พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1226 ทำลายค่ายกล
เมื่อวิธีการนี้ไม่ได้ผล เหมียวอี้ก็เปลี่ยนวิธีการทันที ใช้กำปั้นทุบที่ผิวดินหนึ่งครั้ง
บึ้ม! เสียงระเบิดดังขึ้น เสียงเหล็กและโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วสารทิศไม่หยุด ผิวดินเกิดเป็นปากแอ่งเหมือนชามใบหนึ่ง
เหมียวอี้ที่กำลังกำหมัดอึ้งเล็กน้อย มองดูหมัดของตัวเองที่กำแน่น นึกไม่ถึงว่าผิวดินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ อาศัยวรยุทธ์ของตนไม่น่าเชื่อว่าจะโจมตีจนเกิดเป็นแอ่งเหมือนปากชามเท่านั้น
หลังจากอึ้งครู่หนึ่ง ก็พบว่าหลังจากที่นี่โดนร่ายอิทธิฤทธิ์วางค่ายกลแล้ว การบีบอัดที่แรงโคจรดาวเคราะห์นำพามาก็ทำให้มันเกาะตัวกันอย่างแข็งแรงทนทาน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะดูดเสาต้นนั้นไว้อย่างแน่นหนาจนตนถอนขึ้นมาไม่ไหว
บอกสะบัดมือหนึ่งครั้ง ทวนเกล็ดย้อนก็มาอยู่ในมือแล้ว ปั้ง! พอแทงทวนไปที่ผิวดิน ก้อนหินก็พังกระจายปลิวว่อน
เขาลองมองดู พบว่าการใช้อาวุธได้ผลดีกว่าใช้มือเปล่าอย่างเห็นได้ชัด รูขนาดเท่าเตาไฟปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
เหมียวอี้เงยหน้ามองเสาผลึกแดง ข้างล่างยังลึกอีกสิบจั้ง ถ้าขุดลงไปแบบนี้เกรงว่าต่อให้ใช้เวลาหนึ่งวันก็ขุดขึ้นมาไม่ได้
เพี้ยะ! เขายกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง เหมือนนึกอะไรขึ้นได้แล้ว เขาเก็บทวนเกล็ดย้อน แล้วโบกมือโยนตั๊กแตนตัวหนึ่งออกมาทดลอง สังเกตการณ์ว่าหมอกสีแดงนี้จะทำให้ตั๊กแตนมีความผิดปกติอะไรหรือไม่ เขาเองก็ไม่กล้าแน่ใจว่าหมอกเลือดของที่นี่เหมือนกับที่พิภพเล็กทุกอย่างหรือเปล่า ถึงอย่างไรหมอกเลือดของที่นี่ก็ไม่เกิดปรากฏการณ์เปลี่ยนสีขาวสลับแดง
ผลลัพธ์ไม่เลวเลย หมอกเลือดของที่นี่ไม่ทำให้ตั๊กแตนได้รับผลกระทบใดๆ เขาจึงปล่อยตั๊กแตนสามสิบห้าตัวที่พกมาด้วยออกมาทั้งหมดทันที
ก่อนที่จะมาเดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะให้เหมียวอี้พกตั๊กแตนแปดสิบห้าตัวมาไว้ป้องกันตัว แต่เหมียวอี้รู้สึกว่าถ้าพกมาสามสิบห้าตัวแล้วยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ การพกมาแปดสิบตัวห้าก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน ตอนนี้ตั๊กแตนฝูงนั้นคุ้นคยกับวิธีการเลี้ยงในปัจจุบันแล้ว ต่อให้เหมียวอี้ไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังสามารถทิ้งไว้ให้พวกอวิ๋นจือชิวทำเป็นต้นทุนเพื่อตั้งหลักตั้งตัวได้
ใช้พลังจิตเป็นสื่อนำ พอโบกมือชี้ไปที่ผิวดิน ตั๊กแตนสามสิบห้าตัวก็เริ่มไปล้อมทำงานรอบๆ เสาผลึกแดงอย่างรวดเร็ว ใช้ทั้งฟันแหลมและกรงเล็บคม ออกแรงขุดลงไป ประสิทธิภาพในการขุดไม่เลวเลย ไม่นานก็ทำให้ผิวดินที่แข็งแกร่งทนทานกลายเป็นรูเหมือนรังต่อแล้ว ตั๊กแตนสามสิบห้าตัวมุดลงไปใต้ดินทั้งหมด มีเสียงขุดดังฉ่าๆ ขึ้นมาด้านบน
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่ตรวจดูความคืบหน้าไม่หยุดก็เห็นว่าขุดใกล้จะถึงโคนของเสาผลึกแดงแล้ว ขณะกำลังจะทดลองว่าสามารถถอนเสาขึ้นมาได้หรือไม่ ตอนที่มือเพิ่งจะสัมผัสเสาสีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป
รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นอายลึกลับที่พรั่งพรูออกมาจากรูที่ตั๊กแตนสามสิบห้าตัวขุด ผิวดินมีการสั่นไหวเล็กน้อย ขณะที่สั่นไหวก็ปรากฏให้เห็นรอยแยกรางๆ
เหมียวอี้ตกใจทันที พอโบกมือ ตั๊กแตนสามสิบห้าตัวก็บินออกจากรูอย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้ที่เก็บตั๊กแตนแล้วรีบหนีขึ้นมากลางอากาศ แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวที่เท้าของเขาออกจากพื้น ด้านล่างก็มีเสียงดินแยกเป็นวงกว้าง ผิวดินพลันปรากฏเป็นร่องรอยแยก บ้างก็จมลงบ้างก็พลิกขึ้น
ได้รับผลกระทบจากหมอกสีเลือด เหมียวอี้ที่ลอยขึ้นมาบนฟ้ามองไม่เห็นภาพเหตุการณ์อยู่ข้างล่างชัดเจน
โครม!
เสียงภูเขาถล่มแผ่นดินแยกด้านล่างดังขึ้นอย่างกะทันหัน ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วถูกเปิดใช้อีกครั้งทันที เสาแสงสายหนึ่งยิงออกมา กวาดมองความเปลี่ยนแปลงด้านล่าง
เห็นแท่นราบบนยอดเขาพลังทลายแล้ว เสาผลึกแดงต้นนั้นปักเอียงอยู่ด้านบน ยอดเขาที่สูญเสียสมดุลในการรับแรงเหมือนจะได้รับการบีบอัดจากพลังงานประหลาดกลุ่มหนึ่ง ภูเขาที่ใหญ่โตขนาดนี้กำลังถูกบีบอัดให้ลอยสูงขึ้นด้วยความเร็วที่ตาเปล่าสามารถมองเห็นได้
ภูเขาและสายน้ำรอบๆ ยอดเขาที่แผ่ขยายพลังเป็นรูปใยแมงมุมบิดเบี้ยวเสียงดังครืนราวกับมังกรที่ตัวขาด มันเหมือนฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง รอยแยกหลายสายบิดเบี้ยว แต่ละสายโค้งขึ้นและพังทลายลงมา ฝุ่นดินที่ตลบอบอวลไหลกลิ้งขึ้นไปรวมกับหมอกสีเลือด
“วูบ…วูบ…”
ผิวดินเพิ่งจะเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงลมพายุรุนแรง หมอกสีเลือดที่มืดฟ้ามัวดินกระเพื่อมม้วนกลิ้งอย่างรุนแรง เหมียวอี้ที่ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไรรีบหันมองไปรอบๆ
บนท้องฟ้าสูง กลุ่มโจรกบฏก็ได้ยินเสียงแผ่นดินแยกภูเขาถล่มด้านล่างเช่นกัน ขณะกำลังเงี่ยหูตั้งใจฟัง จู่ๆ ลมพายุก็พัดขึ้นมา ตามติดด้วยกระแสลมรอบข้างที่ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ลมพายุพัดอย่างบ้าคลั่ง หมอกสีเลือดที่อยู่ด้านล่างเหมือนจะสูญเสียการควบคุม จู่ๆ ก็ทำลายขีดจำกัดที่รักษาไว้อย่างมั่นคง หมอกพ่นออกมาจากทั่วทุกทิศ
ทุกคนตกใจทันที ไม่ใช่แค่โดน ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ พ่นขึ้นมาใส่เท่านั้น พวกเขารีบรวมกลุ่มกันเหาะขึ้นท้องฟ้าสูง ไปที่ดาราจักรเพื่อจ้องมองการเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันของดาวเคราะห์ข้างล่าง
ไม่มีใครพูดอะไร กลุ่มโจรกบฏรวมทั้งขุนพลใหญ่หกลัทธิจ้องมองการเปลี่ยนแปลงของดาวเคราะห์ด้านล่างอย่างตาไม่กะพริบ
“รีบดูสิ!” จู่ๆ ก็มีบางคนชี้ไปที่ดาวเสริมสิบดวงที่เหลือ
ขุนพลใหญ่หกลัทธิรีบกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ไม่ใช่แค่ดวงที่อยู่ใต้เท้าเท่านั้น ดาวเสริมที่เหลืออีกสิบดวงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่เช่นกัน ความเคลื่อนไหวแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือหมอกสีเลือดพัดม้วนอย่างรุนแรง
ผ่านไปไม่นาน ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่ปกคลุมอยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก็สูญเสียการควบคุมพร้อมกัน ทั้งหมดพ่นทะลักขึ้นมาราวกับไอน้ำที่อยู่บนลังถึง ราวกับมีดอกไม้สีเลือดสิบเอ็ดดอกเบ่งบานอยู่ในดาราจักร งดงามน่าประทับใจ โอ่อ่าอลังการ!
พอหมอกเลือดมาถึงดาราจักร มันก็สลายให้ไปอย่างช้าๆ
หมอกสีเลือดที่อยู่บนดาวรองตรงกลางก็พัดม้วนอย่างรุนแรงเช่นกัน แต่กลับไม่ได้พ่นขึ้นมาเหมือนหมอกที่อยู่บนดาวเสริม แต่หดลีบลงทีละนิด หดลงเร็วมากอย่างเห็นได้ชัด ค่อยๆ มียอดเขาสีดำขลับที่ถูกหมอกสีเลือดปกคลุมมาหนึ่งแสนกว่าปีโผล่ออกมาท่ามกลางหมอกเลือด
สายตาของกลุ่มโจรกบฏไปรวมอยู่บนดาวรอง มีคนไม่น้อยทำสายตาตื่นเต้นฮึกเหิม
ทว่าความเปลี่ยนแปลงบนดาวรองกลับไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง ยังไม่ทันเห็น ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ สลายไปหมด เพียงหดหายไปส่วนหนึ่งเท่านั้น ยอดเขาโผล่ออกมาให้เห็นไม่น้อยเลย สถานการณ์บนดาวรองนิ่งสงบลงเร็วมาก ยังคงมีหมอกเลือดผืนใหญ่ปกคลุมอยู่ การเปลี่ยนแปลงที่ดุเดือดรุนแรงกลับสู่ความสงบ
กลับมามองดาวเสริมสิบเอ็ดดวงนั่น หมอกเลือดเหมือนจะสูญเสียความสามารถในการสร้างและเกิดใหม่ สีสันขอมันอ่อนจางลงทีละนิด บนดาวเคราะห์ที่ถูกหมอกเลือดปกคลุมมาหลายปีเริ่มมีทัศนวิสัยที่แจ่มชัดแล้ว
รอไม่นานเกินไป ดาวเคราะห์สิบเอ็ดดวงที่เปลี่ยนสีเป็นดำมืดปรากฏตรงหน้าทุกคนอีกครั้ง
เหมียวอี้ที่จ้องมองการเปลี่ยนแปลงรอบข้างอย่างไม่ละสายตาเห็นว่าสภาพแวดล้อมสว่างแจ่มชัดแล้ว หลังจากหมอกเลือดหายไปโดยสิ้นเชิง เขาก็โยนปลาปิ้งอีกตัวออกมา เมื่อเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถึงได้ค่อยๆ ใช้นิ้วมือแหย่ออกมานอกเพลิงดาราเพื่อทดสอบ ทำให้พบว่าไม่มีผลกระทบด้านร้ายใดๆ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เหมียวอี้ถึงได้เก็บเพลิงดาราที่ปกป้องร่างกายจนหมด แล้วโบกมือปล่อยพวกอวิ๋นอ้าวเทียนออกมา
ทั้งห้าคนลอยอยู่บนฟ้าและหันมองโลกที่สดใสรอบข้าง เห็นดวงอาทิตย์ส่องลงมาตามปกติ พื้นดินภูเขาและสายน้ำสีดำคดเคี้ยวและสูงต่ำไม่เสมอกัน มีเพียงยอดเขาใต้เท้าที่ยังลอยสูงขึ้นต่อไป เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงของแรงดันที่อยู่ใต้ดินยังคงปรับสมดุลที่เสียไป
“ทำลายค่ายกลแล้วเหรอ?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม
“น่าจะทำลายไปแล้วมั้ง”
เหมียวอี้ที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจถลันตัวลงมาท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทั้งห้าคน เสาผลึกแดงที่เอนเอียงอยู่บนยอดเขาถูกดึงขั้นมาโดยตรง ในบ้านเลี้ยงผู้หญิงไว้เป็นโขยง เขาต้องหาเงินหาทองไปเลี้ยง!
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนทำสีหน้าไม่ถูก คาดว่าว่าเจ้าหมอนี่คงร่ำรวยอีกแล้ว
บังเอิญว่าขุนพลใหญ่หกลัทธินำกำลังพลเหาะลงมาจากฟ้าพอดี กลุ่มคนได้แต่มองดูเหมียวอี้อุ้มเสาผลึกแดงที่ยาวสิบกว่าจั้งขึ้นมา
เมื่อเห็นกลุ่มโจรกบฏจ้องตัวเองอยู่ เหมียวอี้ที่เก็บเกี่ยวอะไรได้นิดหน่อยก็เหาะกลับขึ้นไปบนฟ้า แล้วยิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ถ้าโดนกลบฝังทิ้งไปก็น่าเสียดาย”
ตอนนี้ขุนพลใหญ่หกลัทธิไม่สนใจสิ่งนี้เลย ในใจรู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมมาก แต่ภายนอกกลับมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เมิ่งหรูจ้องยอดเขาด้านล่างที่ยังคงผุดขึ้นมาเสียงดังโครมคราม พร้อมถามว่า “ค่ายกลยังพังไม่หมดเหรอ?”
“น่าจะพังลงแล้ว คาดว่าพลังงานใต้ดินเสียสมดุล เลยกำลังปรับตัวอยู่ รอให้พลังงานสมดุลแล้ว มันก็น่าจะหยุด” เหมียวอี้ตอบ
เมิ่งหรูบอกว่า “หมอกโฉมงามอาภัพบนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงหายไปหมดแล้ว บนดาวรองมีความเปลี่ยนแปลงไม่มาก เกรงว่ายังต้องรบกวนให้เจ้าไปดูสักหน่อย” คำพูดฟังดูสุภาพเกรงใจขึ้นไม่น้อยเลย
“ก็ได้!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็ไอแห้งๆ แล้วพูดเบี่ยงประเด็น “สมุนไพรเซียนซิงหัวเป็นของดีสำหรับของเยียวยารักษา บนดาวเคราะห์นี้เหมือนจะมีไม่น้อยเลย”
พวกอวิ๋นอ้าวเทียนแอบด่าในใจ เวลาแบบนี้ยังคิดจะแสวงหาความร่ำรวยอีก
“ทหาร! ไปเก็บรวบรวมสมุนไพรเซียนซิงหัวบนดาวเคราะห์ดวงนี้มา” สืออวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างๆ ออกคำสั่งทันที แล้วหันกลับมาบอกเหมียวอี้ว่า “ขอเพียงสามารถช่วยชีวิตประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้ สมุนไพรเซียนซิงหัวบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็จะเป็นของเจ้าทั้งหมด ตอนนี้ไปดูบนดาวรองกันเถอะ”
เหมียวอี้จะย่อมปล่อยไปได้อย่างไร เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าทำลายค่ายกลนี้ได้ก็ทำลาย ถ้าทำลายไม่ได้ก็จะหลบอยู่ใน ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ และหาทางขอความช่วยเหลือ ในเมื่อตอนนี้มันถูกทำลายแล้ว ขั้นต่อไปที่จะเขาจะทำก็คือเตรียมหาประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขัง หลังจากได้สมบัติที่ซ่อนมาแล้ว ก็ค่อยฉวยโอกาสจับตัวประมุขขุนพลทั้งหกเป็นตัวประกัน ใช้ชีวิตของประมุขขุนพลทั้งหกเพื่อปกป้องให้ตัวเองออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
คนอื่นยังไม่รู้เรื่องที่ประมุขไป๋ซ่อนสมบัติเอาไว้ แต่เหมียวอี้กลับมีประสบการณ์ การจับตัวประกันจะต้องสำเร็จแน่นอน สามารถจับมาไว้ในมือเพื่อบีบจุดอ่อนได้โดยตรง ไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร
พอเป็นแบบนี้ เขายังจะรอให้ช่วยประมุขขุนพลทั้งหกออกมาก่อนแล้วค่อยให้อีกฝ่ายเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวได้อย่างไร ถ้ากลางคืนยาวนานกลัวฝันจะเปลี่ยนแปลง ย่อมต้องนำของมาไว้ในมือตอนนี้อยู่แล้ว เพราะถ้าได้ตัวประกันมาแล้ว เขาก็จะหนีไปทันที ไม่อยู่ตรงนี้นาน
เหมียวอี้จึงทำสีหน้าจริงจังพร้อมบอกว่า “ตอนทำลายค่ายกลเมื่อครู่นี้เสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะมาก จิงชี่เสินก็เสียไปเยอะเช่นกัน ข้าต้องพักผ่อนและฟื้นฟูจิงชี่เสินสักหน่อย ไม่สู้ถือโอกาสนี้เก็บสมุนไพรเซียนมาก่อนดีมั้ย…” เขาทำสีหน้าเหมือนบอกว่า ‘เจ้าคงเข้าใจนะ’
ขุนพลใหญ่หกลัทธิมองหน้ากันครู่หนึ่ง จกานั้นสืออวิ๋นเปียนก็มองเหมียวอี้ด้วยแววตาแฝงความหมายลึกซึ้ง แล้วหันหน้าช้าๆ กลับมาสั่งว่า “ไปจัดการ!”
“ขอรับ!” มีคนเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการ
ผ่านไปไม่นาน ที่ด้านนอกท้องฟ้าก็มีกลุ่มโจรกบฏเหาะมาอย่างหนาแน่น เริ่มค้นหาสมุนไพรเซียนซิงหัวบนดาวเสริมดวงนี้
ส่วนเหมียวอี้ก็นั่งขัดสมาธิบนพื้น
หลังจากนั้นหลายวัน กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวก็มารวมตัวกันจากทั่วสารทิศ แล้วยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งในสืออวิ๋นเปียน
สืออวิ๋นเปียนดูของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติ จากนั้นก็โยนให้ตรงหน้าเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ “ได้ของที่เจ้าต้องการมาแล้ว เจ้าคงจะฟื้นตัวพอสมควรแล้วใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เก็บกำไลเก็บสมบัติขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ดู ของที่อยู่ข้างในเป็นประกายจนตาพร่า ทำให้คิ้วของเขากระตุกอย่างแรง!
ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าพวกเขานำสมุนไพรเซียนซิงหัวทุกต้นบนดาวเคราะห์ส่งมาให้ตนหมดหรือเปล่า แต่สิ่งที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติก็มีมากพอแล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ถ้ามาคิดเล็กคิดน้อยว่าได้หรือเสียไม่มีความหมายเหมือนกัน
แต่ในเมื่อแสดงละครแล้วก็อย่าแสดงให้แย่เกินไป ถ้าได้ของมาแล้วฟื้นตัวทันทีก็จะฟังไม่ขึ้น จึงถอนหายใจแล้วตอบว่า “ให้ข้าพักผ่อนอีกสักวันหนึ่งก็พอ” จากนั้นก็เก็บกำไลเก็บสมบัติเอาไว้อย่างเนียนๆ
สมุนไพรเซียนซิงหัวของทั้งดาวเคราะห์เชียวนะ! พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมองดูเขาเก็บกำไลเก็บสมบัติ แต่ละคนเริ่มด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเจ้าเวรนี่กอบโกยได้เท่าไรแล้ว ดูจากท่าทางก็คงจะได้ร่ำรวยอีกแล้ว
ทั้งห้านับว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘พุงแตกตายจะกล้าหาญ หิวตายจะขี้ขลาด’ การที่พวกเขาห้าคนปล้นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์สามคนก็รู้สึกเสี่ยงตายแล้ว ปรากฏว่ายังเจอคนที่ใจกล้ายิ่งกว่า ภายใต้เหตุการณ์แบบนี้ ใครบางคนกำลังทำตัวเหมือนถอนฟันในปากเสือจริงๆ
…………………………