พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1217 โดนดักซุ่มโจมตี
จีฮวนอึ้งไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้จากสายตาบอกใบ้ของมู่ฝานจวิน ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่คำทำนายของเทพพยากรณ์ การฝืนขัดขวางเหมียวอี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดี
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการเข้าไปสู่ใจกลางของแดนอเวจีเชียวนะ ในใจของพวกเขายังคงคิดวนเวียนสับสนอยู่บ้าง
เมื่อเห็นทุกคนไม่ห้ามอะไรแล้ว เหมียวอี้ก็ถามกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าทุกคนไม่มีความเห็นแย้งอะไร ก็อย่าผัดวันประกันพรุ่งเลยแล้วกัน ออกเดินทางตอนนี้เลยดีมั้ย?”
ห้าปราชญ์ยังจะมีความเห็นแย้งอะไรได้อีก? ยอมเรียกรวมพลเพื่อออกเดินทางอยู่แล้ว
เพียงแต่ก่อนจะออกเดินทาง ฉางเหลยยังคงกล่าวว่าอามิตตาพุทธแล้วบอกว่า “เหมียวอี้ ที่นี่อันตราย เหมือนเจ้าจะได้เกราะรบผลึกแดงมาไม่น้อยเลย ไม่สู้ให้พวกเรายืมสักสองสามชุดล่ะ พวกเราจะได้มีหลักประกันบ้าง”
อวิ๋นอ้าวเทียนและตนตระกูลอวิ๋นไม่ขาดเกราะรบผลึกแดง อวิ๋นจือชิวเตรียมไว้ให้ตระกูลอวิ๋นอย่างครบครันตั้งแต่แรกแล้ว
ส่วนปราชญ์ที่เหลือ หลังจากดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนก็ได้มาสามชุด นอกจากจะแบ่งจำนวนลำบากแล้ว เมื่อแบ่งไปก็ยังขาดแคลนอยู่ดี
“เงินที่พวกเจ้าติดข้ายังไม่คืนเลย ยังจะยืมอีกเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ
เขาต้องป้องกันไว้ เพราะถ้าคนพวกนี้ได้ของวิเศษดีๆ แล้วจะไม่เป็นผลดีกับเขา หกเคล็ดวิชาพิเศษก็ไม่ใช่เล่นๆ
ห้าปราชญ์พูดไม่ออกเหมือนกันหมด โดนคำถามนี้อุดปากจนอับอายพอสมควร จะเถียงกลับประมาณว่ายกลูกศิษย์หรือลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าแล้วก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี เป็นเพราะถ้ายืมเงินไปแล้วยังพูดจาแบบนั้นออกมา ก็จะไม่ต่างอะไรกับการขายลูกสาวตัวเอง จะยังพูดออกมาได้อย่างไร
ตอนนี้ห้าปราชญ์ยังคืนเงินไม่ไหว ทรัพย์สินบนตัวที่ได้มาจากการดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนก็ยังพอมีอยู่บ้าง เพียงแต่ถ้าคืนตอนนี้ก็ยังรู้สึกแปลกนิดหน่อย และแน่นอน นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ตอนนี้คนในตระกูลอวิ๋นก็ยังคืนไม่ไหวแน่นอน ของที่อวิ๋นจือชิวให้ไว้มีไม่น้อย แค่เกราะรบผลึกแดงอย่างเดียวก็เยอะกว่าของบนตัวผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนนั้นรวมกันแล้ว
ห้าปราชญ์นับว่าประสบความพ่ายแพ้แล้ว พบว่าตัวเองวางมาดต่อหน้าเจ้าเวรนี่ไม่ไหวเลย อีกฝ่ายไม่ได้ใช้อำนาจกดดัน แต่การใช้เงินกดดันก็ทำให้เจ้าเถียงไม่ออกได้เหมือนกัน
“ช่างเถอะ!” ชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็เลิกดึงดันแล้ว “ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ แต่ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป เห็นแก่บรรดาอนุภรรยาของข้า ข้าให้ยืมก็ได้ ต้องการกี่ชุดล่ะ?”
ถ้าไม่ขอยืมก็เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอยู่ดี อยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้ยังมีคราวที่ต้องอาศัยพวกเขา ถ้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง การพกสมบัติมากมายไว้บนตัวจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าให้ยืมไปก็ยังเพิ่มศักยภาพให้ฝั่งตัวเองได้ พอไตร่ครวญดูแล้วก็พบว่าให้ยืมจะคุ้มค่ามากกว่า
ฝั่งห้าปราชญ์ย่อมอยากจะให้ทุกคนได้คนละชุด ในเมื่อเหมียวอี้ตัดสินใจว่าจะให้แล้ว ก็ต้องทำเรื่องดีให้ถึงที่สุด ไม่เพียงแค่ให้เกราะรบผลึกแดงหนึ่งชุดสำหรับคนที่ไม่มี ทั้งยังให้สัตว์เทพกับทุกคนที่ยังไม่มีด้วย
หลังจากสมาชิกของห้าปราชญ์มากันครบและต่างคนต่างนำของไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยและเพื่อไม่ให้สะดุดตาคนมากเกินไป พวกเขาต่างก็เก็บคนของตัวเองไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้ว
เหมียวอี้กลับทำอย่างเรียบง่าย ใช้เท้าเตะครั้งเดียวก็ปลุกจนเฮยทั่นที่นอนงีบอยู่ตรงปากถ้ำตกใจจนกระโดดพรวดขึ้นมา พอถลันตัวขึ้นไปนั่งบนตัวของเฮยทั่นที่คับแค้นใจเล็กน้อย ตบคอเฮยทั่นเบาๆ เฮยทั่นก็แบกเขาพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงแล้ว
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ต่างคนต่างเรียกสัตว์พาหนะออกมาเช่นกัน ควบขี่กระโจนขึ้นฟ้าตามไป…
ลูกกลมสีดำขนาดใหญ่ลูกหนึ่งกำลังหมุนวนอยู่ในดาราจักรที่เงียบงัน บางครั้งก็มีสิ่งที่คล้ายกับแสงสว่างปรากฏให้เห็นรางๆ
หลังจากมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง หลังจากการเข่นฆ่าอันดุเดือดหนึ่งฉาก
คนชุดดำนับหมื่นถลันวูบเข้ามาเก็บกวาดศพหลายพันร่าง ดูจากเกราะทองเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์ที่สวมใส่อยู่บนตัวศพส่วนใหญ่ ก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบ มีคนชุดดำอีกส่วนหนึ่งรีบไล่ตามคนของตำหนักสวรรค์ที่หนีกระเจิดกระเจิง
ผ่านไปไม่นาน ไม่มีใครหลุดรอดไปได้สักคน ผู้เข้าร่วมทดสอบหลายพันที่บังเอิญมาถึงที่นี่ติดกับดักทั้งหมด
นักพรตบงกชรุ้ง สัญลักษณ์วรยุทธ์ที่แท่นจิตตรงหว่างคิ้ว ดอกบัวสีรุ้งแปดสิบเอ็ดกลีบที่มีเก้าสีคือวรยุทธ์สูงสุดของระดับบงกชทอง เบ่งบานเก้ากลีบเก้าสีจำนวนหนึ่งชั้นก็คือขั้นหนึ่ง เบ่งบานเก้าสีเก้าชั้นก็คือขั้นเก้า
คนชุดดำหน้าดำคนหนึ่งกำลังลอยอยู่ในดาราจักรเพื่อดูการต่อสู้ ใบหน้าไร้หนวดเคราะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ด กำลังใช้สายตากวาดมองสนามรบที่ปิดฉากลง หลังจากคนกลุ่มหนึ่งมารายงานผลการรบแล้ว แตรสัญญาณลวดลายดุร้ายสีดำขลับคล้ายเขาวัวอันหนึ่งก็ถูกหยิบออกมา จากนั้นก็วางในปากแล้วออกแรงเป่า
“อู…อู…”
เสียงสะอื้นที่ทำให้ทำให้รู้สึกอึดอัดดังกระจายอยู่ในดาราจักรตามพลังอิทธิฤทธิ์
กำลังพลนับหมื่นหันขวับมองมา มองไปทางคนชุดดำที่กำลังเป่าแตรสัญญาณ จากนั้นก็รีบมารวมตัวกันทันที รุกถอยอย่างมีระเบียบ เห็นได้ชัดว่าเป็นกำลังพลที่ผ่านการฝึกมาอย่างยาวนาน
เมื่อเก็บแตรสัญญาณแล้ว คนชุดดำก็ก็หันตัวเหาะไปทางลูกกลมสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ส่วนกำลังพลนับหมื่นก็ไล่ตามเช่นกัน
หลังจากเข้าใกล้วัตถุทรงกลมลูกนั้น ถึงได้พบว่าลูกกลมสีดำลูกนั้นคือก้อนหินโลหะสีดำมันวาวทั้งเล็กทั้งใหญ่นับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันอย่างไร้ระเบียบ ลูกที่ใหญ่ก็มีขนาดเท่าภูเขา ลูกที่เล็กก็ขนาดเท่าก้อนกรวดทราย ดูคล้ายฉากกั้นขณะหมุนวนด้วยความเร็ว มองไกลๆ เหมือนรวมเป็นก้อนเดียวกัน
เมื่อเผชิญกับกระแสหินที่ยากจะทะลุผ่านไปได้หากไม่ใช้พลังอันแข็งแกร่ง กำลังพลนับหมื่นก็กลายเป็นหมอกหยินทะลุเข้าไประหว่างกระแสหินแล้ว ทั้งหมดเป็นนักพรตผี
จนกระทั่งลอดผ่านกระแสหินที่ปกคลุม หมอกหยินหลายกลุ่มก็ก่อตัวเป็นร่างคนอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว กำลังพลนับหมื่นปรากฏตัว แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อไป ด้านหน้าต่างหากที่เป็นดาวเคราะห์ที่แท้จริง ส่วนสิ่งที่มองเห็นจากภายนอกล้วนเป็นกระแสหินที่ครอบคลุมปกป้องอยู่หนึ่งชั้น
คนกลุ่มหนึ่งเหยียบลงบนดินแดนมืดมิดที่ไร้แสงจากดวงอาทิตย์ มีเพียงบนภูเขาหินแหลมเหมือนกระดูกที่มีแสงสลัวกะพริบเป็นบางครั้ง ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตไม่ได้ ลมอันหนาวเหน็บพัดหวีดหวิว
ระหว่างซอกของภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำ ในห้องถ้ำเผยศีรษะใบแล้วใบเล่า มองไม่ออกว่าใบหน้าแต่ละหน้าอยู่ในอารมณ์แบบไหน กำลังมองดูกำลังพลที่กลับมา พวกเขาทั้งหมดเป็นคนชุดดำเช่นกัน มองดูคร่าวๆ เกรงว่าจะมากถึงหลายหมื่น ไม่มีใครพูดจาสักคน ได้ยินเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิว
ปราณหยินที่เกิดจากการรวมตัวของนักพรตผีจำนวนมากพัดผ่านระหว่างภูเขาไปตามสายลม
ในบรรดาคนที่เหยียบลงพื้น พอหนึ่งคนในนั้นที่เป็นหัวหน้าโบกมือ คนชุดดำนับหมื่นก็โยนร่างของกำลังพลตำหนักสวรรค์หลายพันร่างออกมาทันที ศพกองรวมเป็นภูเขา
ไม่ใช่ว่าจะเป็นศพทั้งหมด ยังมีจำนวนอีกหลายร้อยที่เป็นเชลยศึก แต่ละคนถูกดาบจ่อคอให้คุกเข่าลงกับพื้น บรรดาเชลยศึกที่ไม่พิการก็บาดเจ็บพอโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก เห็นเพียงใบหน้าไร้อารมณ์จำนวนมากที่อยู่ระหว่างซอกของภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำกำลังมองพวกเขาอยู่
ใบหน้าพวกนั้นกำลังมองพวกเขาอย่างเงียบๆ มองอย่างนิ่งเฉย ไม่มีทางบรรยายได้ว่าในดวงตาแต่ละคู่นั้นเป็นแววตาแบบไหน เป็นแววตาประเภทที่มองไม่เห็นความหวังใดๆ ราวกับเป็นผีดิบที่เดินได้ เมื่อโดนแววตาแบบนี้หลายคู่จ้องมอง บรรดาเชลยศึกที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็รู้สึกเหมือนหัวใจเจอกับอากาศหนาว
ในบรรดาทหารสวรรค์ที่นั่งคุดเข่า จู่ๆ ก็มีคนตะโกนเสียงดังอย่างวิตกจริตว่า “ยอมแพ้! ข้ายอมแพ้…”
แต่ใครจะคิดว่ายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนนักพรตผีที่ใช้ดาบจ่ออยู่ข้างหลังฟันทิ้งแล้ว เสียงร้องขอชีวิตพลันหยุดชะงัก เลือดร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากอกถูกลมพัดสลายหายไป ศีรษะใบใหญ่ที่กลิ้งไปไกลตามสายลมติดค้างอยู่ที่ภูเขาหินแล้ว
คนอื่นๆ ที่เดิมทีคิดจะร้องขอชีวิตตามตกใจจนหุบปากทันที คำพูดที่ขึ้นมาถึงปากถูกกลืนลงไปอีกครั้ง
มีคนออกมาต้อนรับ กุมหมัดคารวะผู้ที่เป็นหัวหน้าคนนั้นว่า”ผู้บัญชาการกวน”
“ขุนพลอยู่ที่ไหน?” ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้บัญชาการกวนถามเสียงต่ำ
“บนภูเขาขอรับ!” คนคนนั้นหันตัวแล้วชี้ไป
ผู้บัญชาการกวนเหลือบตาขึ้นมองตาม ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป บนยอดเขาของภูเขาลูกที่สูงที่สุด ยอดเขาที่โดนลมพัดม้วนปราณหยินสีเทาขึ้นมาปกคลุม ชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งสวมผ้าคลุมบ่าสีดำที่กำลังปลิวสะบัดตามแรงลม ผมยาวยุ่งสยายปลิวว่อนตามสายลม หนวดยาวหลายช่อก็แกว่งไกวตามแรงลมเช่นกัน ใบหน้าขาวหมดจด กำลังเอามือไขว้หลังมองท้องฟ้า ในแววตาที่ล้ำลึกเผยให้เห็นอารมณ์งงงวยเหม่อลอย มองข้ามเชลยศึกที่ลูกสมุนคุมตัวมา ไม่รู้ว่ากำลังใคร่ครวญอะไรอยู่
ผู้บัญชาการกวนถลันตัวขึ้นมา เหยียบลงบนยอดเขาที่ตัดสลับกันเหมือนฟันสุนัข เสียงลมที่พัดผ่านระหว่างภูเขาหินระเกะระกะยิ่งฟังดูแหลมและเศร้ารันทด
หลังจากเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก็กุมหมัดคารวะว่า “รายงานท่านขุนพล โจรกบฏอ่อนแอ ดักฆ่าโจรกบฏได้สี่พันสี่ร้อยสี่สิบเอ็ดคน จับผู้รอดชีวิตมาได้สามร้อยเจ็ดคน ไม่มีใครหลุดรอดไปได้ กองกำลังรบของข้าตายไปหกคน ได้รับชัยชนะโดยสมบูรณ์ ได้โปรดชี้แนะว่าจะให้จัดการอย่างไรขอรับ” ในคำพูดของเขา ไม่น่าเชื่อว่ากำลังพลของตำหนักสวรรค์จะกลายเป็นโจรกบฏแล้ว!
ขุนพลคนนั้นเหลือบตาลงเล็กน้อยเพื่อมองสถานการณ์ตรงตีนเขา แล้วถามเสียงเรียบว่า “อาณาเขตผืนนี้ที่พวกเรารับผิดชอบ วางด่านตรวจไว้หมดแล้วรึยัง?”
“วางกำลังไว้หมดแล้วขอรับ สายลับกล้าได้กล้าเสีย ขอเพียงแค่มีคนผ่านอาณาเขตผืนนี้ ก็จะถูกพบทันที” ผู้บัญชาการกวนตอบ
ตอนนี้ขุนพลถึงได้ตอบว่า “จัดการตามธรรมเนียมเดิมแล้วกัน”
“ขอรับ!” ผู้บัญชาการกวนกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป
พอกลับมาที่ตีนเขา เสียงคำสั่งดังขึ้น เชลยศึกตำหนักสวรรค์หลายร้อยคนก็ถูกกดไว้ทันที ปราณหยินหลายกลุ่มม้วนกรอกเข้าไปในร่างกายของพวกเขา ต้องการจะหลอมสร้างเชลยศึกทุกคนให้กลายเป็นผีดิบเพื่อกรีดเอาเม็ดยาหยิน
“อา…” บรรดาเชลยศึกที่รู้ชะตากรรมตัวเองแล้วส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมานเกินทน แต่ถูกควบคุมตัวไว้จึงไม่มีทางขัดขืนได้เลย
ขณะเดียวกันก็มีคนเริ่มจัดการศพนับพันที่กองกันเหมือนภูเขาแล้ว จัดการสิ่งของที่อยู่บนตัวศพ
ผู้บัญชาการกวนที่กำลังยืนมองลูกสมุนทำงานอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาหยิบระฆังดาราออกมา แล้วเขย่าถามว่า : มีเรื่องอะไร?
สายลับส่งข่าวกลับมาว่า : รายงาน! ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีสัตว์พาหนะหกตัวเข้ามาใกล้ คาดว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วยามจะไปถึง!
ผู้บัญชาการกวน : แน่ใจนะว่ามีแค่หกคน?
สายลับ : ขอรับ! ไม่เห็นสมาชิกคนอื่นๆ
ผู้บัญชาการกวนเก็บระฆังดารา แล้วเรียกรวมกำลังพลจำนวนแปดร้อยคน ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
หกคนที่สายลับรายงานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหกปราชญ์คนใหม่ที่มีเหมียวอี้เป็นหัวหน้า
พวกเหมียวอี้ย่อมนึกไม่ถึงอยู่แล้ว เพิ่งจะออกจากที่ซ่อนตัวหลายสิบปีได้ไม่ถึงครึ่งวัน ก็โดนคนจับตามองเสียแล้ว
หกคนที่ขี่สัตว์พาหนะทะยานอยู่ในดาราจักรมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังอยู่ตลอด แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร
เมื่อบุกเข้ามาในบริเวณที่มีหินระเกะระกะและกำลังจะผ่านออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทั้งหกแทบจะหยุดพร้อมกัน เห็นเพียงข้างหน้ามีคนชุดดำหนึ่งร้อยคนพุ่งออกจากหลังก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างกะทันหัน มาขวางทางพวกเขาเอาไว้
ทั้งหกรีบมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ด้านเท่านั้น แต่สี่ด้านแปดทิศล้วนมีกำลังพลหนึ่งร้อยคนโผล่มา ตัดขาดทางเข้าและทางถอยของพวกเขาแล้ว
โดนดักซุ่มโจมตีแล้ว! ในใจทั้งหกเกิดความคิดนี้แทบจะพร้อมกัน
ทั้งหกล้วนมีประสบการณ์ในสนามรบมายาวนาน พอเห็นสภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็รู้ทันทีว่าเป็นการดักซุ่มแบบพุ่งเป้าหมาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโดนจับตามองแต่ไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองก็ดูออกว่าเป็นนักพรตผีเหมือนกันหมด
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าได้ปะทะกับคนในนรกแล้ว ทั้งหกรีบส่งสายตาให้กัน ในใจแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่กลับไม่มีใครทำแสดงสีหน้าหวาดกลัว รีบสวมเกราะรบผลึกแดงเตรียมต่อสู้ในทันที
“ผีเฒ่าซือถู เจ้าเป็นราชาผี ชำนาญการรับมือกับนักพรตผีที่สุด ศึกแรกนี้ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้าเป็นกองหน้า พวกเราห้าคนจะระวังหลังให้เจ้า ป้องกันบนล่างซ้ายขวาให้เจ้า เจ้าสนใจแค่บุกสังหารไปข้างหน้าก็พอ ทุกคนต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพ่ายแพ้ในศึกเดียว โจมตีให้เกิดช่องโหว่” มู่ฝานจวินรีบสั่งทางซ้ายและขวา
“อย่าพัวพันอยู่กับพวกมัน ถ้าสังหารฝ่าออกไปได้ ก็หนีไปทันที!” จีฮวนก็กล่าวเสียงต่ำเช่นกัน
…………………………