พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1214 กล้าหาญจนหมื่นคนก็ยั้งไม่อยู่
เอ๋อเหมยพอจะเข้าใจความหมายที่นางพูดแล้ว แต่ยังกล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “ท่านผู้เฒ่าบอกมาว่า ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะไม่ได้ตายในนรกและกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เกรงว่าอาจจะยุ่งยากนิดหน่อย ท่านผู้เฒ่าบอกว่า หนิวโหย่วเต๋อทำลายกลองสะท้านฟ้าต่อหน้าฝูงชน ถือว่าทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ต่อหน้าธารกำนัล ทูตขวาเกาไม่ได้ใช้บทลงโทษตรงนั้นก็นับว่าเมตตาแล้ว กลับมาถ้าไม่คิดหน้าคิดหลังใช้งานหนิวโหย่วเต๋อในตำแหน่งสำคัญจนส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของใคร จะต้องมีคนหยิบเรื่องทำลายกลองสะท้านฟ้าออกมาพูดแน่ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าไม่มีใครสืบสาวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีคนสืบสาวเอาความเรื่องนี้ ถ้ามีคนไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน้าตาศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เกรงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่สะดวกที่จะลำเอียง ถ้าไม่ลงโทษก็ยากที่จะได้รับการนับถือ ถ้าในภายหลังทุกคนพากันมองข้ามหน้าตาศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ แล้วความน่าเกรงขามของสวรรค์จะยังมีอยู่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงียบงันพูดไม่ออก แน่นอนว่านางเข้าใจ เหมียวอี้ที่ต่ำต้อยคนเดียว ต่อให้ตามีแววมากกว่านี้ แต่เมื่อเมื่อเทียบกับศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ก็ไม่นับว่าสำคัญอะไร ศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์เกี่ยวข้องกับรากฐานในการควบคุมใต้หล้า ราชันสวรรค์ไม่มีทางทำลายรากฐานของตัวเอง กลังจากเงียบไปนานก็กล่าวอย่างเสียดายว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้ามีอำนาจเกินวังหลัง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีทหารกล้าสักคนอยู่ในมือ…น่าเสียดายจัง!”
เอ๋อเหมยกล่าวเสียงเบาว่า “ถึงแม้จะมีจุดที่เพิ่มเกียรติยศให้การทดสอบครั้งนี้ แต่ก็มีจุดที่ทำให้ตำหนักสวรรค์ลำบากใจเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่รู้เหตุการณ์ตอนนั้นมีเยอะเกินไปจนไม่มีทางปิดบังได้ เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่ให้เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแพร่ออกไป…”
ทำไมถึงเรียกว่าตำหนักสวรรค์ล่ะ? เพราะเป็นราชสำนักที่ควบคุมใต้หล้าไง!
“ไสหัวไปให้หมด!”
เสียงตะคอกที่น่าเกรงขามดังมาจากประตู่ตำหนักที่สูงตระหง่าน ทหารยามที่ยืนอยู่นอกตำหนักยืดตัวตรงทันที นางในที่เดินไปเดินมาก็ยิ่งตกใจจนตัวสั่นระริก ทั้งมังกรทั้งหงส์ต่างก็หันกลับมาจ้องมอง ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทั้งวังสวรรค์เงียบสงัดเป็นแถบ
ผ่านไปไม่นานนัก ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ที่เกล้าผมสวมมงกุฎหลายร้อยก็ทยอยกันออกมาจากประตูตำหนัก แต่ละคนสีหน้าจริงจังหนักแน่น กระทั่งหลังจากลงจากบันไดตำหนักใหญ่มาแล้ว สีหน้าของแต่ละคนถึงได้เริ่มสงบเยือกเย็น อารมณ์ที่แปรปรวนของราชันสวรรค์ พวกเขาเคยชินจนมองเห็นเป็นเรื่องปกติตั้งนานแล้ว ถ้าจะกลัวก็ต้องรู้จักแยกแยะเวลา สถานการณ์ในตอนนี้ยังทำโทษไม่ได้เพราะมีคนทำผิดเยอะ ไม่เพียงพอจะทำให้หวาดกลัว
คนที่อยู่ในตำแหน่งอิสระทยอยกันจากไป ส่วนคนที่อยู่ในตำแหน่งหลักก็มารวมกลุ่มกัน
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากประตูหลักของวังสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวง อ๋องสวรรค์อิ๋งที่เป็นผู้นำของกำลังพลกลุ่มนี้เดินไปข้างหน้าโดยวางสองมือไว้บนท้อง ดูอายุมากแต่ก็ยังแข็งแรง จู่ๆ เขาก็เรียก “เทียนหยวน”
ท่านโหวเทียนหยวนที่เดินอยู่ด้านหลังของกลุ่มรีบก้าวขึ้นมากุมหมัดขานรับ “ท่านอ๋อง!”
“เรื่องหนิวโหย่วเต๋อนั่นยังไงกันแน่?” อิ๋งจิ่วกวงถามเสียงเรียบโดยไม่เหล่ตามอง
พอได้ยินคำถามนี้ ท่านโหวเทียนหยวนก็ตึงเครียดในใจ ในโลกมนุษย์มีคำกล่าวที่ว่า คนตำแหน่งสูงไม่มีอิทธิพลมากเท่าผู้บังคับบัญชาโดยตรง ตอนเผชิญหน้ากับราชันสวรรค์เขายังไม่ประหม่ากังวลขนาดนี้เลย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอ๋องสวรรค์อิ๋งกลับมีความกังวลอยู่บ้าง เพราะว่าเขาเป็นคนของกลุ่มคณะนี้ ถ้าหลุดจากกลุ่มคณะนี้ไปก็ยากที่จะมีที่ยืนในตำหนักสวรรค์แล้ว และกลุ่มคณะนี้ก็มีอ๋องสวรรค์อิ๋งที่เป็นใหญ่ที่สุด ดังนั้นแค่อ๋องสวรรค์อิ๋งเอ่ยประโยคเดียว บนราชสำนักก็จะมีคนเป็นโขยงมารุมโจมตีเขาได้เลย สามาถทำให้เขาหลุดจากตำแหน่งได้อย่างสบายๆ แต่ราชันสวรรค์กลับไม่ทำเรื่องแบบนี้โดยไร้เหตุผล
จิตใตสำนึกของท่านโหวเทียนหยวนคิดว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งกำลังหมายถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อทำร้ายจ้านหรูอี้หลานสาวของอ๋องสวรรค์บาดเจ็บ ทำให้อ๋องสวรรค์อิ๋งเสียหน้า ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว ทำไมเขานึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อสามารถเล่นใหญ่ขนาดนั้นได้ แค่ชั่วพบหน้ากันก็ทำให้จ้านหรูอี้ล้มคะมำได้แล้ว
ท่านโหวเทียนหยวนที่ตามอยู่ข้างหลังกล่าวอย่างเกรงกลัวว่า “เป็นข้าน้อยที่ควบคุมลูกน้องได้ไม่ดี ถึงได้ทำให้คุณหนูจ้านได้รับความอับอาย ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ”
อิ๋งจิ่วกวงหยุดฝีเท้า กลุ่มคนที่เดินตามหลังก็หยุดเช่นกัน อิ๋งจิ่วกวงหันหน้าช้าๆ กลับมามองท่านโหวเทียนหยวน แล้วถามว่า “อย่าบอกนะว่าในสายตาท่านโหวเทียนหยวน อ๋องผู้นี้เป็นคนต่ำทรามใจคอคับแคบสะกดกลั้นไม่ได้เหรอ?”
ท่านโหวเทียนหยวนรีบแก้ตัว “ไม่ใช่ขอรับ ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ!”
อิ๋งจิ่วกวงรู้ว่าเขาเข้าใจผิด จึงไม่ทำให้เขาลำบากใจอีก เดินไปข้างหน้าต่อพร้อมบอกว่า “ข้ากำลังถามเจ้าว่า ตอนแรกเจ้าปกป้องหนิวโหย่วเต๋อนั่นอย่างสุดกำลัง ขนาดข้าต้องการตัวเขาเจ้ายังบ่ายเบี่ยง ในเมื่อมองออกว่าเป็นคนมีฝีมือที่ควรค่าแก่การเลี้ยงดู แล้วทำไมถึงปล่อยให้เขาเข้าไปทดสอบในนรกได้? วรยุทธ์แค่บงกชทองก็กล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านแล้ว ถ้าไม่ห้าวหาญเต็มไปด้วยพลัง ก็ต้องเป็นคนที่มีทั้งความกล้าหาญและสติปัญญา คนมีฝีมือแบบนี้ ถ้าผ่านไปสักระยะจะต้องเป็นแม่ทัพที่ทำงานดีแน่นอน! ทหารนับพันนั้นหาง่าย แต่แม่ทัพคนเดียวนั้นหายาก ใช่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจหลักการนี้ ปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้ไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ?”
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้! เทียนหยวนพูดไม่ออกทันที คิดในใจว่า ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ไปเข้าร่วมการทดสอบในนรก ไม่ประสบกับเรื่องราวแบบนี้ แล้วใครจะไปรู้ว่าเขาจะกล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านอย่างกล้าหาญ? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกยังจะต้องให้เจ้าบอกอีกเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่แสดงความสามารถนี้ออกมา เขาไปมีเรื่องกับคนเยอะขนาดนั้น ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นไม่ว่าใครก็ไม่สะดวกจะรับประกันทั้งนั้น!
แต่จนใจที่เหตุผลพวกนี้นำมาใช้โต้เถียงเจ้านายเพื่อผลักความรับผิดชอบไม่ได้ เรื่องบางเรื่องก็ใช่ว่าผู้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ แต่ผู้บังคับบัญชาไม่อยากโดนคนหัวเราะเยาะว่าไม่รู้จักคนมีฝีมือ ที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าทุกคน ก็เพราะอยากจะหาแพะรับบาปก็เท่านั้นเอง ท่านโหวเทียนหยวนเรียกได้ว่าแก้ตัวลำบาก…
ตำหนักหลังของราชสำนัก ประมุขชิงที่ออกจากราชสำนักเพิ่งจะเลี้ยวเข้ามา ก็เห็นทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนและทูตตรวจการขวาเกาก้วนกำลังรออยู่เงียบๆ ที่ตำหนักหลัง
ทั้งสองกุมหมัดคาระวพร้อมกัน ขณะที่ประมุขชิงเดินผ่านกลางระหว่างทั้งสอง ก็ถามไปเรื่อยเปื่อยว่า “กลับมาแล้วเหรอ?”
ทั้งสองเดินตามทันที เกาก้วนตอบว่า “ขอรับ!”
หลังจากออกจากตำหนักหลัง ตอนกำลังเดินขึ้นบันไดวังหลัง ประมุขชิงก็ถามอีกว่า “เรื่องที่ราชสำนักเมื่อครู่นี้ ได้ยินกันหมดแล้วใช่มั้ย?”
“ได้ยินแล้ว” ทูตซ้ายและทูตขวาตอบพร้อมกัน
“เกาก้วน เจ้าอยู่ในเหตุการณ์ อย่าบอกนะว่าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ของข้าอ่อนแอเปราะบางถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ กำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนกว่าต้านทานไม่ได้แม้แต่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวงั้นเหรอ?” ประมุขชิงถาม
เกาก้วนอธิบายว่า “ตอบฝ่าบาท ก็ไม่ได้ย่ำแย่เกินทนขนาดนั้นขอรับ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดของการรบ! ประการแรกเป็นเพราะกำลังพลสายชวด สายระกา สายจอ สายกุนไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่คอยดูอยู่ข้างๆ จึงขาดกำลังพลไปเกือบหกแสนคน อีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะทัพใหญ่หนึ่งล้านที่สู้กับหนิวโหย่วเต๋อส่วนใหญ่ไม่มีใครที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเขา อย่างมากก็ไปหาเรื่องเขาเพื่อให้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเห็น ทุกคนก็แค่ทำพอเป็นพิธี คนที่ตัดสินใจจะสู้ตายกับหนิวโหย่วเต๋อมีน้อย มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ก็แค่ถูกอำนาจแต่ละฝ่ายขนาบให้อยู่ในนั้น ไม่มีใครที่ทุ่มเทสุดความสามารถจริงๆ แค่ไปประสมโรงด้วยเท่านั้น ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็โดนสถานการณ์บีบบังคับ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะสู้ตาย มีพลังอำนาจเหมือนอย่างเคย เกรียงไกรยากจะต้านทานไหว รบกับแนวหน้าของทัพใหญ่ไม่เคยแพ้ ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด สั่นคลอนจิตใจของคู่ต่อสู้มาก อาศัยการโหมสู้ในรวดเดียวบวกกับของวิเศษที่สมบูรณ์แบบ รบอย่างห้าวหาญเต็มไปด้วยพลัง ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่คุมเชิงกันอยู่เสียขวัญตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบ หนิวโหย่วเต๋อบุกสังหารหลายครั้งโดยแทบจะไร้อุปสรรค ทุกคนพากันถอยหลบ หนิวโหย่วเต๋อถึงได้สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้! ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทัพใหญ่หนึ่งล้านเป็นพวกที่มารวมตัวกันชั่วคราวเท่านั้น ใจคนไม่สามัคคีกัน แต่ละคนมีเจตนาแอบแฝง เป้าหมายหลักคือการทดสอบ ถ้าจัดทัพใหญ่รบตามมาตรฐานของตำหนักสวรรค์จริงๆ ต่อให้ระดมพลพลหนึ่งหมื่นก็จัดการหนิวโหย่วเต๋อได้!”
“อืม!” พอได้ฟังเขาพูดแบบนี้ ประมุขชิงก็พยักหน้าช้าๆ สีหน้าคลายความโกรธ แล้วถามอีกว่า “เจ้าบอกว่าต้องระดมพลหนึ่งหมื่นถึงจะจัดการเขาได้ กำลังพลหนึ่งหมื่นนี้เป็นกำลังพลแบบไหนกัน?”
“กำลังพลที่ได้มาตรฐานการทดสอบ นักพรตบงกชทองหนึ่งแสนคน” เกาก้วนตอบ
ประมุขชิงหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับมาถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นนักพรตบงกชทองเหมือนกันนี่ อย่าบอกนะว่าทัพใหญ่ที่ได้มาตรฐานหนึ่งพันคนก็จัดการเขาไม่ได้?”
เกาก้วนตอบว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย ถ้าอาศัยกำลังปะทะกันตรงๆ โดยไม่ใช้ของวิเศษอะไรเลย อย่าว่าแต่หนึ่งพันที่ต้านเขาไม่ไหว ต่อให้ห้าพันก็ต้านเขาไม่ไหวเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เหี้ยมหาญเชี่ยวชาญการรบจริงๆ เมื่อทวนอยู่ในมือ ก็กล้าหาญจนหมื่นคนยั้งไม่อยู่ ถ้าไม่มีกำลังพลนับหมื่นล้อมต้านไว้หลายชั้นก็ยากที่จะจัดการเขาได้ จะถูกเขาสังหารฝ่าวงล้อมได้ง่ายมาก!”
“เหี้ยมหาญขนาดนี้เชียวรึ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนตามอย่างตกใจ
เกาก้วนพยักหน้า “ใช่! เหี้ยมหาญจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะห้าวหาญขนาดนี้ จะกล้าฝ่าเข้าฝ่าออกกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ยังไง”
ประมุขชิงเอามือขยี้หนวดพลางพยักหน้าบอกว่า “ถ้าพูดแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นทหารกล้าจริงๆ มีลักษณะท่าทางเหมือนอสุราอัคนีในปีนั้นอยู่หลายส่วน มีชื่อเสียงเรื่องสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านเหมือนกัน ถ้ารอไปสักระยะให้วรยุทธ์สูงขึ้น ข้าก็จะมีแม่ทัพที่ดุร้ายแห่งยุคเพิ่มอีกคน ปล่อยให้ไปปราบกบฎก็จะเป็นเหมือนกระบี่คมที่ใช้ตัดหัวศัตรู…เกาก้วน ปล่อยเขาไปทดสอบในนรกจะน่าเสียดายไปหน่อยหรือเปล่า?”
“น่าเสียดายจริงๆ ขอรับ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนแรกไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะห้าวหาญเหนือคนอื่นขนาดนี้ ทหารกล้าระดับนี้ปล่อยเข้าไปเป็นสายสืบในนรกนานไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ” หลังจากเกาก้วนกล่าวชม ก็กุมหมัดคารวะทันที “ถ้าปลี่ยนคำสั่งไปเปลี่ยนคำสั่งมาก็จะทำลายเดชานุภาพของฝ่าบาท หากฝ่าบาทสามารถย้ายหนิวโหย่วเต๋อกลับมาได้ง่ายๆ เกรงว่าลูกหลานขุนนางคนอื่นๆ ก็จะอ้างเหตุผลเลียนแบบเช่นกัน สามารถทำให้แผนการปรับปรุงทั้งหมดล้มเหลวในตอนท้ายได้ง่าย ไม่สู้ให้ข้าน้อยออกหน้า แค่บอกไปว่าหนิวโหย่วเต๋อคือสายลับที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาส่งไปนรก ต้องย้ายกลับมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาเพราะต้องใช้งานอย่างอื่น แบบนี้จะได้อุดปากที่พูดไร้สาระของฝูงชนได้สะดวกด้วย ฝ่าบาท ข้าน้อยขออนุญาตย้ายหนิวโหย่วเต๋อมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ เงยหน้ากลอกตามองฟ้าทันที แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ทำไมต้องย้ายไปหน่วยตรวจการฝ่ายขวาของเจ้า ย้ายมาฝ่ายซ้ายของข้าไม่ได้เหรอ?”
“…” ประมุขชิงอ้าปากค้าง ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ก็สามารถดูออก ว่าเกาก้วนกำลังฉวยโอกาสดึงตัวทหารที่ทำงานดีมาเป็นลูกน้องตัวเอง
แต่สำหรับประมุขชิงแล้ว หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวเมื่อเทียบกับแผนปรับปรุงตำหนักสวรรค์ของเขา ก็ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย เขาชี้เกาก้วนพลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เกาก้วนเอ๊ยเกาก้วน เวิ่นเทียน สงสัยหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะมีจุดที่โดดเด่นจริงๆ ขนาดทูตขวาเกาของพวกเรายังรักในความสามารถ ถ้าเจ้าต้องการคนจริงๆ รอให้การทดสอบผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้ายังสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ เจ้าก็ไปเอ่ยปากกับราชินีสวรรค์ได้เลย ถึงอย่างไรตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นกำลังพลของราชินีสวรรค์ ขอเพียงราชินีสวรรค์อนุญาต ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไรเหมือนกัน”
แบบนี้เท่ากับเป็นการปฏิเสธอ้อมๆ แล้ว
แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ซือหม่าเวิ่นเทียนจะพูดขึ้นมาอีก “ทูตขวาเกา ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อทำลายกลองสะท้านฟ้า จาบจ้วงภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน ไม่ทราบว่าทำไมทูตขวาเกาทำเหมือนไม่เห็น? อย่าบอกนะว่าเพื่อความรักความชอบส่วนตัว ทำให้ทูตขวาเกาละเลยภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์?”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ประมุขชิงก็เหล่ตาจ้องเกาก้วนเล็กน้อย
ราชันสวรรค์ชอบใช้วิธีการสร้างสมดุลแบบนี้ ถ้าระบบข่าวสารของตำหนักสวรรค์ไปรวมอยู่ในมือคนคนเดียว แบบนั้นก็น่ากลัวไปหน่อย ถึงได้แต่งตั้งคนสองคนที่ไม่ค่อยลงรอยกันมาคุมหน่วยตรวจการซ้ายและขวา ทำเพื่อรักษาสมดุล ไม่อย่างนั้นถ้าทูตซ้ายและทูตขวามีไมตรีที่ดีต่อกัน ถ้าร่วมมือกันปิดบังขึ้นมา ต่อให้ราชันสวรรค์จะวรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ก็จะถูกปิดบังความจริงได้ง่ายมาก
เกาก้วนตอบอย่างใจเย็นว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรอดกลับมาได้ ในเมื่อเป็นเหมือนคนตายคนหนึ่งแล้ว ทำไมข้าต้องทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอีกล่ะ เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนหลังเหนือความคาดหมายไปมาก ตอนนั้นไม่ได้ห้าม ถ้าผ่านเรื่องนั้นไปแล้วค่อยมาลงโทษหนิวโหย่วเต๋ออีก เจ้าคิดว่าเหมาะสมเหรอ?”
“เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมไม่ใช่สิ่งที่ข้าเป็นห่วง แค่ถามว่าทำไมเจ้าไม่บังคับใช้กฎหมาย?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม
“ใครใช้ให้เจ้าเป็นห่วง สาระแนนัก!” เกาก้วนตอบด้วยสีหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์
…………………………