พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1203 วิธีรวมพลสู้รบตามมาตรฐาน
เจ้านายกำจัดเจ้านายฝ่ายศัตรูทิ้งด้วยการโจมตีครั้งเดียว สัตว์พาหนะก็กำจัดสัตว์พาหนะของศัตรูทิ้งได้ภายในการโจมตีครั้งเดียว ทั้งสองสังหารได้อย่างสบายๆ ราวกับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
จาเหรินจวิ้นพุ่งโจมตีโดยหันหลังออก คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นวรยุทธ์ของเขา แต่คนจำนวนไม่น้อยที่พอจะมีประสบการณ์ในการเข่นฆ่าอยู่บ้างเห็นแล้วส่ายหน้าทันที มีเพียงคำว่า ‘รนหาที่ตาย’ มอบให้ มีทักษะเล็กน้อยแค่นี้ แต่ยังกล้าไปท้าท้ายอันดับหนึ่งของการทดสอบในสถานที่ไร้ระเบียบอีก ถ้าไม่เรียกว่ารนหาที่ตายแล้วจะเรียกว่าอะไร? เจ้าดูสิว่าอีกฝ่ายสังหารได้อย่างสบายมือ เป็นการวิ่งไปชนหัวทวนของอีกฝ่ายเองแท้ๆ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สำหรับนักพรตส่วนใหญ่ที่อยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน พวกเขายังคงเกิดความสั่นคลอนในใจ กำลังพิจารณาว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองแล้วจะรับมือกับทวนเมื่อครู่นี้ได้หรือไม่
ในศึกแรกของเหมียวอี้ แค่โจมตีทีเดียวก็ปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ลงมือได้อย่างผ่อนคลายและโอหังที่สุด ความทรงพลังนี้ทำให้คนไม่น้อยเกิดความกดดันในจิตใจ ในจิตใตสำนึกแอบวาดระยะห่างกับเหมียวอี้อย่างชัดเจน สำหรับคนส่วนใหญ่ ถึงอย่างไรก็มาทดสอบเพื่อฝ่าฟันอนาคตอยู่แล้ว ไม่ได้มาสู้ตายกับเหมียวอี้เพื่อให้มีอนาคตที่ดี ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็จะไม่คุ้ม
สำหรับคนพวกนี้ การที่จาเหรินจวิ้นตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายเลยสักนิด แต่กลับเป็นสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ที่แสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยม ในสายตาของคนพวกนี้ เฮยทั่นกลับข่มการแสดงฝีมือของเหมียวอี้ด้วยซ้ำ
และสำหรับคนที่ดูการต่อสู้อยู่ตรงหน้า จากแท่นจิตตรงหว่างคิ้วของจาเหรินจวิ้นก็มองออกแล้วว่าวรยุทธ์ของจาเหรินจวิ้นก็ไม่ได้สูงเท่าไรเหมือนกัน
เถิงเฟยส่ายหน้าเล็กน้อย “มีความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ แต่ยังกล้าสู้ตัวต่อตัวกับอันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้ ช่างเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ จาเหรินจวิ้นนี่เป็นใครกัน ซ้ายขวามีคนติดตาม ดูแล้วเหมือนจะมีภูมิหลังอยู่นิดหน่อยนะ”
เขาก็แค่ถามส่งเดชไปอย่างนั้น ถึงอย่างไรตำหนักสวรรค์ก็มีคนที่มีเส้นสายภูมิหลังมากมาย ใครจะไปสนใจไหว
แต่ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะตอบกลับเสียงเรียบว่า “จาหรูเยี่ยน ฮูหยินของเทพประจำดาวเถาะฟ้า จาเหรินจวิ้นก็คือหลานชายของนาง”
เถิงเฟยหันกลับมามองเขา ไม่รู้ว่านับเป็นการพูดเน็บแนมหรือเปล่า “ข่าวกรองในมือเจ้าช่างกุมสถานการณ์ไว้กว้างขวางจริงๆ แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ควรค่าให้เจ้าสนใจด้วยเหรอ?” เขากันกลับมามองเหมียวอี้ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้รู้รึเปล่าว่าจาเหรินจวิ้นคือหลานของฮูหยินผังก้วน เทพประจำดาวเถาะฟ้า?”
เกาก้วนบอกว่า “จาหรูเยี่ยนเคยอยากจะยัดจาเหรินจวิ้นให้เป็นลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ แต่หนิวโหย่วเต๋อไม่ไว้หน้า ถึงได้มีหัวคนหลายพันร่วงลงพื้นไงล่ะ เจ้าว่าเขารู้หรือไม่ล่ะ?”
เถิงเฟยกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “รู้แล้วยังกล้าฆ่า นี่จะสู้ตายโดยไม่สนใจอะไรใช่มั้ย? อืม ก็สู้ตายจริงๆ นั่นแหละ!” เขาจ้องเหมียวอี้พลางหรี่ตาเล็กน้อย
เหมียวอี้สะบัดทวนแล้ว ไม่เพียงแค่ของบนตัวจาเหรินจวิ้นที่ถูกเก็บไปหมด คาดว่าคงไม่อยากจะทำอะไรยุ่งยาก จึงเก็บร่างที่ไม่สมประกอบของจาเหรินจวิ้นไปด้วยเสียเลย
ต่อหน้าทัพใหญ่หนึ่งล้าน เขาหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ใช่ต้นเดียว แต่เป็นสองต้น ขยำเข้าด้วยกันแล้วตบเข้าปาก แล้วพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์กลืนลงไป ยังไม่จบแค่นั้น เขาหยิบยาเม็ดม่วงทองอีกหนึ่งเม็ดยัดใส่ปากอีก
ยาเม็ดม่วงทองนี้ หลังจากที่เขาได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งก่อน ตำหนักสวรรค์ก็ให้รางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ด ยาชนิดนี้เม็ดเดียวเทียบเท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด นอกจากจะมีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ประโยชน์ที่มากที่สุดก็คือพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในยาเม็ดชนิดนี้ก่อตัวแข็งแล้ว ไม่เหมือนยาแก่นเซียนที่พอฝ่าเปลือกออกแล้วพลังจิตวิญญาณที่อยู่ข้างในจะเต็มจนล้นออกมา ยังต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเอาไว้ แต่ยาเม็ดม่วงทองกลับไม่ได้ยุ่งยากแบบนี้ อยากจะกลั่นกรองเมื่อไรก็กลั่นกรองได้ทุกเมื่อ
ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน ของสิ่งนี้สามารถฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่มียาแก่นเซียนไว้ฝึกตน นอกจากจะนำยาเม็ดชนิดนี้มาทดลองสรรพคุณ เหมียวอี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้งานมันเท่าไรเลย เตรียมติดตัวไว้รับมือกับสถานการณ์เร่งด่วน เอาไว้ป้องกันเหตุไม่คาดคิด
พอกลืนลงไปเม็ดหนึ่ง เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบอีกเม็ดยัดเข้าปาก ยัดเข้าปากเม็ดแล้วเม็ดเล่า
ทุ่มกินยาไปก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวเอาไว้สำหรับการบาดเจ็บ เป็นจังหวะก่อนที่จะสู้สุดชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง เวลาที่สายตาของเขาจ้องไปทางไหน กำลังพลที่อยู่ตรงนั้นก็จะเตรียมป้องกัน ‘อย่างสะเทือนใจ’ อยู่พักหนึ่ง ป้องกันไม่ให้เขาพุ่งสังหารเข้ามา
ส่วนพวกเนี่ยกงก็เหม่อค้างแล้ว ยังไม่ได้สติกลับมา นึกไม่ถึงว่าจาเหรินจวิ้นจะหายไปแบบนี้ เร็วจนไม่มีเวลาให้พวกเขานึกออกว่าต้องเข้าไปช่วยชีวิตด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ท่าเดียวก็ถูกจัดการได้แล้ว!
อาศัยทักษะแค่เท่านี้ เจ้ายังกล้าถ่อเข้าไปสู้กันตัวต่อตัวอีกเหรอ?’
พวกเนี่ยกงตกตะลึงตาค้างอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมา ในใจพวกเขาร่ำร้องอย่างโมโหปนเศร้าโศก เคยเห็นคนที่วางกับดักคนอื่น แต่ไม่เคยเห็นใครเอาชีวิตตัวเองมาวางกับดักคนอื่นเล่นแบบนี้เลย โดนลูกหลานผู้มีอำนาจที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเล่นงานถึงตายแล้วจริงๆ
การที่จาเหรินจวิ้นตายไป พวกเขาไม่ได้เศร้าใจหรือเป็นทุกข์เลย แต่ท่านอาหญิงของจาเหรินจวิ้นจะเศร้าโศกทุกข์ใจแน่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นเศร้าโศกทุกข์ใจขึ้นมา แล้วพวกเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ล้างแค้นให้จาเหรินจวิ้น เดี๋ยวกลับไปพวกเขาก็จะต้องกลายเป็นศัตรูอาหญิงของจาเหรินจวิ้นเสียเอง มารดาเจ้าเถอะ นี่มันเรื่องะอไรกันวะ!
“คนที่ตัดหัวหนิวโหย่วเต๋อมาได้ จะได้รางวัลเป็นยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ด หลังจากการทดสอบถ้ารอดชีวิตกลับไป จะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่อาณาเขตดาวเถาะฟ้า!” เนี่ยกงพลันพูดจาบ้าบิ่น ทำเหมือนตัวเองเป็นเทพประจำดาวเถาะฟ้า ก็เพราะไม่มีทางเลือก การตายของจาเหรินจวิ้นทำให้เขาประสาทเสียอย่างถึงที่สุด สุดท้ายก็โบกทวนตะโกนเสียงดังว่า “ตามข้าไปสังหาร!”
สัตว์พาหนะของเขาพุ่งน้ำเข้าไปก่อน ไก้อู๋ซวง หู่โพ่ ฮัวต้าหลางกางแขนตะโกนเสียงดังตามไปทีหลัง “ฆ่า!”
ทั้งสี่ล้วนมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า สามารถทำให้จาหรูเยี่ยนเรียกมาปกป้องหลานชายตัวเองได้ วรยุทธ์ย่อมไม่แย่อยู่แล้ว
เขาว่ากันว่า ถ้าตบรางวัลอย่างงามย่อมต้องมีผู้กล้าออกมาทำงานให้ ทว่าความจริงนั้นมีไม่เยอะ
ถึงแม้ตรงนี้จะมีคนไม่น้อยรู้ถึงฐานะภูมิหลังของจาเหรินจวิ้นอยู่ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นจาเหรินจวิ้นคงรวบรวมกำลังพลไม่ได้มากขนาดนี้ แต่คนประมาณห้าหมื่นคนที่มาจากอาณาเขตดาวเถาะฟ้า มีเพียงหมื่นคนเท่านั้นที่ตะโกนตามว่า “ฆ่า” แล้วโจมตีตามออกไป ส่วนคนที่เหลือก็ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กและยืนอยู่ที่เดิมอย่างลังเลมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เข้าร่วมทดสอบที่ไม่มีอำนาจและภูมิหลังอะไร
คนที่ติดตามพวกเนี่ยกงไปมีเพียงคนสามร้อยกว่าคนที่ขี่สัตว์เทพ ในจำนวนนั้นมีผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เพียงสองร้อยกว่าคน คนพวกนี้ส่วนใหญ่ทำมาหากินอยู่ในอาณาเขตของเทพประจำดาวเถาะฟ้า ถ้าหลานชายของฮูหยินเทพประจำดาวเถาะฟ้าโดนฆ่าตายแล้วตัวเองไม่ออกหน้า แบบนั้นยังจะคิดหลบอยู่ในแดนอเวจีจนกว่าการทดสอบจะจบอีกเหรอ? ต่อให้สามารถหลบได้จนถึงตอนสุดท้าย แต่หลังจากออกไปแล้ว ถ้ารักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไว้ไม่ได้ ยังคิดที่จะย้ายไปตำแหน่งอื่นอย่างราบรื่นอยู่หรือเปล่า? ตำแหน่งเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมืองก็มีตั้งมากมาย ถ้าการทดสอบไม่ราบรื่นจะได้มีข้ออ้างพอดี ต่อให้ตัวเองมีเส้นสายสักหน่อยก็คงไม่อนาถขนาดนั้น แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าไม่ออกหน้าก็จะแก้ตัวไม่ขึ้นแล้ว เป้าหมายคือหนิวโหย่วเต๋อเชียวนะ เดิมทีก็ต้องการจะแสดงความสามารถของตัวเองให้อำนาจเส้นสายที่อยู่เบื้องหลังเห็นอยู่แล้ว ถ้าไม่ออกหน้าตอนนี้แล้วจะไปออกหน้าตอนไหน?
กลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่เดิมทีคิดว่าจะซ่อนตัวอย่างราบรื่นจนกว่าการทดสอบจะจบ ตอนนี้กลับถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้อง จำเป็นต้องแข็งใจบุกโจมตีเข้าไป
ส่วนคนอีกเกือบหมื่นคนที่เหลือก็เหาะตามไป ถ่อมาเข้าร่วมการทดสอบถึงที่นี่ แต่แค่สัตว์พาหนะก็ยังหามาไม่ได้ ย่อมเป็นพวกที่ไม่มีภูมิหลังเส้นสายอะไรเช่นกัน
คนพวกนี้ตะโกนว่าฆ่าเสียงดังพลางพุ่งตัวตามออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอยากล้างแค้นให้จาเหรินจวิ้น แต่เพราะคิดว่าข้างหน้ามียอดฝีมือมากมายคอยกันไว้ให้ คาดว่าคงไม่ถึงคราวที่พวกเขาจะได้ลงมือหรอก แค่โผล่หน้าออกไปสักหน่อยเผื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองได้พยายามก็พอแล้ว ถ้าข้างหน้าต้านทานไว้ไม่อยู่ ตัวเองค่อยหนีไปก็ยังไม่สาย ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นจะเก่งขนาดไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามทันคนนับหมื่นที่หนีกระจัดกระจาย
คนที่ลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่เดิม เห็นได้ชัดว่ารู้ตัวช้าไปหน่อย รอจนกระทั่งคิดได้เหมือนคนกลุ่มแรกที่อยู่ตรงหน้า ก็มีกำลังพลอีกเกือบสองหมื่นตะโกนว่า “ฆ่า” และพุ่งตัวออกไปแล้ว คนที่เหลือเห็นว่ามีคนมากจึงเกิดความกล้าหาญ บวกกับค่อยๆ คิดได้แล้วเช่นกัน คนที่เหลือจึงโจมตีตามออกไปทั้งหมด
ดังนั้นกำลังพลห้าหมื่นกว่าคนจึงพุ่งสังหารตามกันเข้าไป เป็นฉากที่อลังการงานสร้างมาก
“จุจุ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงลูบคางพลางเดาะลิ้น ยิงฟันยิ้มพร้อมพูดว่า “ใช้ฝูงชนก็ทำให้ไอ้เวรนั่นตายได้เหมือนกัน!”
“เฮ้อ!” เมื่อเห็นนักพรตบงกชทองหลายหมื่นพุ่งโจมตีไปทางนักพรตบงกชทองคนเดียวอย่างเหมียวอี้ โค่วเหวินชิงก็ถอนหายใจเบาๆ
สุดท้ายก็ยากจะพ้นเคราะห์! ปี้เย่วฮูหยินส่ายหน้ายิ้มอย่างขื่นขม ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง รู้อยู่ชัดๆ ว่าเป็นหลานของฮูหยินเทพประจำดาวเถาะฟ้า แต่ก็ยังฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แบบนี้ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกเหรอ!
จ้านหรูอี้ถือทวนในมือเขย่าเบาๆ เก็บทวนเอาไว้แล้ว ผลลัพธ์สามารถคาดเดาได้ ตัวเองไม่ต้องลงมือแล้ว
อย่างน้อยนางก็คิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเอง ก็คงจะรับมือกับการโจมตีของทัพใหญ่ห้าหมื่นไม่ไหวเช่นกัน นี่ไม่ใช่ทัพใหญ่ของนักพรตบงกชแดงหรือบงกชม่วง แต่เป็นทัพใหญ่ของนักพรตบงกชทอง วรยุทธ์ของทุกคนล้วนอยู่ระดับบงกชทอง จะสู้ยังไงล่ะ? ต่อให้มีของวิเศษที่ร้ายกาจ แต่ก็ยากจะรับมือไหว มิหนำซ้ำก็เป็นไปไม่ได้ที่ตรงนี้จะมีคนที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะหาของวิเศษระดับนั้นมาได้ หรือต่อให้จะหามาได้ แต่นักพรตวรยุทธ์บงกชทองจะควบคุมของวิเศษระดับนั้นได้อย่างไร
ดังนั้น เหมียวอี้ก็คือคนตายคนหนึ่งในสายตานาง เพียงแต่น่าเสียดายที่ให้คนอื่นเก็บผลงานไปก่อน
ซูลี่ที่ติดตามอยู่ข้างกายพวกจางฮั่นฟางเรียกได้ว่าโล่งอก
“จอมพลเถิง นี่ก็คือความร่ำรวยและวาสนาที่ลูกหลานผู้มีอำนาจควรจะได้รับอย่างที่เจ้าบอก ขนาดลูกน้องยังสามารถให้รางวัลเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่แทนเทพประจำดาวเถาะฟ้าได้เลย เห็นตำแหน่งขุนนางตำหนักสวรรค์เป็นอะไรไปแล้ว? ที่ราชินีสวรรค์จัดการทดสอบครั้งนี้ขึ้นมา ก็เพื่อจะแต่งตั้งและให้รางวัลผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เท่านั้น!” เกาก้วนที่มองดูเหตุการณ์กล่าวเสียงเรียบ
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเถิงเฟยกระตุกเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “หนิวโหย่วเต๋อนั่นจะกลืนยาเม็ดม่วงทองเยอะขนาดนั้นไปทำไม? อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา เกรงว่าใช้เวลาหลายวันก็ยังใช้ไม่หมดเลยมั้ง?”
เกาก้วนเพียงจ้องมอง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เหมียวอี้กลืนยาเม็ดม่วงทองไปสิบเม็ดเม็ดติดต่อกัน เมื่อเห็นทัพใหญ่พุ่งเข้ามา ก็หยุดยัดของเข้าปากแลว้ เขาถือทวนไว้ในมือ เตรียมตัวจะพุ่งเข้าไปสังหาร
แต่ใครจะคิดว่าพวกเนี่ยกงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน จู่ๆ ก็หยุดอยู่กับที่และเรียงแถวหน้ากระดาน รอจนกระทั่งกำลังพลที่อยู่ข้างหลังพุ่งมาถึง ก็ต่างคนต่างหันตัวไปโบกทวนสั่ง “กลุ่มพวกเจ้าตามข้ามา”
“กลุ่มพวกเจ้าตามข้ามา เร็วๆ หน่อย ใครขัดคำสั่ง ประหาร!” ไก้อู๋ซวงตะโกนขู่อย่างเกรี้ยวกราด
ทั้งสี่รีบจัดกลุ่มกำลังพลห้าหมื่นกว่าคนที่ทยอยกันพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้มีฝีมือที่บัญชาการกองทัพมาเป็นเวลานาน บัญชาการรบได้อย่างเชี่ยวชาญมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะจัดกำลังพลที่กระจัดกระจายวุ่นวายได้ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็ต่างคนต่างนำกองทัพของตัวเองแยกย้ายกันพุ่งไปข้างหน้า ใช้ทั้งปากทั้งนิ้วคอยบัญชาการไม่หยุด
ในกำลังพลจำนวนห้าหมื่นกว่านั้น เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่น้อยที่คุ้นชินกับการบัญชาการแบบนี้แล้ว แค่ได้ยินได้เห็นก็เข้าใจ ส่วนคนที่เหลือต่อให้จะฟังไม่เข้าใจ แต่ติดตามคนกลุ่มใหญ่ไปก็พอแล้ว
เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด ตัวเองคงเปลืองแรงที่จะฝ่าสังหารออกไป แต่นึกไม่ถึงว่าศัตรูจะเป็นฝ่ายกระจายกำลังให้เอง แบบนี้จะสกัดตนได้อย่างไร เฮยทั่นร้อนรนจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว มันสั่นหัวส่ายหาง แล้วจู่ๆ ก็พุ่งออกไปราวกับธนูยิงออกจากสาย ไม่หลบหลีกเลยสักนิด มันพุ่งโจมตีเข้าไปหากลุ่มคนโดยตรง
“กระจาย!” พวกเนี่ยกงรีบโบกอาวุธบัญชาการ
กำลังพลที่กำลังจะมาถึงตรงหน้าเหมียวอี้กระจายตัวไปสี่ทิศอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เหมียวอี้ฝ่าออกไปแล้ว
“ล้อม!”
พวกเนี่ยกงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดแทบจะพร้อมกัน กำลังพลห้าหมื่นที่เพิ่งจะกระจายตัวรีบบุกเข้ามาล้อมเหมียวอี้อีกครั้ง
“เตรียมเชือกมัดเซียน!”
ตามเสียงตะโกนของพวกเนี่ยกงที่ดังต่อเนื่องกัน กำลังพลห้าหมื่นพากันหยิบเชือกมัดเซียนของตำหนักสวรรค์ออกมา
“ปล่อย!”
ทั้งสี่ตะโกนพร้อมกัน ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร ขณะเดียวกันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งสี่บัญชาการรบทัพใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
เชือกมัดเซียนหลายเส้นถูกโยนมาจากซ้ายขวาหน้าหลังทันที พุ่งเข้ามาอย่างหนาแน่นทั่วสารทิศราวกับฝนกระหน่ำ
เหมียวอี้ตกใจมาก ถึงแม้จะทำงานอยู่กับตำหนักสวรรค์มาหลายปี แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีรวมพลสู้รบตามมาตรฐานของตำหนักสวรรค์
…………………………