พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1218 สถานการณ์อะไร
ไม่อยากพัวพันและก็พัวพันไม่ได้ด้วย ประการแรกเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามมีคนเยอะ ประการต่อมาเป็นเพราะวรยุทธ์ที่แสดงบนหว่างคิ้วของฝ่ายตรงข้ามล้วนเป็นบงกชทองขั้นห้าขึ้นไป
แทบจะไม่ต้องบอก ซือถูเซี่ยวควบสัตว์เทพบุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้า เหมียวอี้และอีกสี่คนรีบหาตำแหน่งที่ให้ความร่วมมือ วางรูปแบบขบวนทัพเพื่อบุกโจมตีไปข้างหน้า
บนดาวเคราะห์ขรุขระดวงหนึ่งที่มีความยาวเส้นรอบวงหลายสิบจั้ง ขณะผู้บัญชาการกวนจ้องขบวนทัพบุกโจมตีข้าศึกที่ทั้งหกวางกำลังอย่างรวดเร็ว ก็หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมบอกว่า “หกคนนี้ไม่เหมือนกำลังพลของตำหนักสวรรค์ที่เจอก่อนหน้านี้ มีประสบการณ์รบที่กำลังพลก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด บอกให้เหล่าพี่น้องระวังตัวหน่อย อย่าประมาทเลินเล่อ”
“อู…” หนึ่งในคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาหยิบแตรเขาวัวอันหนึ่งออกมาทันที เป่าเสียงสั้นๆ หนึ่งครั้งเพื่อเตือนให้ลูกน้องระวังตัว
หกคนที่จัดขบวนทัพบุกโจมตีเข้ามากลับแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เป็นเพราะแตรเขาวัวทำให้พวกเขาสังเกตเห็นผู้บัญชาการกวน วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้วของผู้บัญชาการกวนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของผู้บัญชาการกวน คนหนึ่งเป็นนักพรตระดับบงกชรุ้งขั้นสี่ คนหนึ่งเป็นระดับบงกชรุ้งขั้นสาม
ลำพังแค่วรยุทธ์ของสามคนนี้แสดงออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งหกคนเหลือทนแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าจะได้สู้กับนักพรตระดับบงกชรุ้งโดยตรง! เหมียวอี้แอบรู้สึกจนปัญญา นี่เพิ่งโผล่หน้าออกมาจากสถานที่ที่ซ่อนตัวได้ไม่กี่สิบปี ก็เจอกับตอปัญหาแบบนี้แล้ว ต้องโดนที่ซ่อนสมบัติของประมุขไป๋วางกับดักให้ตายแน่นอน ดีไม่ดีครั้งนี้อาจจะตายด้วยน้ำมือของประมุขไป๋แล้วจริงๆ!
แต่เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเองโลภเกินไป เดิมทีสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่มีความคิดอยากจะได้สมบัติที่ซ่อนเอาไว้นี้ ต่อให้เข้ามาในนรกแล้ว แต่ตราบใดที่ไม่บุกเข้ามาถึงใจกลางนรก ก็คงไม่เจอกับปัญหายุ่งยากแบบนี้ ตอนนี้มาพูดอะไรก็คงสายไปแล้ว
ด้านหน้ามีศัตรูที่แข็งแกร่งคุมสถานการณ์ ซือถูเซี่ยวที่บุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “เลี้ยวซ้าย!”
ทิศทางที่ทั้งหกคนรวมกลุ่มพุ่งโจมตีเลี้ยวไปทางขวาอย่างรวดเร็ว อวิ๋นอ้าวเทียนพูดต่ออีกว่า “หลังจากสังหารฝ่าออกไปได้แล้วก็เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าทันที”
คนที่เหลือเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ พอฝ่าออกไปได้แล้วก็จะอาศัยเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานของเขาช่วยหลบหนีทันที แบบนั้นยังมีความหวังว่าจะรอดตัวไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าได้สู้กับนักพรตบงกชรุ้งสามคนในรวดเดียว อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาก็ไม่มีทางต่อสู้กันได้เลย ถ้ามีแค่คนเดียวยังพอลองดูได้บ้าง
กำลังพลจากสี่ด้านแปดทิศล้อมพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อยสามคนและจัดขบวนทัพเล็กรูปสามเหลี่ยม
ซือถูเซี่ยวที่โจมตีเป็นกองหน้าก็ไม่ได้อ่อนหัด เพื่อที่จะทำให้ขบวนทัพโจมตีของฝ่ายตรงข้ามไร้ระเบียบ เขาผลักฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ในชั่วพริบตาเดียวก็ระเบิดคนที่หน้าตาเหมือนซือถูเซี่ยวออกมาหลายสิบคน กำลังพุ่งโจมตีไปข้างหน้า
ในบรรดากำลังพลแปดร้อยที่ล้อมโจมตี มีบางคนที่เห็นฉากนี้แล้วทำสีหน้าตกใจมาก
“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง?” ผู้บัญชาการกวนที่ดูการต่อสู้พลันเบิกตากว้าง พลางหลุดอุทานออกมา เขาพลิกมือเผยแตรเขาวัวแล้วเป่า “อู” อย่างดุเดือดเร่งด่วน
กำลังพลแปดร้อยที่ล้อมโจมตีรีบหยุด กองกำลังที่มาดักหน้าโจมตีทั้งหกคนถึงขั้นรีบแยกออกไปทางซ้ายและขวาอย่างเร่งด่วน แทบจะเกิดเป็นทางเดินอย่างคับขันในชั่วพริบตาที่ประมือกัน
ซือถูเซี่ยวที่หน้าตาเหมือนกันหลายสิบคนบุกนำออกไปก่อน ส่วนซือถูเซี่ยวตัวจริงที่นำทั้งห้าคนบุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้ากลับงงงันอยู่พักหนึ่ง พวกเหมียวอี้ที่เตรียมตัวจะสู้สุดชีวิตแต่คว้าน้ำเหลวก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน นี่มันหมายความว่าอะไร?
พอพวกเขาหันกลับไปมอง ก็พบว่าคนพวกนั้นไม่ได้ไล่ตามมาอีก ทำเอาพวกเขาสับสนงงงวยแล้ว
ส่วนผู้บัญชาการกวนนั่นก็แฉลบไล่ตามมาแล้ว นักพรตบงกชรุ้งที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ตามมาเช่นกัน
เหมียวอี้และห้าปราชญ์ตกใจมาก แต่ก็เข้าใจในชั่วพริบตาเดียว สงสัยอีกฝ่ายจะทำไปเพื่อลดการบาดเจ็บล้มตาย จึงให้นักพรตบงกชรุ้งสามคนลงมือเองแล้ว
ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดอะไรมากขนาดนั้น เอาตัวรอดให้ได้ก่อนต่างหากที่สำคัญที่สุด ซือถูเซี่ยวที่ไล่ตามวิชาแยกร่างของตัวเองทันโบกมือดูดร่างหลายสิบร่างเข้ามาในร่างกายของตัวเองทั้งหมด
จากนั้นซือถูเซี่ยว มู่ฝานจวิน ฉางเหลย จีฮวนและเหมียวอี้ก็รีบเก็บสัตว์พาหนะของตัวเองเข้าในกระเป๋าสัตว์ ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของอวิ๋นอ้าวเทียนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง เบียดเข้าไปอยู่ในรังเดียวกัน
พออวิ๋นอ้าวเทียนกางแขนสองข้าง ทั้งตัวก็มีปราณมารลอยวนเวียนทันที ก่อตัวกลายเป็นลูกกลมสีดำสองลูกที่แผ่นหลัง แล้วระเบิดกลายเป็นปีกสีดำขลับสองข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นโบกมือเก็บสัตว์พาหนะของตัวเอง แล้วกระพือปีกบินไปยังจุดลึกในดาราจักรอย่างรวดเร็ว
“เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน!” ผู้บัญชาการกวนที่ไล่ตามมาข้างหลังหลุดอุทานอีกครั้ง ก่อนหน้านี้สีหน้าของเขายังดูประหลาดใจสงสัยและไม่กล้าแน่ใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอได้เห็นปีกสองข้างของอวิ๋นอ้าวเทียน ขณะที่กำลังตกตะลึง แววตาก็วูบไหวร้อนรน ตะโกนบอกทันทีว่า “สหายที่อยู่ข้างหน้า พวกเราไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ได้โปรดหยุดก่อน!”
จะไปหยุดทำผีอะไรล่ะ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าอวิ๋นอ้าวเทียนเชื่อฟังได้ก็แปลกแล้ว ปีกสองข้างกระพืออย่างรีบเร่ง เรียกได้ว่าบินด้วยความเร็วสุดกำลัง
เมื่อเห็นว่าตะโกนเรียกไม่ได้ผล ผู้บัญชาการกวนก็สะบัดแขนสองข้าง ความเร็วในการเหาะเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ความเร็วในการไล่ตามเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุดแล้ว
ทำให้ลูกน้องสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาค่อยๆ ทิ้งระยะห่างจากเขาทันที
อวิ๋นอ้าวเทียนที่หันกลับมามองเป็นระยะแอบร้องว่าแย่แล้ว วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ดของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ตามเขาทันในทันที แต่กลับย่นระยะห่างให้ใกล้กันทีละนิด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่นานจะต้องตามทันแน่นอน
ตอนนี้เขานับว่าได้พิสูจน์และมั่นใจเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ต่อให้ใช้ท่า ‘วิถีมารครองใต้หล้า’ ก็ไม่มีทางหนีรอดเงื้อมมือนักพรตบงกชรุ้งไปได้เลย
และไม่นานความจริงก็ได้พิสูจน์การคาดการณ์ของเขาแล้ว ผู้บัญชาการกวนค่อยๆ ตามติดอยู่ข้างหลัง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “สหาย ข้ารับรองว่าไม่มีเจตนาร้ายแน่นอน ได้โปรดหยุดก่อน!”
อวิ๋นอ้าวเทียนรีบหันกลับมามอง เมื่อเห็นตรงจุดไกลๆ มีนักพรตบงกชรุ้งอีกสองคนตามมา เขาก็ไหวตัวเร็วมาก ตอบกลับทันทีว่า “ถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่มีเจตนาร้าย ก็ให้คนของเจ้าถอยไปเดี๋ยวนี้”
ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นแล้ว เคยมีประสบการณ์สู้กับจูเชียนซือมาก่อน ถ้าอีกฝ่ายกล้าอยู่คนเดียว เมื่อลงมือต่อสู้กันขึ้นมา ฝ่ายตัวเองมีหกคนร่วมมือกันก็ยังพอมีหวังรอดชีวิตได้บ้าง ถ้าให้สู้กับนักพรตบงกชรุ้งสามคนในรวดเดียว ฝ่ายตัวเองจะต้องรับไม่ไหวแน่นอน
ผู้บัญชาการกวนหยิบแตรเขาวัวออกมาเป่า “อูอู” สองครั้งทันที
นักพรตบงกชรุ้งสองคนข้างหลังที่ไล่ตามไม่หยุดสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นหยุดและหันตัวเลี้ยวทันที รีบเหาะกลับไปหาจุดที่กำลังพลแปดร้อยอยู่
ผู้บัญชาการกวนเก็บแตรเขาวัว แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้เป็นอย่างไร? ทำตามที่เจ้าพูดแล้ว”
อวิ๋นอ้าวเทียนตอบว่า “เจ้าเองก็ถอยหลังออกไปร้อยจั้ง” เขาต้องทิ้งระยะห่างที่ปลอดภัยไว้ให้ตัวเองตอบโต้สักหน่อย
“ได้!” ผู้บัญชาการกวนตอบตกลง แล้วลดความเร็วในการเหาะทันที รักษาระยะห่างกับอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นระยะหนึ่งร้อยจั้ง
เจ้าบ้านี่กำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่? อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ค่อยเข้าใจ อาศัยกำลังของอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดจะทำอะไร
ไม่สามารถทำความเข้าใจคำถามนี้ได้ในทันที เขารู้เพียงว่าไม่สามารถรอดพ้นจากความเร็วของอีกฝ่ายได้แน่นอน ถ้าสามารถหาทางกำจัดอีกฝ่ายทิ้งก่อนได้ ก็จะสามารถรอดพ้นจากคนที่เหลือได้
อวิ๋นอ้าวเทียนรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติแล้ว จึงค่อยๆ ลดความเร็วในการเหาะให้ช้าลง เห็นผู้บัญชาการกวนที่อยู่ข้างหลังรักษาสัญญา ลดความเร็วตามเช่นกัน รักษาระยะห่างกับเขาหนึ่งร้อยจั้งตลอด หลังจากฝ่ายอวิ๋นอ้าวเทียนหยุดอยู่กับที่ เขาก็หยุดแล้วเช่นกัน
หลังจากเก็บปีกแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็หันตัวกลับมาคุมเชิงกับผู้บัญชาการกวนอยู่ไกลๆ พอโบกมือหนึ่งครั้ง พวกเหมียวอี้ที่โผล่ออกมาอีกครั้งหลังจากเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ได้ไม่นานก็ค่อนข้างประหลาดใจ เมื่อเห็นผู้บัญชาการกวนอยู่ไม่ไกล เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือเรียกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กับลูกธนูดาวตกออกมาเตรียมพร้อมโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
พวกเขาประหลาดใจสงสัย มู่ฝานจวินถามเสียงต่ำว่า “สถานการณ์อะไรกัน?”
อวิ๋นอ้าวเทียนจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสถานการณ์อะไร เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน จึงรีบเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง พร้อมทั้งแอบถ่ายทอดเสียงบอกทั้งห้าคน ขอเพียงทุกคนร่วมมือกันกำจัดนักพรตบงกชรุ้งคนนี้ทิ้งได้ เขาก็สามารถพาทุกคนหนีไปได้
เมื่อเห็นคนที่เหลือไม่มีความเห็นแย้งอะไร เหมียวอี้ก็กระตุกมุมปากเล็กน้อย เขาพบว่าอีกห้าคนโหดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะกำจัดบงกชรุ้งนักพรตบงกชรุ้งขั้นเจ็ดทิ้ง ไม่แปลกใจที่กล้าปล้นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์
เขายังไม่รู้ว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเคยร่วมมือกันกำจัดนักพรตบงกชรุ้งทิ้งไปแล้วคนหนึ่ง มีข่าวบางอย่างที่ตำหนักสวรรค์ไม่ได้ปล่อยออกไป กลัวว่าจะส่งผลกระทบให้กำลังพลฝ่ายตัวเองเสียขวัญกำลังใจ ดังนั้นเหมียวอี้จึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน
ส่วนผู้บัญชาการกวนก็จ้องซือถูเซี่ยวครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นนักพรตผีเหมือนกัน ก็โบกมือชี้ซือถูเซี่ยวจากที่ไกลๆ พร้อมกล่าวถามเสียงดังว่า “สหายนักพรตผีท่านนี้ ขอบังอาจถามหน่อยว่าท่านฝึก ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ ใช่หรือไม่?”
พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง หรือว่านักพรตผีคนนี้อยากจะแย่งหกเคล็ดวิชาพิเศษ?
เมื่อรู้ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนถูกเปิดโปงแล้ว ซือถูเซี่ยวก็ถามกลับเสียงดังว่า “ใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง?”
ผู้บัญชาการกวนกล่าวเสียงดังอีกว่า “ข้าคือกวนหลงซาน ผู้บัญชาการใต้บังคับบัญชาของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ขอบังอาจถามว่าสหายมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นคนที่ประมุขชิงส่งมาทดสอบหรือ?”
พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วมองหน้ากันเลิกลั่ก จีฮวนพูดหยอกเสียงเบาว่า “ประมุขปราชญ์ลัทธิผี? ผีเฒ่า เขากำลังพูดถึงเจ้าไม่ใช่เหรอ เจ้ามีลูกสมุนที่วรยุทธ์สูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
คนที่เหลือย่อมรู้ว่าเขากำลังล้อเล่น ซือถูเซี่ยวจะมีลูกน้องที่วรยุทธ์สูงขนาดนี้ได้อย่างไร ประมุขปราชญ์ลัทธิผีของพิภพใหญ่กับประมุขปราชญ์ลัทธิผีของพิภพเล็กอยู่คนละระดับกันเลย ประมุขปราชญ์ลัทธิผีที่อีกฝ่ายพูดถึงจะต้องเป็นหนึ่งในหกมหาราชันของพิภพใหญ่ในปีนั้นแน่นอน
ตามตำนานที่เล่าต่อกันมา โจรกบฏที่อยู่ในนรกส่วนใหญ่ก็คือลูกน้องเก่าของหกมหาราชันในปีนั้น
ตำนานบอกว่าหลังจากหกมหาราชันตายแล้ว ลูกน้องเก่าที่ยังเหลือรอดก็ไม่สู้กับประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋ เพื่อที่จะรักษากำลังและหลีกเลี่ยงการเสียสละชีวิตโดยไร้ความหมาย คนที่สามารถหนีได้ทันเวลาส่วนใหญ่ก็เข้ามาประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ อยู่ในแดนอเวจี และโดนตำหนักสวรรค์ปิดล้อมขังไว้ในนรกมาโดยตลอด
อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองเป็นกำลังพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด
เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีกเหรอ? ซือถูเซี่ยวขี้คร้านจะสนใจจีฮวน ตอบกลับเสียงดังว่า “พวกเราไม่ใช่ผู้เข้าร่วมทดสอบที่เป็นลูกน้องของประมุขชิง ในเมื่อเจ้าไม่มีเจตนาร้าย เหตุใดจึงไม่ถอยออกไปเสียตอนนี้ ปล่อยพวกเราจากไปสิ ทำไมยังตามพัวพันไม่หยุด?”
“ต่อให้ปล่อยพวกท่านออกไปแล้วยังไงล่ะ? พวกท่านอยู่ในนรกที่มีการล้อมดักไว้อย่างหนาแน่นแล้ว ถ้าเจอกลุ่มคนที่ไม่รู้จักไล่สังหารอย่างไม่ปรานี ต่อให้ประมุขชิงนำทัพใหญ่มาปราบด้วยตัวเองก็ยากที่จะทำอะไรพวกเราได้ อาศัยวรยุทธ์ของพวกท่านจะหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน?” ขณะที่กวนหลงซานตอบเสียงดัง มืออีกข้างที่กำลังไขว้หลังก็แอบเขย่าระฆังดารา ส่วนปากก็พูดไม่หยุดว่า “ไม่สู้พวกเรามาทำความสัมพันธ์ให้ชัดเจนไปเลยว่าเป็นศัตรูหรือสหาย ถ้าเป็นฝ่ายสหาย ตราบใดที่ไม่ทำเรื่องที่ส่งผลเสียกับพวกเรา กวนคนนี้ก็สามารถคุ้มครองส่งพวกท่านให้เดินทางโดยสวัสดิภาพได้”
บนยอดเขาที่มีเสียงลมแหลมเศร้ารันทด ปราณหยินพัดผ่านมาอย่างรวดเร็ว ขุนพลที่เสื้อคลุมปลิวสะบัดและผมปลิวยุ่งตามสายลมได้สติกลับมาแล้ว เขาพลิกมือหยิบระฆังดาราออกมา หลังจากตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่ง ก็เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างฉับพลัน
จู่ๆ ก็กำระฆังดาราไว้แน่น ข้อนิ้วทั้งห้าตึงแน่น ตรงหว่างคิ้วที่มีผมเฉียดผ่านไม่หยุดเผยให้เห็นลายเมฆสีเลือด ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน จิตใจที่หงอยเหงาเศร้าซึมหายไปในชั่วพริบตาเดียว พอมือใหญ่โบกผ้าคลุมที่ถูกลมพัดพันตัว เขาก็หายตัวไปอย่างที่เดิมอย่างรวดเร็ว อาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งชนจนกระแสหินที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงอยู่บนท้องฟ้าเกิดเป็นโพรงแล้วพุ่งตัวออกไป
…………………………