนเนื้อหา