พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1225 แกนค่ายกล
เหมียวอี้ไม่มีทางแน่ใจได้ว่าสถานที่นี้คือแกนค่ายกลหรือเปล่า หลังจากสำรวจดาวเสริมดวงนี้อย่างเต็มที่แล้ว เขาก็เหาะไปสำรวจดาวเสริมดวงถัดไปต่อ
เขาทำแบบนี้ต่อเนื่องหนึ่งปีกว่า ถึงได้สำรวจดาวเสริมทั้งสิบเอ็ดดวงจนหมด
สุดท้ายก็ยังกลับไปที่ตำแหน่งดาวเสริมดวงที่ห้าที่กำหนดไว้ เมื่อเปิดตาทิพย์จ้องตำแหน่งนั้นให้ละเอียดอีกครั้ง บนมือก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาวาดลักษณะพื้นภูมิด้านล่างลงไป พอวาดเสร็จแล้วก็เก็บดวงตาอิทธิฤทธิ์ แล้วนำแผ่นหยกโบนให้เมิ่งหรู “ท่านดูหน่อยว่าตำแหน่งนี้ใช่แกนค่ายกลหรือเปล่า”
หลังจากเมิ่งหรูถืออ่าน ก็ถามเบาๆ ว่า “ก็เหมือนค่ายกลค่ายหนึ่งอยู่นะ นี่คือลักษณะพื้นภูมิข้างล่างเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าสำรวจดาวเคราะห์สิบเอ็ดดวงทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง มีแค่ที่นี่ที่น่าสงสัย แต่ข้าไม่มีทางแน่ใจได้ว่านี่คือแกนค่ายกลหรือเปล่า และไม่มีทางแน่ใจด้วยว่าหลังจากทำลายที่นี่แล้วจะกำจัดค่ายกลใหญ่ทิ้งได้หรือเปล่า”
เมิ่งหรูเงียบงันพูดไม่ออก นำแผ่นหยกในมือส่งต่อให้ขุนพลใหญ่คนอื่นๆ ตรวจดู
หลังจากพวกเขาผลัดกันดูแล้ว สืออวิ๋นเปียนก็กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นที่นี่ ในปีแรกๆ ที่นี่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นภูมิเด่นชัดขนาดนี้ ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้พวกเราจะไม่สังเกตเห็น”
เหลิ่งจัวฉุนบอกว่า “ต่อให้ตรงนี้คือแกนค่ายกล แต่ข้างล่างมีหมอกโฉมงามอาภัพเป็นอุปสรรค จะลงไปทำลายค่ายกลได้ยังไง? เจ้ามีวิธีการหรือเปล่า?” เขามองไปที่เหมียวอี้พร้อมเอ่ยถาม
“การจะเข้าไปที่ดาวรองแล้วช่วยประมุขขุนพลทั้งหกออกมา จำเป็นจะต้องทำลายแกนค่ายกลนี้ทิ้งให้ได้เลยใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง
ตานฉิงบอกว่า “ถ้าไม่ทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกัน ก็ไม่มีทางเข้าไปในดาวรองได้เลย ทั้งด้านบนและด้านล่างของดาวรองไม่ใช่แค่มีหมอกโฉมงามอาภัพเป็นอุปสรรค ทั้งยังมีค่ายกลโจมตีที่ร้ายกาจสุดๆ ด้วย ไม่มีทางบุกเข้าไปได้ง่ายๆ มีแค่การทำลายแกนค่ายกล ปิดค่ายกลใหญ่ป้องกันเท่านั้น ถึงจะไม่กระตุ้นจุดต้องห้ามของประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขัง ถ้าดันทุรังบุกเข้าไป นอกจากจะเข้าไปได้ยากแล้ว ยังมีโอกาสเป็นอันตรายต่อชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกด้วย”
“ยังมีค่ายกลโจมตีที่ร้ายกาจสุดๆ ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้จ้องดาวรองที่หมุนรอบอยู่ตรงกลางพร้อมพึมพำ เขาไม่ได้ล้มเลิกความคิดที่จะหาสมบัติ พอมาดูตอนนี้แล้ว ถ้าอยากจะหาสมบัติที่ซ่อนให้พบก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันนี้ทิ้งด้วย
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็มีวิธีการปลีกตัวหนีแล้ว หันกลับมาถามว่า “พวกท่านรู้หรือเปล่าว่าประมุขขุนพลทั้งหกถูกขังอยู่ตำแหน่งไหนของดาวรอง?”
ขุนพลใหญ่ทั้งหกส่ายหน้าพร้อมกัน เมิ่งหรูตอบว่า “ตอนที่วางค่ายกลประมุขไป๋ทำให้คนอื่นสับสน ไม่ยอมให้พวกเราเห็นเหตุการณ์ตอนที่วางค่ายกล พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาขังประมุขขุนพลทั้งหกไว้ที่ตำแหน่งไหน”
ในใจเหมียวอี้มีความมั่นใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว ถามต่อว่า “บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงมีค่ายกลโจมตีหรือเปล่า?”
เมิ่งหรูตอบว่า “ประมุขไป๋ไม่ได้บอก แต่หมอกโฉมงามอาภัพนั่นก็นับว่าเป็นค่ายกลโจมตีที่ร้ายกาจสุดๆ เหมือนกัน ถ้าอยากจะทำลายค่ายกลก็ต้องผ่านด่านนี้ไปก่อน”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “หมอกโฉมงามอาภัพขัดขวางข้าไม่ได้ ข้าลองดูหน่อยก็ได้”
ทุกคนมองมาอย่างประหลาดใจทันที พวกอวิ๋นอ้าวเทียนตกตะลึงสงสัย กลุ่มโจรกบฏก็ทำสายตาตื่นเต้นฮึกเหิม
“เถ้าเจ้าต้องการความร่วมมืออะไรก็บอกมาได้เลย ขอเพียงฝั่งพวกเราสามารถทำได้ก็จะทำให้” สืออวิ๋นเปียนกล่าว
เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่ถูกจับตามองอยู่ตลอด “ไม่จำเป็นต้องขอความร่วมมืออะไรมากเกินไปหรอก เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขาใช้ประโยชน์ในการทำลายค่ายกลนี้ได้ ให้พวกเขาตามข้าเข้าไปทำลายค่ายกลในหมอกโฉมงามอาภัพก็พอ”
เหลิ่งจัวฉุนจึงบอกว่า “เคล็ดวิชาที่พวกเขาฝึก พวกเราก็ฝึกเหมือนกัน ไม่สู้ให้พวกเราช่วยก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เห็นได้ชัดว่ายังไม่ค่อยวางใจให้พวกเหมียวอี้อยู่ด้วยกัน
เหมียวอี้ไม่เกรงใจเลยสักนิด ปฏิเสธตรงๆ ว่า “ข้ากับพวกเขาร่วมมือกันมานานแล้ว การทำลายค่ายกลนี้ต้องใช้ความร่วมมือที่คุ้ยเคยกัน พวกท่านแน่ใจเหรอว่าจะสามารถส่งสัญญาณลับกับข้าได้? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาจนพลาดพลั้งจะทำยังไง?”
เหลิ่งจัวฉุนยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเมิ่งหรูยกมือห้ามไว้ แล้วส่งสายตาให้เหลิ่งจัวฉุน พร้อมแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ให้พวกเขาเข้าไปเถอะ อยู่ใต้หนังตาแบบนี้จะหนีไปไหนได้เหรอ?”
เหลิ่งจัวฉุนไม่พูดอะไรแล้ว เมิ่งหรูหันกลับมาพยักหน้าให้กลุ่มลูกน้อง พวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่ถูกจับตามองมาตลอดถึงได้รับอิสระ แล้วเหาะไปข้างกายเหมียวอี้ด้วยกัน
“ตามข้ามา!” เหมียวอี้เรียกทั้งห้าคน แล้วนำพวกเขาเหาะลงไปยังดาวเสริมที่อยู่ใต้เท้าด้วยกัน
ขุนพลใหญ่หกลัทธิก็นำคนพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศตามไปเช่นกัน พอบุกเข้ามาบนฟ้าเหนือดาวเสริมดวงนั้นแล้ว ใครจะคิดว่าตอนที่เข้าใกล้หมอกสีเลือดประหลาด เหมียวอี้กลับโบกมือบอกใบ้ให้พวกเขาหยุดและไม่ต้องตามเข้าไป
ขุนพลใหญ่หกลัทธิสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็โบกมือควบคุมลูกน้องเอาไว้ ได้แต่มองดูพวกเหมียวอี้ลอยอยู่บนฟ้าเหนือหมอกสีเลือด เตรียมจะดูว่าพวกเหมียวอี้จะบุกเข้าไปในหมอกโฉมงามอาภัพได้อย่างไร
ด้านบนของหมอกสีเลือด หลังจากทั้งหกคหยุดนิ่งแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ามีทางเข้าไปทำลายค่ายกลในหมอกโฉมงามอาภัพนี่จริงเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ก็มีวิธีเข้าไปในหมอกโฉมงามอาภัพอยู่หรอก แต่กลับไม่มั่นใจสักนิดว่าจะทำลายค่ายกลได้มั้ย ข้าไม่เข้าใจเรื่องค่ายกลเลย มาเพื่อทดลองล้วนๆ ถ้าทำลายได้ก็ทำลาย แต่ถ้าทำลายไม่ได้จริงๆ พวกเราก็หลบอยู่ในนี้ไม่ต้องออกมา แล้วดูว่าจะสามารถล่อให้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาที่นี่ได้หรือเปล่า”
“อันตรายตลอดทาง กอปรกับมีโจรกบฏเฝ้ารบกวน เกรงว่ากำลังพลของตำหนักสวรรค์จะเข้าใกล้ได้ยากมาก” มู่ฝานจวินกล่าว
เหมียวอี้ถามกลับว่า “เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว เจ้ายังมีวิธีการที่ดีกว่านี้อีกเหรอ? ถ่วงเวลามาสองปีแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะข้าใช้ตาทิพย์ทำให้พวกเขาสงบก่อน พวกเจ้าคิดว่าจะถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไปได้เหรอ? อีกฝ่ายไม่ได้โง่นะ”
“เจ้าคิดจะทำยังไง?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม
“ตบตาต่อไป แสดงละครเป็นเพื่อนข้าสักฉากก่อน…” เหมียวอี้แอบสั่ง
บนท้องฟ้า สืออวิ๋นเปียนจ้องมองด้านล่างพร้อมถามว่า “คนกลุ่มนั้นกำลังวางแผนลับอะไรกันรึเปล่า?”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาอยู่ใต้หนังตาพวกเราแบบนี้แล้วจะหนีพ้น” เหลิ่งจัวฉุนแสยะยิ้ม แล้วหันกลับมาสั่งลูกน้องว่า “สั่งให้คนล้อมค่ายกลรอบดาวเคราะห์ดวงนี้ไว้ ตัดขาดไม่ให้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกได้ ข้าจะดูว่าพวกเขายังจะวางกลอุบายอะไรได้อีก”
“ขอรับ!” มีคนเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการทันที
“พวกเขากำลังทำอะไรกัน?” จู่ๆ กุยอู๋ที่ประนมมือเงียบๆ ก็เอ่ยถาม
ทุกคนจ้องเขม็งไปที่ด้านล่างทันที เห็นจู่ๆ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็หันหลังให้เหมียวอี้ หันหน้าไปห้าทิศโดยให้เหมียวอี้เป็นจุดศูนย์กลาง ทั้งห้าโบกแขนร่ายอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน บนตัวอวิ๋นอ้าวเทียนมีปราณมารไหลกลิ้งออกมา บนตัวจีฮวนมีปราณปีศาจไหลม้วนขึ้นมา ส่วนบนตัวซือถูเซี่ยวก็มีปราณหยินไหลม้วนออกมาเช่นกัน
ปราณมาร ปราณปีศาจและปราณหยินหมุนวนราวกับมังกรบินสามตัว ครอบทั้งหกคนไว้ในนั้นอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน ก็เห็นอัสนีบาตหลายสายหมุนวนออกมาจากไอหมอกสีดำเทา ฉากนี้ดูค่อนข้างประหลาด ทำให้ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่อยู่บนท้องฟ้ามองหน้ากันอย่างงุนงง
จู่ๆ ไอหมอกที่กะพริบแสงอัสนีบาตก็พุ่งลงไปที่หมอกสีเลือดด้านล่าง ทำให้ทุกคนข้างบนมองตาไม่กะพริบ
เหมียวอี้ที่หลบอยู่ในปราณมารผีและปีศาจส่งสัญญาณมือ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่อยู่รอบๆ รีบเข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของเขา เหมียวอี้เรียกเพลิงดาราออกมาปกป้องร่างกายทันที วินาทีที่ปราณมารผีและปีศาจชนกับหมอกสีเลือดด้านล่าง เหมียวอี้ก็อาศัยตอนที่มีอุปสรรคบังสายตาอีกฝ่ายหนีเข้าไปในหมอกสีเลือดอย่างกะทันหัน
และในสายตาของทุกคนที่อยู่ด้านบน ก็ได้แต่มองดูปราณมารผีปีศาจที่ตัดสลับกับอัสนีบาตกลุ่มนั้นชนกับหมอกสีเลือด จากนั้นก็ไม่เห็นอัสนีบาตแล้ว ปราณมารผีปีศาจสลายหายไป พวกเหมียวอี้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว มองไม่เห็นแล้ว
กลุ่มโจรกบฏสบตากันอย่างงุนงง เป็นเพราะพวกเหมียวอี้เข้าไปในนั้นอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เกินไป
“พวกเขาเข้าไปจริงๆ เหรอ? ต้านทานหมอกโฉมงามอาภัพได้จริงเหรอ?” สืออวิ๋นเปียนถามอย่างประหลาดใจ
เหลิ่งจัวฉุนกล่าวช้าๆ ว่า “จากภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเห็น…หรือว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษร่วมมือกันแล้วจะสามารถฝ่าหมอกโฉมงามอาภัพได้? เจ้าเหมียวอี้นั่นไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไม่ใช่เหรอ?”
ตรงหน้าโจรกบฏเหล่านี้ เหมียวอี้ไม่กล้าบอกชื่อหนิวโหย่วเต๋ออันโด่งดังของตัวเอง อีกฝ่ายมีการติดต่อกับภายนอก ถ้าบอกว่าตัวเองคือหนิวโหย่วเต๋อ อีกฝ่ายก็จะต้องจับได้แน่นอนว่าตัวเองเป็นคนของตำหนักสวรรค์ จึงใช้ชื่อจริงของตัวเองแล้ว
เมิ่งหรูกล่าวว่า “สงสัยนี่จะเป็นวิชาลับของหกเคล็ดวิชาพิเศษที่คนยังไม่รู้ ประมุขไป๋ก็ไม่ได้บอกพวกเรา ตอนนี้สามารถแน่ใจได้ ว่าคนพวกนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับประมุขไป๋แน่นอน ไม่อย่างนั้นจะรู้จักวิชาลับในการต้านทานหมอกโฉมงามอาภัพได้ยังไง”
ในหมอกสีเลือด เหมียวอี้ที่เหาะมาตลอดทางเปิดตาทิพย์อีกครั้ง เมื่อเล็งตำแหน่งแม่นแล้วก็ค่อยๆ เหาะลงไปสำรวจบนยอดเขาที่สลักลายค่ายกลอีกครั้ง จนกระทั่งเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคงและไม่เห็นค่ายกลตอบสนองกลับ เขาถึงได้วางใจลงเล็กน้อย
ยอดเขาที่โดนตัดราบน่าจะมีพื้นที่ประมาณหนึ่งหมู่[1] เหมียวอี้ที่กวาดตามองรอบๆ เก็บดวงตาอิทธิฤทธิ์เพื่อไม่ให้สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์มากเกินไป ขณะที่เหลียวซ้ายแลขวาเขาก็วนอ้อมยอดเขาหลายรอบ สุดท้ายก็ไปยืนอยู่ใต้เสาผลึกแดงตรงกลางแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป
เสาใหญ่หยาบเท่าต้นขา และมีความสูงประมาณหนึ่งจั้ง
นี่ใช่แกนค่ายกลหรือไม่ เหมียวอี้ไม่มีทางแน่ใจได้ เขายื่นมือไปลูบบนเสาผลึกแดงพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู
ถ้าไม่ตรวจดูคงไม่รู้ พอได้ตรวจแล้วเหมียวอี้ก็ค้นพบทันทีว่าเสาผลึกแดงนี้ไม่ได้ยาวแค่ที่เห็นจากภายนอกเท่านั้น ยังมีอีกประมาณสิบจั้งที่ปักอยู่ใต้ดิน
เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจสภาพภายในเสา ก็รู้สึกได้ถึงพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งทันที ตามเส้นชีพจรที่พลังงานกระจายออกมา ภาพภาพหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในหัวเขาอย่างรวดเร็ว เป็นภาพเหมือนที่แผ่กระจายออกมาจากสัมผัสมือ ภาพที่ก่อตัวกันเป็นใยแมงมุมประหลาดยิงเข้ามาในหัวเขา เป็นเส้นสายน้ำและภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ นี่เอง และเป็นภาพค่ายกลที่เหมียวอี้เห็นจากที่สูงตอนใช้ตาทิพย์มองด้วย
พลังลึกลับกลุ่มนั้นขยายออกไปตามสายน้ำและภูเขาที่เหมือนใยแมงมุม เหมียวอี้รู้สึกได้รางๆ ถึงการโคจรของดาวเคราะห์ทั้งดวง แรงโคจรเหมือนจะสะท้อนกลับจากแกนดาวเคราะห์มาบนเสาต้นนี้ และเสาต้นนี้ก็ทำให้กลายเป็นพลังลึกลับกระจายไปที่สายน้ำและภูเขาที่โยงเหมือนใยแมงมุม แผ่รังสีไปทั้งดาวเคราะห์ หมุนวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน และเสาต้นนี้ก็เหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางการโคจรของดาวเคราะห์ทั้งดวง
ต่อให้เหมียวอี้จะไม่เข้าใจว่าเป็นค่ายกลอะไร แต่ก็สามารถตัดสินได้ว่าเสาผลึกแดงต้นนี้ก็คือแกนค่ายกลของค่ายกลใหญ่ ถ้าถอนเสาต้นนี้ออก ค่ายกลที่อาศัยเสาต้นนี้เป็นพลังงานศูนย์กลางรับน้ำหนักก็จะพังทลายแน่นอน
เหมียวอี้แอบทึ่งในใจไม่หยุด วันนี้เขาเพิ่งจะได้รับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของค่ายกลอย่างแท้จริง ที่จริงค่ายกลยังสามารถอาศัยยาเจี๋ยตันมาเป็นพลังงานได้ อาศัยพลังงานจากดวงดาวที่หมนุรอบตัวเองโดยตรงก็สามารถวางค่ายกลได้แล้ว ตราบใดที่ดวงดาวไม่พังทลาย สามารถหมุนวนอยู่ในดาราจักรต่อไป ค่ายกลก็ยังจะสามารถคงอยู่ตลอดไปได้
สามารถอาศัยพลังดวงดาวเพื่อวางค่ายกลได้ ชัดเจนว่าประมุขไป๋คนนี้เก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ! ในใจเหมียวอี้มีแค่ความทึ่งและเลื่อมใสนับถือ
ในหัวมีเค้าโครงของค่ายกลแล้ว เหมียวอี้รู้แล้วว่าจะทำลายค่ายกลนี้อย่างไร เขาใช้สองมือกอดเสาผลึกแดงไว้ แล้วออกแรงถอน
อาศัยวรยุทธ์ของเขาเพียงพอที่จะผลักภูเขาคว่ำทะเลได้ แต่ใครจะคิดว่าเสาต้นนั้นกลับไม่ขยับเลยสักนิดราวกับเป็นเข็มเทพใต้ทะเล ต่อให้เขาออกแรงเต็มที่ก็ไม่สามารถถอนเสาขึ้นมาได้
หลังจากออกแรงหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล เหมียวอี้ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดู จากนั้นถึงได้เข้าใจ ว่าแรงโคจรของทั้งดาวเคราะห์ถูกกำหนดไว้บนเสาต้นนี้ มันดูดเสาต้นนี้ไว้อย่างมั่นคง การที่ตัวเองฝืนดึงแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการต่อต้านกับแรงโคจรของดาวเคราะห์ทั้งดวง อาศัยพลังอย่างเขาจะถอนขึ้นมาได้อย่างไร
…………………………
[1] หมู่(亩) คือหน่วยวัดของจีน มีขนาดประมาณ 666.667 ตารางเมตร