พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1200 เงาร่างที่โดดเดี่ยว
เกาก้วนดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือ หลังจากอ่านคร่าวๆ รอบหนึ่ง เขาก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ยืนยัน แล้วส่งให้เถิงเฟยที่อยู่ข้างๆ
ลูกน้องของเถิงเฟยก็ถือแผ่นหยกเข้ามารายงานเช่นกัน “รายงานจอมพล นับดูแล้วขอรับ สมาชิกผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เข้ามามีทั้งหมดหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นสามร้อยยี่สิบสามคน”
เถิงเฟยก็ดูดแผ่นหยกมาไว้นมือเช่นกัน หลังจากอ่านจบแล้วก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ส่งต่อให้เกาก้วน ทั้งสองฝ่ายยืนยันแล้วว่าจำนวนคนที่ส่งต่อให้กันไม่ผิดพลาด ทำแบบนี้จะได้ไม่มีคนโกงการทดสอบ
“ได้แล้วหรือยัง?” เถิงเฟยเก็บแผ่นหยกแล้วเอ่ยถาม
เกาก้วนพยักหน้า
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไปให้ปล่อยได้!” เถิงเฟยเอียงหน้าสั่ง
เมื่อเสียงถ่ายทอดคำสั่งดัง กำลังพลหลายแสนที่ล้อมผู้เข้าร่วมการทดสอบก็วนกลับเข้ามาทางราวกับกางแขนสองข้างทันที เผยผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนหนึ่งล้านแปดแสนกว่าคนอยู่ในท้องฟ้าของแดนอเวจี
เห็นได้ชัดว่าผู้เข้าร่วมทดสอบรู้สึกปลอดภัยกว่าเมื่อโดนล้อมไว้ พอข้างหน้าเปิดทาง ก็ไม่มีใครกล้าขยับไปไหนซี้ซั้ว ทุกคนต่างกวาดสายตามองไปรอบๆ มีบางคนถึงขั้นกลืนน้ำลายด้วยความวิตกกังวล ที่จริงตั้งแต่เริ่มเข้ามาที่นี่ ที่จริงทุกคนก็เริ่มมองสำรวจท้องฟ้ารอบๆ ด้วยความวิตกกังวลตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าท้องฟ้าผืนนี้ไม่ปกติ อย่างน้อยก็แตกต่างจากท้องฟ้าปกติด้านนอก หมอกเพลิงที่อยู่ในจุดลึกของท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนแปลงสีสันอย่างพิลึกกึกกือ บางครั้งก็เหมือนหมอกบางที่พรั่งพรูออกมาจากหุบเขา บางครั้งก็เหมือนสัตว์ประหลาดกำลังอ้าปาก บางครั้งก็เหมือนเทพธิดาเริงระบำ บางครั้งก็เหมือนมารปีศาจที่กำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย บางครั้งก็เหมือนภูเขาไฟปะทุ แสงสุกสกาวเปลี่ยนรูปแบบหลากหลายอยู่ในจุดลึกของท้องฟ้า
ที่แปลกที่สุดก็คือ ในจุดลึกของท้องฟ้าเหมือนมีเสียงคนกระซิบพึมพำอยู่เสมอ บางครั้งก็มีเสียงกรีดร้อง แต่ถ้าฟังให้ดีๆ ที่จริงแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรสักนิดเลย
“เจ้าได้ยินหรือเปล่า?”
“ได้ยินแล้ว”
มีบางคนอดไม่ได้ที่จะถามเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างกาย ผลปรากฏว่าแน่ใจแล้วว่าไม่ได้หูแว่วไปเอง มีเสียงประหลาดดังอยู่ในท้องฟ้าผืนนี้จริงๆ
ทว่าตามหลักการแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ ถ้าไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีทางที่จะส่งเสียงออกมาได้เลย แต่ไม่รู้สึกเลยว่าในเสียงที่ดังแว่วนั้นมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงดังออกมาได้อย่างไร อย่างไรเสียก็รู้สึกว่าไม่ใช่เสียงปกติ เหมือนมีคนกำลังเปล่งเสียงอยู่ในหัวสมองของตัวเอง ไม่ใช่เสียงที่ดังผ่านหู พอเป็นแบบนี้ก็ยังเพิ่มรสชาติความเหลวไหลลวงโลกให้กับท้องฟ้าผืนนี้ไม่น้อยเลย
“นายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มเลยมั้ยขอรับ?”
หลังจากคุยกับลูกน้องพักหนึ่ง จุยหย่วนก็เหาะไปรายงานตรงหน้าเกาก้วนและเถิงเฟยที่ยืนอยู่บนที่สูงอีกครั้ง
เกาก้วนกวาดสายตามองกำลังพลนับล้านที่สวมเกราะทอง แล้วพยักหน้าเบาๆ “เริ่มได้!”
“รับทราบ!” จุยหย่วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง หันตัวมาโบกมือ นำกลุ่มที่ปรึกษาเหาะไปตรงหน้าสุดของทัพใหญ่หนึ่งล้าน
กลองสะท้านฟ้าเส้นผ่าศูนย์กลางหน้ากลองยาวถึงห้าจั้งที่เลี่ยมขอบทองลายเมฆถูกเรียกออกมาจำนวนสิบสองใบ เรียงเป็นหนึ่งแถวโดยเว้นระยะเท่าๆ กัน เรียงแถวอยู่ตรงหน้าสุดของทัพใหญ่นับล้าน
จุยหย่วนเหยียบลงบนกลองลูกหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง เผชิญหน้ากับทัพใหญ่หนึ่งล้าน แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “ผู้เข้าร่วมทดสอบทุกคนฟังคำสั่ง ใช้กลองนี้เป็นเขตแดน เริ่มการทดสอบนอกเขต เมื่อเสียงกลองดังจบสามยก แล้วมีใครยังไม่ออกจากเขต ประหาร! เริ่มการทดสอบ ตีกลอง!”
ทหารที่ลอยอยู่หน้ากลองใหญ่ร่ายอิทธิฤทธิ์โบกไม้กลอง ควงแขนสองข้างตีหน้ากลองอย่างบ้าคลั่ง
ตุ้งๆๆๆๆ…
เสียงกลองที่ทุ้มต่ำทว่ามีจังหวะเขย่าใจคนดังก้องอยู่ในท้องฟ้า
พอคำสั่งประหารและคำสั่งเริ่มการทดสอบดังขึ้น รูปขบวนของทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เข้าร่วมทดสอบก็วุ่นวายทันที เพื่อที่จะหลบเลี่ยงคำสั่งประหารก่อน พวกเขาไม่สนใจอะไรแล้ว ออกจากเขตแดนให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
กำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนไหลพุ่งจากระหว่างกลองสะท้านฟ้าขนาดใหญ่สิบสองใบราวกับอุทกภัยทันที
พอมีกลองมาวาดเส้นแบ่งเขตแดนสำหรับออกเดินทาง คนส่วนใหญ่ก็เริ่มลนลานวุ่นวาย ถอดเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์บนตัว เปลี่ยนใส่เกราะรบผลึกม่วง หรือไม่ก็เกราะรบผลึกแดงที่ขั้นสูงยิ่งกว่านั้น คนที่มีปัจจัยพร้อมถึงขั้นเรียกสัตว์เทพออกมาเป็นสัตว์พาหนะแล้ว
ส่วนคนที่ไม่มีปัจจัย ส่วนใหญ่เป็นผู้เข้าร่วมทดสอบที่มาฝ่าฟันเพื่ออนาคต เดิมทีก็มาเพราะกลุ้มใจที่ไร้โอกาสแสดงความสามารถอยู่แล้ว จะหาสัตว์เทพที่ไหนมาเป็นสัตว์พาหนะได้ล่ะ ส่วนใหญ่ไม่มีเกราะรบขั้นสูงด้วยซ้ำ ทำได้เพียงสวมเกราะรบเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์แก้ขัดไป
พวกจางฮั่นฟางเปลี่ยนสวมเกราะรบผลึกแดง ซูลี่เด็กติดตามของพวกเขาทำได้เพียงอิจาฉาตาร้อน แต่ถึงอย่างไรก็ทำมาหากินอยู่ที่ตลาดสวรรค์ เกราะรบผลึกม่วงก็ยังพอถูไถหามาได้ ไม่นับว่าเป็นเกราะรบผลึกม่วงขั้นสูงสักเท่าไร เป็นแบบธรรมดาทั่วไป
ขณะที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย กำลังพลแต่ละฝ่ายก็รีบเข้าหากลุ่มคนที่ตัวเองดึงมาเป็นพรคคพวกไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาพยักหน้าทักทายกันอย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มเต็มไปหน้า เรียกได้ว่าสุภาพเกรงใจต่อกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซูลี่ย่อมยังคงตามติดอยู่ข้างหลังพวกจางฮั่นฟาง
มีการรวมพลทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่อย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ในกลุ่มมีทั้งมากทั้งน้อย ที่สำคัญคือต้องดูว่าคนที่เป็นแกนกลางของกลุ่มมีภูมิหลังใหญ่โตขนาดไหน คนที่มีภูมิหลังใหญ่โตก็จะรวบรวมคนได้เอยะกว่า
การหาพวกเข้ากลุ่มรอบนี้ไม่ได้ทำไปเพื่อการเข่นฆ่าระหว่างกัน สาเหตุแรกคือเกาะกลุ่มกันไว้เพื่อปกป้องชีวิต ป้องกันไม่ได้โดนฆ่าทำร้าย ต่อให้จะมีการเข่นฆ่าระหว่างกัน แต่ก็เป็นหลังจากที่มีการวาดผลลัพธ์การสำรวจออกมาแล้วแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นตอนนี้
แม้แต่ผู้เข้าร่วมทดสอบทั่วไปที่ไม่มีภูมิหลังก็ยังรีบเข้าไปรวมตัวกับกลุ่มใหญ่ๆ ไม่ได้กังวลว่าในการทดสอบครั้งนี้จะมีความขัดแย้งภายใน หรือถูกคนยึดแย่งผลงานที่สำรวจมาได้อย่างยากลำบาก สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ตำหนักสวรรค์มีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แปดพันกว่า หรือพูดได้อีกอย่างว่าหนึ่งกลุ่มเพียงพอที่จะจุได้แปดพันคน
แบบนี้ก็หมายความว่าสิ่งที่คนหนึ่งคนสำรวจได้สามารถแบ่งคนได้ทั้งกลุ่ม ถ้าคนทั้งกลุ่มแบ่งปันกัน แบบนั้นทุกคนก็จะมีผลประโยชน์มากกว่า จะได้คะแนนมากกว่า ถ้าตอนสุดท้ายของการทดสอบกลุ่มไหนทำคะแนนได้เหนือกว่า ก็หมายความว่าคนทั้งกลุ่มจะสามารถเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้
เมื่อมีกฎกติกาแบบนี้ เบื้องล่างก็ย่อมมีแผนสำหรับหาช่องโหว่ของกติกา
“ตอนนี้ยังกินอีกเหรอ สมองมีปัญหาแล้วมั้ง?” ชายรูปร่างผอมสูงที่สวมเกราะรบสีแดงทุบพุ่งใหญ่ของชายอ้วนที่อยู่ข้างกัน
ชายอ้วนขาวที่สวมเกราะรบผลึกแดงถือน่องไก่กัดคำหนึ่ง แล้วกรอกสุราใส่ปากคำหนึ่ง เขาเคี้ยวพลางส่ายหน้า แล้วตอบอย่างคลุมเครือว่า “ถ้าท้องข้าไม่มีอาหาร ข้าก็จะไม่มีความมั่นใจ ในห้องต้องมีอาหารเพียงพอ หัวใจถึงจะไม่หวาดกลัว เฮ้อ! ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน ให้ข้าเตรียมตัวเป็นผีที่ไม่หิวโหยเถอะ”
เตรียมตัวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์ก็เปลี่ยนครบแล้ว รวมกลุ่มเสร็จหมดแล้ว พวกจางฮั่นฟางถึงได้มีกะจิตกะใจไปสนจอย่างอื่น จู่ๆ ผู้บัญชาการใหญ่เหลียนฟางอวี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อล่ะ? เขาคงไม่หนีไปแล้วหรอกใช่มั้ย?”
“อยู่นั่นไง ยังไม่ออกจากเขต!” ซูลี่ชี้บอก เขาเฝ้าระวังเหมียวอี้มาตลอด สังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ
พอได้ยินแบบนั้น พวกจางฮั่นฟางก็มองเข้าไปในเขตที่ถูกแบ่งโดยกลองทันที เงาร่างที่สวมเกราะม่วงยืนโดดเดี่ยวอยู่ในจุดเริ่มต้น คนที่อยู่รอบข้างไปหมดแล้ว มีเพียงเขาคนเดียวที่ลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
กลุ่มคนกรูกันออกมา จ้านหรูอี้ที่สวมเกราะรบหยกแดงขี่สัตว์เกราะทองคำรามฟ้า ในมือถือทวนยาว นำกลุ่มคนโผล่ออกมา แม้แต่คนในกลุ่มนางรวมทั้งนางก็ยังจ้องไปที่เงาร่างโดดเดี่ยวในเขตแดนนั้น
จาเหรินจวิ้นเปลี่ยนมาสวมเกราะรบหยกแดงแล้วเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น ในมือถือทวนยาว นำคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา จ้องมองเงาร่างโดดเดี่ยวในเขตแดนด้วยสีหน้าเยาะเย้ยถากถาง
“สถานการณ์อะไรกัน?” ชายอ้วนกำลังถือน่องไก่และกรอกสุราใส่ปาก เขาพบเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนแปลกไป จึงหันไปมองแล้วถามว่า “เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร ทำไมยังไม่ออกจากแขตแดน?”
ชายรูปร่างผอมไว้หนวดเคราและจอนผมที่อยู่ข้างกันตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ! ข้ากับเขาเคยรู้จักกันตอนการทดสอบครั้งก่อน” เขาไมม่ใช่ใครที่ไหน โฉวตั้งไห่ลูกน้องของโค่วเหวินหวงที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งก่อน มีหรือที่จะไม่รู้จักเหมียวอี้
การทดสอบครั้งก่อนไม่ราบรื่น อนาคตของโค่วเหวินหวงในตระกูลโค่วตกต่ำลง ถูกโค่วเหวินหลานแทนที่ โฉวตั้งไห่ที่ก้าวเท้าพลาดย่อมอับอายอยู่แล้ว การทดสอบครั้งนี้ก็นับว่าเป็นฝ่ายมาลงชื่อสมัครเอง ตอนนี้พอได้เห็นเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั่นก็เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้ เขาก็คงไม่ต้องมาลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้
ชายร่างผอมสูงที่อยู่ข้างชายอ้วนอุทานอย่างตกตะลึง “เขาคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? จุจุ สถานการณ์ไม่ดีเลยนะ! ดูท่าแล้วคงยากที่จะพ้นเคราะห์! แต่ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราหรอก ตระกูลโค่วสั่งมาแล้ว จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ บอกต่อๆ กันไว้ด้วย ให้ทุกคนอยู่ห่างจากขบวนการสู้รบนี้เอาไว้หน่อย ภายนอกต้องไว้หน้ากัน กลับไปจะได้อธิบายกับตระกูลโค่วได้สะดวก เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ไม่อธิบายลำบาก”
กำลังพลสี่แสนกว่าของสายระกา สายจอ สายกุนบอกข่าวต่อๆ กันแล้ว ตอนนี้กำลังทยอยกันออกจากขบวนทัพใหญ่หนึ่งล้าน เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้น
และเบื้องล่างก็ยังมีคนที่นับว่าเป็นผู้มีฝีมือในการทดสอบครั้งนี้ทยอยกันโผล่ออกมาจากกลุ่มคน พวกเขาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าและด้านหลังของแถวทัพใหญ่ จ้องมองเงาร่างที่โดดเดี่ยวด้วยสายตาเย็นเยียบ
เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่สวมเกราะรบหยกแดงกำลังขี่นกชิงหลวน ในมือถือดาบใหญ่ นำคนเบียดออกมาจากกลุ่มคน เขามองดูคนทางซ้ายและขวาที่กำลังใช้สายตาดุร้ายจ้องเหมียวอี้ แล้วลูบคางพร้อมด่าว่า “แม่งเอ๊ย ลงนามสัญญาบ้าอะไรล่ะ ไอ้เวรนี่มันจะตายห่าตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว”
ต่งอิ้งเกาที่ยืนอยู่ข้างกันจ้องเงาร่างที่โดดเดี่ยวพร้อมพูดเย้ยว่า “พี่เซี่ยโห้วไม่ต้องลงมือเองหรอก อีกประเดี๋ยวถ้ามีโอกาส ข้าจะเด็ดหัวมันมาให้พี่เซี่ยโห้วระบายความโกรธ”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงหันกลับมาบอกว่า “เจ้าแย่งได้เหรอ? คนที่อยากจะฆ่าเขาไม่ได้มีแค่คนสองคน ไม่ได้มีแค่กลุ่มสองกลุ่มด้วย”
“คนเยอะแล้วยังไงล่ะ ต่งคนนี้จะพยายามเต็มที่!” ต่งอิ้งเกากล่าวอย่างอวดดี
ฝานอวี้เฟยมาปรากฏตัวอยู่ข้างกาย บอกว่า “อย่าประมาทเชียวนะ ข้าเคยประมือกับเขามาก่อน คนคนนี้เป็นทหารกล้าที่หาพบได้ยาก เชี่ยวชาญการสู้รบ ไม่ใช่ผู้ที่คนธรรมดาจะสู้ไหว!”
นางคือลูกน้องของเซี่ยโห้วหู่เฉิง สาเหตุที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากโฉวตั้งไห่เท่าไร อีกสาเหตุหนึ่งคือได้รับคำสั่งจากเซี่ยโห้วหู่เฉิงให้มาปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิง
“นั่นก็ต้องดูว่าเป็นใคร” ต่งอิ้งเกาหัวเราะเบาๆ พลางพูดเหน็บแนม นอกจากทวนยาวที่ถืออยู่ในมือ เขายังยกมือลูบ ‘ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์’ ที่สะพายเฉียงอยู่ที่บ่าด้วย
“เชอะ!” ฝานอวี้เฟยเชิดใส่ เพียงแต่แววตาที่มองเงาร่างโดดเดี่ยวแทบจะมีไฟลุกออกมา ตอนนี้นางมีฉายา ‘สาวงามผมแหว่ง’ แล้ว นี่เป็นความอัปยศของนาง และเป็นผลงานของคนคนนั้นด้วย
ตรงทางออก โค่วเหวินชิงที่อยู่ในขบวนแถวที่ปรึกษามองดูเงาร่างที่โดดเดี่ยวในสนาม ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง ทำสีหน้าเหมือนทนมองตรงๆ ไม่ได้ แล้วก็มองดูกำลังพลกลุ่มใหญ่ของตระกูลโค่วที่กำลังแยกตัวออกไป นางแอบทอดถอนใจ ถึงอย่างไรตระกูลโค่วก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว
ปี้เย่วฮูหยินที่อยู่ในขบวนแถวแม่ทัพภาคจ้องมองเงาร่างที่โดดเดี่ยว นางส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ ถึงอย่างไรก็เคยเป็นลูกน้องคนสนิท ตอนนี้กลับได้แต่มองดู…
“โง่เง่าจริงๆ!” เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ที่เข้าร่วมการทดสอบรวมกลุ่มหาพวกกันหมดแล้ว เถิงเฟยก็อดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงทางจมูก “ถ้ากระจายตัวกันจะมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า การรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันเป็นการรนหาที่ตาย ไม่คิดดูบ้างเลย…หืม? คนคนนั้นคือใคร ทำไมยังไม่ลงสนาม สงสัยจะมีคนไม่เห็นคำสั่งประหารของทูตขวาเกาอยู่ในสายตาซะแล้ว!”
เขาพบว่าผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนมากมีปฏิกิริยาแปลกไป สายตาจึงจ้องตามไปเจอเงาร่างที่โดดเดี่ยวอยู่ในสนาม
สายตาของเกาก้วนก็หยุดอยู่บนเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั่นเช่นกัน “จะเป็นใครไปได้ล่ะ? คนที่พังร้านค้าของตระกูลเจ้าไง อย่าบอกนะว่าจอมพลเถิงจำไม่ได้?”
…………………………