พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1223 หมอกโฉมงามอาภัพ
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็ไม่ใช่แค่กุยอู๋ แต่ขุนพลใหญ่หกลัทธิ รวมทั้งกลุ่มนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพที่อยู่ข้างหลังก็ทำสีหน้าเศร้าสลด
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนหะนกลับมามองแวบหนึ่ง ถึงขั้นสังเกตเห็นว่าในดวงตาบางคนมีน้ำตาคลอ ภาพนี้ฉากนี้ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนแอบทำสีหน้าสะเทือนใจ จินตนาการได้ไม่ยากว่าภาพที่หกมหาราชันปาดคอตัวเองเพื่อจะปกป้องลูกน้องมิตรสหายในปีนั้นเศร้าสลดและยิ่งใหญ่ขนาดไหน
เอาใจเขามาใส่ใจเรา การสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่นไม่ใช่สิ่งทุกคนจะทำได้ และก็ไม่แปลกใจที่ประมุขไป๋ที่คิดจะเล่นงานคนกลุ่มนี้ให้ตายจะซาบซึ้งใจและปล่อยให้รอดชีวิต และไม่แปลกใจที่หลังจากหกมหาราชันตายแล้ว โจรกบฏพวกนี้ยังต่อต้านตำหนักสวรรค์มาจนถึงปัจจุบันโดยไม่ยอมจำนน
“ในเมื่อประมุขไป๋ปล่อยให้พวกท่านรอดชีวิตแล้ว ทำไมถึงยังวางค่ายกลใหญ่ขังประมุขขุนพลหกท่านไว้อีก?” เหมียวอี้แปลกใจ
ตานฉิง ขุนพลใหญ่แห่งลัทธิมารถอนหายใจยาวแล้วตอบว่า “เรื่องที่ประมุขขุนพลหกท่านโดนขังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นหลายปี ได้ยินว่าข้างนอกมีประมุขปีศาจโผล่มาอีกคน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรประมุขพุทธะกับประมุขชิงจึงยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน และแปรพักตร์ให้ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจแล้ว ได้ยินว่าประมุขปีศาจตกเป็นตัวประกันอยู่ในมือของประมุขพุทธะและประมุขชิง ตอนนี้ไม่รู้ว่าประมุขไป๋เข้ามาในจนกที่ถูกปิดปนึกจากทางไหน มาหาตัวพวกเราพบ หลังจากคุยกันอยู่นาน ประมุขขุนพลหกท่านก็ยินดีถูกประมุขไป๋ขังไว้ในค่ายกลใหญ่ โดยขังมาจนกระทั่งวันนี้”
“ประมุขขุนพลหกท่านยินดีถูกขังเองเหรอ? ทำไมถึงยินดีถูกประมุขไป๋ขังล่ะ?” เหมียวอี้ตกตะลึงปนประหลาดใจ
เหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีตอบว่า “พวกเราก็ไม่รู้เหตุผลโดยละเอียดเหมือนกัน ประมุขขุนพลหกท่านไม่ได้บอกชัดเจน บอกเพียงว่ารอให้ผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาของประมุขปราชญ์หกท่านมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่พวกเขาหลุดพ้น เวลาออกจากนรกไปโค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็จะมาถึงแล้ว พวกเราก็คิดเพียงว่าประมุขไป๋เตรียมแผนการอะไรไว้ แต่ใครจะคิดว่าไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้ข่าวว่าประมุขไป๋โดนสยบไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ข่าวนี้ทำให้พวกเราเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ แต่พวกเราก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลใหญ่เพื่อช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาได้ ทำได้เพียงรอคอยตามคำฝากฝังของประมุขขุนพลหกท่าน หนึ่งแสนกว่าปีแล้ว เดิมทีพวกเราหมดหวังไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะปรากฏตัว”
พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ว่าตัวเองกับประมุขไป๋ท่านนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วอีกอย่าง ประมุขไป๋ท่านนั้นก็ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว จะมาเกี่ยวข้องกับพวกเขาได้อย่างไร
ถ้าจะบอกว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับประมุขไป๋จริงๆ เหมียวอี้ก็ยอมรับว่าเกี่ยวข้องอยู่นิดหน่อย เพราะเขามาขุดหาสมบัติที่ประมุขไป๋ที่ไว้ แต่ความเกี่ยวข้องเล็กน้อยแค่นี้ เป็นเพราะภายใต้โอกาสที่เหมาะเจาะ เขาได้บังเอิญได้กุญแจไขปปริศนาของเผ่าปีศาจจนเปิดใช้งานแผนที่ซ่อนสมบัติได้ที่สถานที่ไร้ระเบียบ ไม่ได้รับการชี้แนะใดๆ ทั้งนั้น เป็นความบังเอิญล้วนๆ
และสำหรับพวกอวิ๋นอ้าวเทียน แม้แต่ประมุขไป๋หน้าตาเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย พวกเขาก็ยิ่งไม่คิดว่าตัวเองกับประมุขไป๋มีความเกี่ยวข้องกัน ที่บอกว่าประมุขไป๋ส่งมาทำอะไร เป็นผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาของหกมหาราชันอะไรนั่นเพื่อมาทำลายค่ายกลช่วยชีวิตประมุขขุนพล พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย และไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงด้วย วันนี้เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
แต่ในใจของพวกเขาก็เคลือบแคลงเช่นกัน หกมหาราชันตายไปแล้ว ประมุขไป๋ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ แล้วหกเคล็ดวิชาพิเศษตามคนกลุ่มนั้นหนีไปถึงพิภพเล็กได้อย่างไร? ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนเช่นกัน แต่ตอนนั้นมีคนยกทัพไปปราบเยอะเกินไป ไม่รู้ชัดเหมือนกันว่าคนกลุ่มไหนหนีมาตายอยู่ที่พิภพเล็กแล้ว
มู่ฝานจวินเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ หลังจากสายตาวูบไหวอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าถามว่า “พวกท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าประมุขไป๋ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ?”
“ถ้าไม่ได้ถูกขัง แล้วข้างนอกจะสงบสุขแบบนี้ได้อย่างไร?” เมิ่งหรูถาม
“ประมุขไป๋หน้าตาเป็นอย่างไร?” มู่ฝานจวินถามอีก
พวกเหมียวอี้หันหน้าไปมองนางทันที แปลกใจนิดหน่อยว่านางสนใจหน้าตาของประมุขไป๋ไปทำไม หน้าตาแบบไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?
จ่างหง ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจตะคอกตอบว่า “ถ้าพวกเจ้าอยากจะรู้สถานการณ์โดยละเอียด ก็มีแค่ต้องทำลายค่ายกล รอจนประมุขขุนพลหกท่านหลุดพ้นออกมาก่อน มีอะไรก็ถามขอคำชี้แนะประมุขขุนพลหกท่านได้เลย พวกเราก็รู้ไม่เยอะเหมือนกัน”
สืออวิ๋นเปียนบอกอีกว่า “เลิกชักช้าได้แล้ว สิ่งที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดก็บอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว ทำลายทำลายค่ายกลให้ข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ก็แปลว่าพวกเจ้าคือสายลับที่โจรกบฏส่งมา”
ฉางเหลยถอนหายใจแล้วถามอีกว่า “ทำลายค่ายกลไม่ได้ก็แปล่วาเป็นสายลับของโจรกบฏ นี่มันหลักการอะไรกัน?”
สืออวิ๋นเปียนเหล่ตาตอบว่า “หกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือประมุขไป๋ ประมุขไป๋ถูกประมุขพุทธะกับประมุขชิงขังไว้ เป็นไปได้สูงว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะตกอยู่ในมือโจรกบฏ แล้วพวกเจ้าก็ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษ ถ้าจะบอกว่าพวกเจ้าเป็นสายลับก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป”
อยากเล่นงานใคร ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ! ทั้งหกเหลือบมองดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่น ไม่มีที่ให้ลงมือเลย การให้พวกเขาทำลายค่ายกลช่างเป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ
“ค่ายกลนี้ข้าไม่มีทางทำลายได้หรอก” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว
สายตาที่เจือด้วยความดุร้ายหลายสิบดวงจ้องมาทันที
เหลิ่งจัวฉุนแสยะยิ้มถามว่า “พวกเจ้าแน่ใจเหรอว่าทำลายไม่ได้?”
ในคำพูดแฝงรสชาติขู่เข็ญไว้เต็มเปี่ยม เหมือนเป็นคำขาดสุดท้าย
อวิ๋นอ้าวเทียนเม้มริมฝีปากแน่น แล้วถามเสียงต่ำว่า “พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำลายค่ายกลนี้ยังไง ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลนี้เลย แล้วจะไปทำลายได้ยังไง?”
กลิ่นอายสังหารพรั่งพรูขึ้นมาบนตัวเหลิ่งจัวฉุนในชั่วพริบตาเดียว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็อย่าหาว่าพวกเรา…”
“ช้าก่อนๆๆๆ ทำลายได้ ทำลายได้” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะลงมือสังหาร เหมียวอี้ก็รีบออกเสียงห้าม
สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวเขา เหลิ่งจัวฉุนรีบถามว่า “เจ้าทำลายได้เหรอ?”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนย่อมมองเหมียวอี้อย่างประหลาดใจสงสัย อดนึกเชื่อมโยงไม่ได้ว่าเดิมทีเหมียวอี้ก็ต้องการจะมาที่นี่อยู่แล้ว
เหมียวอี้ยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า “ถ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าทำลายไม่ได้”
ลักษณะการทำงานของเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องไหนที่ไม่เคยลองก็จะไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่ตัดโอกาสในรวดเดียว ถ้าถ่วงเวลาสักหน่อยอาจจะหาข้ออ้างมาตบตาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะสิ้นชีพตอนนี้ ตายแบบนี้อาจจะไร้ความยุติธรรมเกินไปหน่อย
ทว่าฝ่ายนี้ไม่ให้โอกาสพวกเขาหาข้ออ้างมาตบตาเลย เหลิ่งจัวฉุนเอียงหน้าบอกใบ้ทนัที “ถ้าทำลายได้ก็รีบไปทำลาย”
“ทำลายยังไง?” เหมียวอี้ถามส่งเดช
คำถามนี้มีชั้นเชิงเกินไปแล้ว พูดในเหตุการณ์และบรรยากาศแบบนี้ก็สามารถทำให้สำลักตายได้ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนพูดไม่ออก กลุ่มโจรกบฏทำสีหน้าเหมือนโดนปั่นหัวทันที
เหลิ่งจัวฉุนถามอย่างเดือดดาลทันทีว่า “ถ้ารู้ว่าทำลายยังไงแล้วยังจะให้พวกเจ้ามาทำลายอีกเหรอ?”
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เหมียวอี้รีบพูดเสริม ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองสื่อสารผิด ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ รีบแก้คำพูดว่า “ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลนี้เลย พวกท่านต้องแนะนำข้าสักหน่อยสิ”
ไฟโกรธที่ล้นทะลักของเหลิ่งจัวฉุนถูกคำพูดนี้ข่มเอาไว้ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ส่วนคนที่ถูกจ้องก็อกสั่นขวัญแขวน
ยังเป็นเมิ่งหรูที่ก้าวขึ้นมาขวางเหลิ่งจัวฉุนไว้ แล้วชี้ไปที่ดาวเคราะห์สิบสองดวงนั้น พร้อมชี้แนะว่า “ประมุขไป๋บอกไว้หลังจากวางค่ายกลใหญ่ ว่าเขาอาศัยพลังโคจรของดาวเสริมสิบเอ็ดดวงเพื่อวางค่ายกลผนึกดาวรองที่อยู่ตรงกลาง ส่วนค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันบนดาวรองก็เชื่อมต่อกับชีวิตของประมุขขุนพลหกท่าน ถ้าฝืนบุกเข้าไปก็จะกระตุ้นค่ายกลและทำให้ประมุขขุนพลหกท่านตายทันที เขาบอกว่าพวกเราห้ามบุกเข้าไป ถ้าอยากจะเข้าดาวรอง ก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันระหว่างดาวเคราะห์สิบสองดวงให้ได้ก่อน ส่วนการทำลายแกนค่ายกลค่ายกลก็อยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวง”
ประมุขไป๋ทท่านนั้นเหนื่อยบ้างรึเปล่า? เหมียวอี้พึมพำในใจ เอามือลูบคางจ้องมองดาวเคราะห์สิบสองดวงนั้นพร้อมถามว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ขอแค่หาแกนค่ายกลบนดาวเสริมเจอ ก็จะสามารถทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันและเข้าไปช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาจากดาวรองได้เหรอ?”
“ถูกแล้ว!” เมิ่งหรูพยักหน้า แล้วส่ายหน้าอีก “แต่จนใจที่หมอกหนาปกคลุม เป็นเรื่องยากมากที่จะหาพบ”
“อาศัยวรยุทธ์อย่างพวกท่าน หมอกเล็กน้อยแค่นี้เป็นอุปสรรคต่อการร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเหรอ?” เหมียวอี้หันกลับมาถามอย่างฉงนใจ
เมิ่งหรูอธิบายว่า “นั่นไม่ใช่หมอกธรรมดา เป็นพิษประหลาด ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของพลังดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นมารปีศาจหรือว่ามนุษย์ หากไปสัมผัสโดนมันก็จะสลายวิญญาณกร่อนกระดูกจนกลายเป็นน้ำสีดำทันที สามารถกัดกร่อนพลังอิทธิฤทธิ์ได้ ไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจได้เลย พวกเราก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รอให้พวกเจ้ามาทำลายค่ายกลหรอก”
ขณะจ้องมองหมอกสีเลือดที่ปกคลุมดาวเคราะห์สิบสองดวง พวกเหมียวอี้ก็ตะลึงงันเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้หันกลับมามองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็มองออกจากสายตาของกันและกันว่ามีความคิดแบบเดียวกัน ทำไมฟังดูคล้ายๆ แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กเลยล่ะ?
มู่ฝานจวินขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งทำสายตาพิศวงขึ้นเรื่อยๆ
ฉางเหลยกล่าวถามอย่างทอดถอนใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโสทุกท่าน นี่คือ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ แม้แต่พวกท่านยังหวาดกลัว แล้วพวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ?”
ไม่มีใครสนใจ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มโจรกบฏพิจารณาถึง
แต่ใครจะคาดคิด ว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะถามว่า “ขุนพลใหญ่เมิ่ง ในหมอกโฉมงามอาภัพนี้มีตั๊กแตนหรือเปล่า?”
เขาเคยทดลองเข้าแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กมาแล้ว ถ้าสองแห่งนี้มีสัตว์ชนิดเดียวกัน เช่นนั้นหมอกโฉมงามอาภัพนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว กลัวก็แต่ในนั้นจะมีตั๊กแตนทมิฬ เขาเคยได้บทเรียนคามน่าหวาดกลัวของสิ่งนั้นมาแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวเลย
“ตั๊กแตน?” เมิ่งหรูงุนงง “ตั๊กแตนอะไร? ไม่เคยเห็นว่ามีตั๊กแตนอะไรนะ”
เขาไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับเข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังพิสูจน์ว่าที่นี่ใช่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กหรือเปล่า
“ไม่เคยเห็น…” เหมียวอี้พึมพำกับตัวเอง แล้วถามอีกว่า “หมอกโฉมงามอาภัพนี้ จะเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีขาวทุกช่วงสั้นๆ หรือเปล่า?”
“เป็นสีแดงมาตลอด ยังไม่เคยเห็นเปลี่ยนเป็นสีขาว” เมิ่งหรูกล่าว
“ไม่มี…” เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ “หรือว่าจะไม่ใช่?”
มีบางคนทนรอไม่ไหวแล้ว ตานฉิงตะคอกว่า “เจ้าจะชักช้าไปถึงเมื่อไรถึงจะลงมือ? หรือว่าเจ้าคิดว่าจะถ่วงเวลาต่อไปได้?”
“ไป!” เหมียวอี้กวักมือเรียกพวกอวิ๋นอ้าวเทียน “พวกเราวนอ้อมเพื่อดูสถานการณ์ก่อน
คนที่เหลือมองเห็นสายตาของเขาแล้ว ถึงได้เหาะตามไปด้วยกัน โดยมีขุนพลใหญ่หกลัทธินำคนเหาะตามหลัง
พวกเขาหันกลับมามองกำลังพลที่ตามหลังตัวเองอยู่ แล้วอวิ๋นอ้าวเทียนก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เหมียวอี้ เจ้ามั่นใจเหรอว่าจะทำลายค่ายกลได้?”
“ไม่มั่นใจหรอก” เหมียวอี้ตอบ
“งั้นเจ้ายังรับปากอีกเหรอว่าจะทำลายค่ายกล?” จีฮวนถามอย่างโมโห
เหมียวอี้ “คนพวกนี้ไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลย จะปฏิเสธได้ยังไง? ปฏิเสธก็ตายน่ะสิ! รออีกประเดี๋ยวข้าจะลองดูก่อน ดูว่าจะหาทางต้านทานหมอกโฉมงามอาภัพนี้ได้มั้ย ถ้าสามารถทำได้ ข้าก็จะลองดูอีกว่าจะทำลายค่ายกลได้หรือเปล่า ถ้าทำลายไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าก็เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าทันที พวกเราเข้าไปหลบอยู่ในหมอกโฉมงามอาภัพนี้ด้วยกัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าบุกเข้ามาอยู่แล้ว และไม่กล้าฝืนทำอะไรค่ายกลใหญ่นี้ด้วย”
ฉางเหลยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ต่อให้เจ้าจะสามารถพาพวกเราเข้าไปหลบ แต่จะหลบได้นานแค่ไหนล่ะ คงไม่ต้องหลบไปทั้งชีวิตแล้วออกไปไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ไม่มีทางที่จะหลบอยู่ในนั้นได้นานเกินไป!”
เหมียวอี้ตอบว่า “อยู่รอดได้อีกหนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน ดีกว่าโดนประหารเสียเดี๋ยวนี้เลยใช่มั้ยล่ะ? ขอเพียงสามารถหลบภัยได้ชั่วคราว เดี๋ยวข้าค่อยติดต่อกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนตำหนักสวรรค์ รายงานภาพเหตุการณ์ที่เจอมาตลอดทางให้เขารู้ ดูว่าจะสามารถนำทางให้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบได้หรือเปล่า สรุปว่าตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจอะไรมากขนาดนั้น หาทางมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อน อย่างอื่นค่อยๆ คิดทีละก้าวแล้วกัน”
“เจ้าเด็กนี่รู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนของตำหนักสวรรค์จริงเหรอ?” อวิ๋นอ้าวเทียนโมโหแล้ว
คนอื่นๆ ก็สีหน้าบึ้งตึงแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้คิดว่าเหมียวอี้แค่พูดไปเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองเฉยๆ แต่ตอนนี้มาฟังดูแล้วเหมือนเขาจะรู้จักกับเกาก้วนจริงๆ เจ้าเวรนี่ไม่คิดจะพาพวกเขาออกจากนรก กลับพาพวกเขามาชนกำแพงรนหาที่ตายด้วยกัน ช่างน่าแค้นจริงๆ!
…………………………